ชวนเปิดโลกกว้างด้านการท่องเที่ยว เพราะเรารวมเทศกาลน่าเที่ยวจากทั่วโลกมาแนะนำกัน จะมีที่ไหนบ้าง มาดูกันเลย
1. โฮลี่ เฟสติวัล (Holi or Festival of Colours), Hindu World
เทศกาล Holi หรือ Festival of Colours จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในอินเดียและประเทศทั่วโลกที่มีชาวฮินดูอาศัยอยู่ เพื่อเป็นการต้อนรับฤดูใบไม้ผลิและเป็นการเฉลิมฉลองชีวิตใหม่ แม้ว่าจะไม่มีพิธีกรรมทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องมากนัก แต่ดูเหมือนว่าชาวฮินดูและนักท่องเที่ยวทุกคนจะพร้อมใจกันมาสาดผงสีใส่กันอย่างสนุกสนาน ที่สำคัญมันยังเป็นเทศกาลที่ไม่แบ่งแยกชนชั้นวรรณะกันด้วย นับเป็นอีกหนึ่งสีสันของประเทศอินเดียที่นอกจากจะสร้างความครื้นเครงให้ผู้คนในประเทศแล้ว ยังดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากทีเดียว
2. วินเทอร์ ไลท์ เฟสติวัล ประเทศญี่ปุ่น (Winter Light Festival, Japan)
เทศกาล Winter Light Festival จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่เมืองคุนาวะ จังหวัดมิเอะ ประเทศญี่ปุ่น จุดเด่นอยู่ที่แสงไฟจากหลอดไฟ LED กว่า 7 ล้านดวง ที่ส่องประกายหลากสีสันในสวนพฤกษาศาสตร์ Nabana no Sato ที่สำคัญยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้พลังการแสงอาทิตย์ สมกับเป็นประเทศแห่งเทคโนโลยีจริง ๆ ซึ่งเทศกาล Winter Light Festival จะจัดขึ้นเป็นเวลากว่า 4 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนมีนาคม ใครที่มาญี่ปุ่นก็อย่าลืมแวะเวียนมาเที่ยวกันบ้างนะ รับรองว่ามันจะเป็นอีกเทศกาลที่จะทำให้คุณตื่นตาตื่นใจแน่นอน
3. เวนิสคาร์นิวัล ประเทศอิตาลี (Carnevale, Italy)
ในปี ค.ศ. 1162 เวนิสได้รับชัยชนะจากการสู้รบ ประชาชนจึงได้รวมตัวกันเฉลิมฉลองบริเวณจัตุรัสซานมาร์โค (San Marco Square) กระทั่งทุกวันนี้ที่ได้ถือเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองสุดยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี และมีจุดเด่นที่ขบวนพาเหรดที่ทุกคนในขบวนจะต้องสวมหน้ากากและการแต่งกายที่เต็มไปด้วยสีสัน นับเป็นเทศกาลรื่นเริงในอิตาลีที่จะทำให้คุณเพลิดเพลินไปกับขบวนพาเหรดสุดตระการตา ดนตรีสด และกิจกรรมต่าง ๆ
เทศกาล Up Helly Aa Fire เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองการสิ้นสุดเทศกาลคริสต์มาสอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังแฝงไปด้วยการเฉลิมฉลองทางด้านประวัติศาสตร์ด้วย โดยการเฉลิมฉลองจะเริ่มจากการเดินขบวนในช่วงระหว่างวัน ส่วนในช่วงกลางคืนจะมีการจุดคบเพลิงแล้วโยนใส่เรือไวกิ้งจำลอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมาของชาติในสมัยก่อนด้วย
ตามตำนานเล่าว่าในปี ค.ศ. 1945
มีชาวบ้านได้ขว้างปาผักเข้าไปในป่าแต่เกิดพลาดโดนกันเอง
จึงกลายเป็นความสนุกสนานกระทั่งเกิดเป็นเทศกาลสำคัญอย่างทุกวันนี้
โดยเทศกาลปามะเขือเทศจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันพุธสุดท้ายของเดือนสิงหาคมที่
Bunol ในเมืองบาเลนเซีย
งานรื่นเริงนี้เริ่มครั้งแรกในปี ค.ศ. 1972 ซึ่งเป็นการปล่อยบอลลูน 13 ลูกขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบสถานีวิทยุ 770 AM KOB Radio ซึ่งเป็นที่น่าตื่นใจไปทั่วทั้งเมือง จนกระทั่งมันได้กลายเป็นเทศกาลที่สร้างความบันเทิงให้กับผู้มาเยือนไม่น้อย การได้แชะภาพบอลลูนขนาดใหญ่หลากสีสันจำนวน 750 ลูก ค่อย ๆ ขึ้นสู่ท้องฟ้า ความงดงามตระการตาแบบนี้จะทำให้คุณลืมไปเลยว่า หลังจบงานคุณจะมีอาการปวดเมื่อยต้นคอแน่นอน !!
เทศกาลเบิร์นนิ่งแมนจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีบริเวณที่โล่งกว้างในรัฐเนวาดา ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองด้านความเจริญของศิลปะและวัฒนธรรม โดยจะมีศิลปินได้สร้างรูปปั้นขนาดยักษ์กว่า 12 รูป แต่ละรูปมีความสูงกว่า 100 ฟุตทีเดียว และเมื่อถึงเวลาค่ำคืนขณะที่ดนตรีบรรเลงก็ได้มีการเริ่มจุดไฟเผารูปปั้นเหล่านั้น ซึ่งแต่ละปีจะมีผู้เข้าชมเทศกาลดังกล่าวถึง 50,000 คน
เทศกาล Lantern มีมาตั้งแต่สมัยโบราณซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันที่ 15 ของเดือนแรกในปฏิทินตามฉบับของจีน ซึ่งแต่เดิมนั้นทั้งชาวจีนและเวียดนามได้ร่วมกันสืบทอดเทศกาลนี้ โดยการปล่อยโคมลอยนับพันบริเวณวัด กระทั่งปัจจุบันมันจะกลายเป็นประเพณียอดฮิตที่นักท่องเที่ยวอยากจะมาเห็นกับตาสักครั้ง ความงดงามของโคมลอยที่ส่องสว่างแข่งกันแสงดาวบนท้องฟ้านับพัน ช่างเป็นภาพที่งดงามเหนือคำบรรยาย อีกทั้งมันยังแฝงไปด้วยความหมายที่สื่อถึงการปล่อยเรื่องไม่ดีในอดีตให้ลอยไปกับโคม แล้วพร้อมที่จะเริ่มชีวิตใหม่ที่สุกสกาวอีกครั้ง
9. เทศกาลการ์มา ประเทศออสเตรเลีย (Garma Festival - Australia)
เทศกาลการ์มา จัดโดยชนเผ่า Yolngu ของประเทศออสเตรเลีย โดยได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากทางการ เพื่อเป็นการสืบสานและอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น โดยเทศกาลการ์มาจะเป็นการแสดงการเต้น ขับร้อง ศิลปะ และท่วงท่าการรำธงบนพื้นทราย นอกจากนี้ยังมีการแบ่งปันความรู้และวัฒนธรรมของชนเผ่าด้วย แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถเข้าชมกันได้ทุกคนนะ เพราะผู้ที่จะเข้าร่วมงานได้จะต้องเป็นผู้ที่ถูกเชิญเท่านั้น
ชนเผ่าอินคาได้มีการเดินขบวนพาเหรดเพื่อบูชาเทพแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นอีกเทศกาลสำคัญของชนเผ่า นอกจากนี้ยังถือเป็นการรำลึกถึงบรรพบุรุษที่ร่วมก่อตั้งชนเผ่าอินคาด้วย ซึ่งคุณจะตื่นตาตื่นใจไปกับการแต่งการตามแบบฉบับของชนเผ่าที่จัดมาแบบเต็ม ๆ และยังมีการแต่งเป็นเทพเจ้าแบบจำลองด้วย
เทศกาลหิมะเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950
โดยเด็กมัธยมชาวญี่ปุ่นได้ช่วยกันปั้นหิมะจนกลายเป็นประติมากรรมสุดยิ่งใหญ่ที่สวนโอโดะริจนผู้คนให้ความสนใจอย่างมากและมันก็กลายเป็นเทศกาลอันน่าสนใจในเวลาต่อมา
แต่เทศกาลดังกล่าวก็ได้ถูกระงับไปพักหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
แต่หลังจากสงครามสิ้นสุดก็พบว่าเหล่าทหารและประชาชนได้ร่วมกันปั้นและแกะสลักหิมะให้เป็นรูปร่างต่าง
ๆ อย่างสนุกสนานและเพิ่มความอลังการมากขึ้นด้วยขนาดและรูปร่างที่สวยงาม
และมันก็กลับมาเป็นเทศกาลสุดรื่นเริงอีกครั้งกระทั่งทุกวันนี้
ช้างถือเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองและเป็นสัตว์สำคัญของประเทศอินเดีย ซึ่งในทุก ๆ ปีก็จะมีการจัดเทศกาลช้างขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม โดยมีการแต่งองค์ทรงเครื่องช้างด้วยผ้าและเครื่องประดับ จากนั้นก็เป็นการเดินขบวนของช้างไปตามจุดต่าง ๆ ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะคุณจะได้หัวเราะไปกับการแข่งขันโปโลน้ำของช้าง การชักกะเย่อ และการแข่งขันอื่น ๆ ด้วย
Dia De Los Muerto หรือวันแห่งความตาย
ถือเป็นวันหยุดของชาวเม็กซิกัน
ที่ทุกคนจะรวมใจกันอธิษฐานและสวดมนต์ถึงบรรดาครอบครัวหรือเพื่อนที่ล่วงลับให้ไปสู่สุคติ
นอกจากนี้ยังมีการเดินขบวนของประชาชนที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าและขนนกคล้ายกับอินเดียแดง
และมีการเขียนหน้าหรือใส่หน้ากากรูปแบบต่าง ๆ
นอกจากนี้ยังมีการเลี้ยงอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ด้วย
ไวท์ ไนท์ เฟสติวัล
เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองและระบบคอมมิวนิสต์สิ้นสุดลง
โดยจะจัดขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่มีปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์เที่ยงคืน
ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นในบางประเทศของทวีปยุโรป
นอกจากนี้คุณยังจะได้เห็นเรือใบสีแดงที่ล่องในแม่น้ำซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาล
อีกทั้งยังมีการจุดพลุดอกไม้ไฟ
และแสงไฟเลเลอร์ที่สาดส่องท่ามกลางแม่น้ำด้วย
Electric Forest Music Festival เป็นเทศกาลที่จะทำให้คุณตื่นตาไปกับแสงไฟหลากสีท่ามกลางป่าไม้ ถือเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมีดนตรีสดให้คุณได้สัมผัสถึงความชิลสุด ๆ แต่จะว่าไปมันก็โรแมนติกไม่เบาเลย ที่สำคัญผู้ที่แวะเวียนมาเที่ยวชมยังได้ทำบุญไปในตัวด้วย เพราะรายได้บางส่วนนั้นเขาจะนำไปบริจาคให้กับหมู่บ้านยากไร้ด้วย
16. เทศกาลแกะสลักทรายนานาชาติ ประเทศโปรตุเกส (International Sand Sculpture Festival, Portugal)
ถือเป็นการแสดงผลงานการแกะสลักทรายกลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเลย ซึ่งในแต่ละปีจะมีศิลปินกว่า 60 คน ที่ใช้ทรายมากกว่า 35,000 ตัน ในการสร้างสรรค์ประติมากรรมชิ้นเอกให้เป็นรูปร่างรูปทรงต่าง ๆ อย่างงดงาม ไม่ว่าจะเป็น รูปคนดัง, ภาพการ์ตูน, ภาพล้อเลียน, สัตว์ ที่สำคัญยังงดงามและสมจริงสุด ๆ ด้วยนะ
เป็นอีกเทศกาลที่คอดนตรีห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง ที่ซึ่งคุณจะได้สัมผัสกับดนตรีสดหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นร็อก, ป๊อบ, แจ๊ส หรืออะคูสติก เรียกว่าเอาใจทุกคอเพลงทุกแนวดนตรีเลย และศิลปินที่มาเล่นก็เป็นศิลปินชื่อดังจากทั่วโลกด้วย ไฮไลต์เด็ดก็คงจะอยู่ที่การได้ผ่อนคลายด้วยเสียงดนตรีท่ามกลางขุนเขาและป่าฝน ได้นั่งจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ พร้อมฮัมเพลงไป อะไรจะมีความสุขไปกว่านี้อีก
18. เทศกาล Cascamorras ประเทศสเปน (Cascamorras, Spain)
Guadix และ Baza เป็นสองเมืองที่ตั้งอยู่ในกรานาดา (Granada) กล่าวกันว่าเมื่อ 500 กว่าปีก่อนสองเมืองนี้เคยเป็นทั้งมิตรและศัตรู โดย Cascamorras คนงานชาว Guadix ได้เข้าไปขุดพบของล้ำค่าในเมือง Baza และเขาพยายามที่จะนำมันกลับมายังเมืองของตน กระทั่งถูกจับได้และกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตระหว่างสองเมืองในที่สุด หลังจากนั้นไม่นานผู้คนส่วนใหญ่อยากให้ทั้งสองเมืองกลับมาเป็นมิตรกันดังเดิม จึงได้อธิษฐานอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และก็ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้นทั้งสองเมืองก็กลับมารักกันเช่นเดิม และก็ได้จัดเทศกาลรื่นเริงขึ้นโดยการเพ้นท์และสาดหมึกสีดำใส่กันอย่างสนุกสนาน
แกลสตันบูรี เป็นเทศกาลดนตรีและการแสดงบนผืนหญ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังพบว่าในปี ค.ศ. 2003 มีการบันทึกจำนวนผู้ร่วมงานได้ถึง 135,500 คนเลยทีเดียว นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาต้องการชมศิลปินชื่อก้องโลกเล่นสดบนเวทีอย่างวง Arctic Monkeys และวง Rolling Stones นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีโชว์ต่าง ๆ ทั้งภาพยนตร์, คณะตลก และการแสดงละครสัตว์ด้วย
หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก
distractify.com, theculturetrip.com, fortravelovers.com และ greenglobaltravel.com
ช่วงเทศกาลหรืองานรื่นเริง
นอกจากจะสร้างความสุขให้กับผู้คนแล้ว
มันยังเป็นเสมือนวันที่ทุกคนจะได้มาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ได้เห็นและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เช่น
เทศกาลลอยกระทง หรือเทศกาลสงกรานต์ในบ้านเรา
ที่นอกจากคนไทยจะได้รับความสุขแล้ว
นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่ได้มาสัมผัสก็คงจะรู้สึกแบบนั้นเช่นกัน
และเพื่อเป็นการเปิดโลกกว้างด้านการท่องเที่ยว เราจึงได้รวบรวมเทศกาลน่าเที่ยวทั่วโลกมาบอกเล่ากัน ซึ่งแต่ละเทศกาลนั้นควรค่าแก่การไปเห็นกับตาสักครั้งจริง ๆ
- สามารถตรวจเช็กวันเดือนปีเพื่อวางแผนชีวิตด้วย ปฏิทินปี 2565 ได้ที่นี่
- สามารถดู ปฏิทิน ได้จากที่นี่เลย
เทศกาล Holi หรือ Festival of Colours จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในอินเดียและประเทศทั่วโลกที่มีชาวฮินดูอาศัยอยู่ เพื่อเป็นการต้อนรับฤดูใบไม้ผลิและเป็นการเฉลิมฉลองชีวิตใหม่ แม้ว่าจะไม่มีพิธีกรรมทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องมากนัก แต่ดูเหมือนว่าชาวฮินดูและนักท่องเที่ยวทุกคนจะพร้อมใจกันมาสาดผงสีใส่กันอย่างสนุกสนาน ที่สำคัญมันยังเป็นเทศกาลที่ไม่แบ่งแยกชนชั้นวรรณะกันด้วย นับเป็นอีกหนึ่งสีสันของประเทศอินเดียที่นอกจากจะสร้างความครื้นเครงให้ผู้คนในประเทศแล้ว ยังดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากทีเดียว
2. วินเทอร์ ไลท์ เฟสติวัล ประเทศญี่ปุ่น (Winter Light Festival, Japan)
เทศกาล Winter Light Festival จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่เมืองคุนาวะ จังหวัดมิเอะ ประเทศญี่ปุ่น จุดเด่นอยู่ที่แสงไฟจากหลอดไฟ LED กว่า 7 ล้านดวง ที่ส่องประกายหลากสีสันในสวนพฤกษาศาสตร์ Nabana no Sato ที่สำคัญยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้พลังการแสงอาทิตย์ สมกับเป็นประเทศแห่งเทคโนโลยีจริง ๆ ซึ่งเทศกาล Winter Light Festival จะจัดขึ้นเป็นเวลากว่า 4 เดือน โดยเริ่มตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนมีนาคม ใครที่มาญี่ปุ่นก็อย่าลืมแวะเวียนมาเที่ยวกันบ้างนะ รับรองว่ามันจะเป็นอีกเทศกาลที่จะทำให้คุณตื่นตาตื่นใจแน่นอน
3. เวนิสคาร์นิวัล ประเทศอิตาลี (Carnevale, Italy)
ในปี ค.ศ. 1162 เวนิสได้รับชัยชนะจากการสู้รบ ประชาชนจึงได้รวมตัวกันเฉลิมฉลองบริเวณจัตุรัสซานมาร์โค (San Marco Square) กระทั่งทุกวันนี้ที่ได้ถือเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองสุดยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี และมีจุดเด่นที่ขบวนพาเหรดที่ทุกคนในขบวนจะต้องสวมหน้ากากและการแต่งกายที่เต็มไปด้วยสีสัน นับเป็นเทศกาลรื่นเริงในอิตาลีที่จะทำให้คุณเพลิดเพลินไปกับขบวนพาเหรดสุดตระการตา ดนตรีสด และกิจกรรมต่าง ๆ
ภาพจาก Kefca / shutterstock.com
4. เทศกาล Up Helly Aa Fire ประเทศสกอตแลนด์ (Up Helly Aa Fire Festival, Scotland)เทศกาล Up Helly Aa Fire เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองการสิ้นสุดเทศกาลคริสต์มาสอย่างยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังแฝงไปด้วยการเฉลิมฉลองทางด้านประวัติศาสตร์ด้วย โดยการเฉลิมฉลองจะเริ่มจากการเดินขบวนในช่วงระหว่างวัน ส่วนในช่วงกลางคืนจะมีการจุดคบเพลิงแล้วโยนใส่เรือไวกิ้งจำลอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมาของชาติในสมัยก่อนด้วย
ภาพจาก konstantin belovtov / shutterstock.com
5. เทศกาลปามะเขือเทศ ประเทศสเปน (La Tomatina, Spain)ภาพจาก BearFotos / shutterstock.com
6. เทศกาลบอลลูนนานาชาติ สหรัฐอเมริกา (Albuquerque International Balloon Festival, USA)งานรื่นเริงนี้เริ่มครั้งแรกในปี ค.ศ. 1972 ซึ่งเป็นการปล่อยบอลลูน 13 ลูกขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบสถานีวิทยุ 770 AM KOB Radio ซึ่งเป็นที่น่าตื่นใจไปทั่วทั้งเมือง จนกระทั่งมันได้กลายเป็นเทศกาลที่สร้างความบันเทิงให้กับผู้มาเยือนไม่น้อย การได้แชะภาพบอลลูนขนาดใหญ่หลากสีสันจำนวน 750 ลูก ค่อย ๆ ขึ้นสู่ท้องฟ้า ความงดงามตระการตาแบบนี้จะทำให้คุณลืมไปเลยว่า หลังจบงานคุณจะมีอาการปวดเมื่อยต้นคอแน่นอน !!
ภาพจาก gmeland / shutterstock.com
7. เทศกาลเบิร์นนิ่งแมน สหรัฐอเมริกา (Burning Man, USA)เทศกาลเบิร์นนิ่งแมนจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีบริเวณที่โล่งกว้างในรัฐเนวาดา ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองด้านความเจริญของศิลปะและวัฒนธรรม โดยจะมีศิลปินได้สร้างรูปปั้นขนาดยักษ์กว่า 12 รูป แต่ละรูปมีความสูงกว่า 100 ฟุตทีเดียว และเมื่อถึงเวลาค่ำคืนขณะที่ดนตรีบรรเลงก็ได้มีการเริ่มจุดไฟเผารูปปั้นเหล่านั้น ซึ่งแต่ละปีจะมีผู้เข้าชมเทศกาลดังกล่าวถึง 50,000 คน
ภาพจาก greg964 / shutterstock.com
8. เทศกาลลอยโคม ประเทศจีน (Lantern Festivals, China)เทศกาล Lantern มีมาตั้งแต่สมัยโบราณซึ่งจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในวันที่ 15 ของเดือนแรกในปฏิทินตามฉบับของจีน ซึ่งแต่เดิมนั้นทั้งชาวจีนและเวียดนามได้ร่วมกันสืบทอดเทศกาลนี้ โดยการปล่อยโคมลอยนับพันบริเวณวัด กระทั่งปัจจุบันมันจะกลายเป็นประเพณียอดฮิตที่นักท่องเที่ยวอยากจะมาเห็นกับตาสักครั้ง ความงดงามของโคมลอยที่ส่องสว่างแข่งกันแสงดาวบนท้องฟ้านับพัน ช่างเป็นภาพที่งดงามเหนือคำบรรยาย อีกทั้งมันยังแฝงไปด้วยความหมายที่สื่อถึงการปล่อยเรื่องไม่ดีในอดีตให้ลอยไปกับโคม แล้วพร้อมที่จะเริ่มชีวิตใหม่ที่สุกสกาวอีกครั้ง
9. เทศกาลการ์มา ประเทศออสเตรเลีย (Garma Festival - Australia)
เทศกาลการ์มา จัดโดยชนเผ่า Yolngu ของประเทศออสเตรเลีย โดยได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากทางการ เพื่อเป็นการสืบสานและอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น โดยเทศกาลการ์มาจะเป็นการแสดงการเต้น ขับร้อง ศิลปะ และท่วงท่าการรำธงบนพื้นทราย นอกจากนี้ยังมีการแบ่งปันความรู้และวัฒนธรรมของชนเผ่าด้วย แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถเข้าชมกันได้ทุกคนนะ เพราะผู้ที่จะเข้าร่วมงานได้จะต้องเป็นผู้ที่ถูกเชิญเท่านั้น
ภาพจาก J Mundy / shutterstock.com
10. เทศกาลพระอาทิตย์ ประเทศเปรู (Inti Raymi (Festival of the Sun) - Peru)ชนเผ่าอินคาได้มีการเดินขบวนพาเหรดเพื่อบูชาเทพแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นอีกเทศกาลสำคัญของชนเผ่า นอกจากนี้ยังถือเป็นการรำลึกถึงบรรพบุรุษที่ร่วมก่อตั้งชนเผ่าอินคาด้วย ซึ่งคุณจะตื่นตาตื่นใจไปกับการแต่งการตามแบบฉบับของชนเผ่าที่จัดมาแบบเต็ม ๆ และยังมีการแต่งเป็นเทพเจ้าแบบจำลองด้วย
ภาพจาก Jeff Cleveland / shutterstock.com
11. เทศกาลหิมะที่ซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น (The Sapporo Snow Festival - Japan)ภาพจาก stock_shot / shutterstock.com
12. เทศกาลช้าง ประเทศอินเดีย (Elephant Festival, India)ช้างถือเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองและเป็นสัตว์สำคัญของประเทศอินเดีย ซึ่งในทุก ๆ ปีก็จะมีการจัดเทศกาลช้างขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม โดยมีการแต่งองค์ทรงเครื่องช้างด้วยผ้าและเครื่องประดับ จากนั้นก็เป็นการเดินขบวนของช้างไปตามจุดต่าง ๆ ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะคุณจะได้หัวเราะไปกับการแข่งขันโปโลน้ำของช้าง การชักกะเย่อ และการแข่งขันอื่น ๆ ด้วย
ภาพจาก Phuong D. Nguyen / shutterstock.com
13. วันแห่งความตาย ประเทศเม็กซิโก (Day of the Dead - Mexico)ภาพจาก Diego Grandi / shutterstock.com
14. ไวท์ ไนท์ เฟสติวัล ประเทศรัสเซีย (White Nights Festival - Saint Petersburg, Russia)ภาพจาก Lizavetta / shutterstock.com
15. เทศกาลอิเล็คทริค ฟอเรสต์ มิวสิค เฟสติวัล สหรัฐอเมริกา (Electric Forest Music Festival, Rothbury, USA)Electric Forest Music Festival เป็นเทศกาลที่จะทำให้คุณตื่นตาไปกับแสงไฟหลากสีท่ามกลางป่าไม้ ถือเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมีดนตรีสดให้คุณได้สัมผัสถึงความชิลสุด ๆ แต่จะว่าไปมันก็โรแมนติกไม่เบาเลย ที่สำคัญผู้ที่แวะเวียนมาเที่ยวชมยังได้ทำบุญไปในตัวด้วย เพราะรายได้บางส่วนนั้นเขาจะนำไปบริจาคให้กับหมู่บ้านยากไร้ด้วย
16. เทศกาลแกะสลักทรายนานาชาติ ประเทศโปรตุเกส (International Sand Sculpture Festival, Portugal)
ถือเป็นการแสดงผลงานการแกะสลักทรายกลางแจ้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเลย ซึ่งในแต่ละปีจะมีศิลปินกว่า 60 คน ที่ใช้ทรายมากกว่า 35,000 ตัน ในการสร้างสรรค์ประติมากรรมชิ้นเอกให้เป็นรูปร่างรูปทรงต่าง ๆ อย่างงดงาม ไม่ว่าจะเป็น รูปคนดัง, ภาพการ์ตูน, ภาพล้อเลียน, สัตว์ ที่สำคัญยังงดงามและสมจริงสุด ๆ ด้วยนะ
ภาพจาก Styve Reineck / shutterstock.com
17. เทศกาลป่าฝน เวิลด์ มิวสิค เฟสติวัล ประเทศมาเลเซีย (Rainforest World Music Festival, Kuching, Malaysia)เป็นอีกเทศกาลที่คอดนตรีห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง ที่ซึ่งคุณจะได้สัมผัสกับดนตรีสดหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นร็อก, ป๊อบ, แจ๊ส หรืออะคูสติก เรียกว่าเอาใจทุกคอเพลงทุกแนวดนตรีเลย และศิลปินที่มาเล่นก็เป็นศิลปินชื่อดังจากทั่วโลกด้วย ไฮไลต์เด็ดก็คงจะอยู่ที่การได้ผ่อนคลายด้วยเสียงดนตรีท่ามกลางขุนเขาและป่าฝน ได้นั่งจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ พร้อมฮัมเพลงไป อะไรจะมีความสุขไปกว่านี้อีก
18. เทศกาล Cascamorras ประเทศสเปน (Cascamorras, Spain)
Guadix และ Baza เป็นสองเมืองที่ตั้งอยู่ในกรานาดา (Granada) กล่าวกันว่าเมื่อ 500 กว่าปีก่อนสองเมืองนี้เคยเป็นทั้งมิตรและศัตรู โดย Cascamorras คนงานชาว Guadix ได้เข้าไปขุดพบของล้ำค่าในเมือง Baza และเขาพยายามที่จะนำมันกลับมายังเมืองของตน กระทั่งถูกจับได้และกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตระหว่างสองเมืองในที่สุด หลังจากนั้นไม่นานผู้คนส่วนใหญ่อยากให้ทั้งสองเมืองกลับมาเป็นมิตรกันดังเดิม จึงได้อธิษฐานอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และก็ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากนั้นทั้งสองเมืองก็กลับมารักกันเช่นเดิม และก็ได้จัดเทศกาลรื่นเริงขึ้นโดยการเพ้นท์และสาดหมึกสีดำใส่กันอย่างสนุกสนาน
ภาพจาก majivecka / shutterstock.com
19. เทศกาลแกลสตันบูรี ประเทศอังกฤษ (Glastonbury, England)แกลสตันบูรี เป็นเทศกาลดนตรีและการแสดงบนผืนหญ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ยังพบว่าในปี ค.ศ. 2003 มีการบันทึกจำนวนผู้ร่วมงานได้ถึง 135,500 คนเลยทีเดียว นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาต้องการชมศิลปินชื่อก้องโลกเล่นสดบนเวทีอย่างวง Arctic Monkeys และวง Rolling Stones นั่นเอง นอกจากนี้ยังมีโชว์ต่าง ๆ ทั้งภาพยนตร์, คณะตลก และการแสดงละครสัตว์ด้วย
ภาพจาก marietta peros / shutterstock.com
เรียกว่าแต่ละประเทศหรือแต่ละท้องถิ่นก็มีเทศกาลน่าสนใจ
ที่เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสสักครั้ง
ซึ่งนอกจากความสนุกสนานที่จะได้รับแล้ว เรายังจะได้เรียนรู้ถึงประเพณี
วัฒนธรรม และความเชื่อของประเทศนั้น ๆ ด้วย
และอย่าลืมว่าไม่ว่าเราจะไปแวะเวียนไปท่องเที่ยวที่ใด
ก็ควรเคารพวัฒนธรรมและความเชื่อของท้องถิ่นนั้น ๆ ด้วยนะ
เพื่อการเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีที่ไม่ว่าจะแวะเวียนไปอีกสักกี่ครั้งพวกเขาก็ยังต้อนรับเราอยู่เสมอหมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก
distractify.com, theculturetrip.com, fortravelovers.com และ greenglobaltravel.com