คู่มือและรีวิวการท่องเที่ยวตุรกี...ดินแดนมหัศจรรย์
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณมิลานน้อย สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
หลังจากที่เราได้นำเอารีวิว ใคร ๆ ก็ไปเที่ยวรัสเซียได้ด้วยตัวเอง คู่มือและรีวิวฉบับสมบูรณ์ ของ คุณมิลานน้อย สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ซึ่งบอกเล่าประสบการณ์ ขั้นตอนการเตรียมตัวเที่ยวรัสเซีย และสถานที่ท่องเที่ยวในรัสเซียมาฝากกันแล้ว มาคราวนี้ก็ถึงคิวของ "ตุรกี ดินแดนมหัศจรรย์ (คู่มือและรีวิวการท่องเที่ยวรัสเซียและตุรกีฉบับสมบูรณ์) ตอนตุรกี" กันบ้าง เพราะ คุณมิลานน้อย สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ก็นำข้อมูล ขั้นตอนการเตรียมตัว และประสบการณ์การท่องเที่ยวในตุรกีมาฝากกันอีกครั้ง เอาเป็นว่าไปชมภาคต่อของรีวิวนี้กันดีกว่าค่ะ ลองดูว่า "ตุรกี" ประเทศสองทวีปที่มีดินแดนอยู่ทั้งในทวีปเอเชียและทวีปยุโรปจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง
+++++++++++++++++++++++
ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำว่า "สวัสดีและขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ล้นหลามจากเพื่อนสมาชิกทุกท่านอีกครั้ง" หลังจากที่ผมได้ทำกระทู้รีวิว ใครๆ ก็ไปญี่ปุ่นได้ด้วยตัวเอง (คู่มือและรีวิวการไปเที่ยวญี่ปุ่น ฉบับสมบูรณ์) ก็ได้เสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากในและนอกกระทู้ มากมายอย่างที่ผมไม่เคยได้รับมาก่อน จนเป็นแรงบันดาลใจให้ผมได้ออกเดินทางและกลับมาทำรีวิวแนะนำวิธีการเดินทางให้เพื่อน ๆ สมาชิกได้ชมได้อ่านอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้ผมได้เดินทางไปประเทศรัสเซียกับตุรกี และก่อนหน้านี้ผมได้ทำรีวิวในส่วนของประเทศรัสเซียเสร็จเรียบร้อยและนำมาลงให้เพื่อน ๆ ได้ชมได้อ่านกันไปแล้ว ในกระทู้ "ใคร ๆ ก็ไปเที่ยวรัสเซียและตุรกี ได้ด้วยตัวเอง (คู่มือและรีวิวการท่องเที่ยวรัสเซียและตุรกี ฉบับสมบูรณ์) ตอนรัสเซีย" ซึ่งเป็นประโยชน์ กับเพื่อนสมาชิกบางท่านไม่มากก็น้อย วันนี้ผมจึงขอมาทำต่อในส่วนที่ติดค้างอยู่ให้เสร็จ เผื่อรีวิวและคู่มือการท่องเที่ยวฉบับเล็ก ๆ ฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อใครในโอกาสต่อไป "ตุรกี ดินแดนมหัศจรรย์ (คู่มือและรีวิวการท่องเที่ยวรัสเซียและตุรกี ฉบับสมบูรณ์)"
ก่อนอื่นผมต้องขอบอกก่อน (และบอกทุกครั้งที่ทำรีวิว) ว่าเนื่องจากผมไม่มีเพจ Facebook บล็อก หรือเว็บไซต์เป็นของตัวเอง แต่ด้วยเหตุที่เป็นคนชอบท่องเที่ยวเลยอยากที่จะแชร์ข้อมูลในสิ่งที่ผมได้เห็น ได้รู้ มาจากสถานที่จริงบ้าง หน้าหนังสือบ้าง เว็บไซต์บ้าง หรือสื่อชนิดต่าง ๆ บ้าง ให้เพื่อนที่ชอบท่องเที่ยวเหมือนกันหรือเพื่อนที่อยากไปเที่ยว โดยเฉพาะ "ตุรกี" กับ "รัสเซีย" แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไป ได้รับทราบข้อมูลหรือได้ประโยชน์มากที่สุดจากข้อมูลนี้ ดังนั้น เว็บไซต์ Pantip จึงเป็นช่องทางแรกและทางเดียวที่ผมพอจะคิดออกในการเลือกที่จะแชร์ขอมูลเหล่านี้ไปสู่เพื่อนสมาชิกชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กทุกท่าน
และอย่างที่ผมเคยบอกเสมอและต้องบอกอีกครั้งครับว่า ผมขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่เซียน ไม่ใช่กรูรูที่รู้หมดทุกอย่าง ผมไม่ใช่คนที่เขียนบทความเก่งขั้นเทพถึงขนาดเขียนบทความขายเหมือนคนอื่นเขาได้ แต่กระทู้นี้ผมพยายามตั้งใจทำ โดยรวบรวมข้อมูลที่ตัวเองรู้ ได้เห็น ได้เจอมากับตัว และข้อมูลจากหนังสือ หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ เพียงเพราะหวังว่ากระทู้ที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ คงได้ประโยชน์ต่อใครหลายคน และหวัง ถึงขนาดที่ถ้าใครคิดจะไปเที่ยวรัสเซียหรือตุรกีไม่ต้องไปหาซื้อหนังสือเล่มไหนมาอ่านให้เสียตังค์แล้ว เพราะ ถ้าคุณอ่านรีวิวผมตั้งแต่ต้นจนจบ ผมกล้ารับประกันเลยว่าต่อให้คนที่ไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศมาก่อนก็ไม่มีปัญหาที่จะไปเที่ยวสองประเทศนี้แน่นอน
และก็เหมือนที่ผมเคยบอกครับว่าการทำรีวิวและคู่มือการท่องเที่ยวของผม ผมพยายามเขียนข้อมูลให้เข้าใจง่ายและละเอียดที่สุด (ตั้งแต่วันที่คุณมีความคิดจะไปตุรกี จนถึงวันที่เดินทางกลับมาเมืองไทย) หากข้อมูลส่วนไหนเพื่อนสมาชิกท่านใดทราบอยู่แล้วโปรดจงข้ามไปอ่านหัวข้อต่อไป หรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนสมาชิกท่านอื่น
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายผมไม่ขอบอกแล้วกันว่าผมใช้รวมไปตลอดทริปเท่าไร เดี๋ยวถ้าผมบอกไปหลายคนอาจ สงสัยว่าคำว่า .... บาท
- ใช้อะไรไปบ้าง ?
- ทำไมถูกจัง ทำได้จริงเหรอ ?
- ทำไมแพงจัง คนอื่นไปใช้กันไม่เห็นถึงเลย ?
ผมจึงไม่ขอบอกดีกว่าว่าตลอดทริปผมใช้อะไรไป กี่บาท แต่ผมจะขอแจกแจงรายละเอียดการใช้จ่ายที่จำเป็น เป็นวัน ๆ ให้เห็นกันไปเลยดีกว่า ส่วนจะถูกจะแพงก็แล้วแต่ตัดสินใจ จะตามหรือจะเลี่ยงไม่เอาอย่างก็แล้วแต่ดุลพินิจ เพื่อเป็นบรรทัดฐานเดียวกันของนักท่องเที่ยวทุกคน ค่าใช้จ่ายดังกล่าวผมขอบอกแต่ค่าใช้จ่ายที่จำต้องจ่าย (ค่าเดินทาง ที่พัก ค่าเข้าชม) ส่วนค่ากิน ค่าช้อป ค่าขนม ค่าน้ำ ค่ารถ ค่าอะไรเล็กน้อยไม่ถึง 100 บาท ผมขอไม่กล่าวแล้วกัน เพราะค่าใช้จ่ายพวกนี้มันแล้วแต่ตัวบุคคล เพราะบางคนกินแพง บางคนกินถูก บางคนกินน้อย บางคนกินมากต่าง ๆ กันไป
*** รีวิวนี้ผมจะใช้สมมติฐานว่าทุกคนที่เข้ามาอ่านไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน ดังนั้น ผมจึงขอรีวิวแบบละเอียดกันถึงขนาด "แนะนำไปซ้ายไปขวา เข้าหน้าออกหลัง" เพื่อประโยชน์ของเพื่อนสมาชิกที่สนใจได้อ่านและเข้าใจง่ายที่สุด หากท่านใดทราบส่วนไหนอยู่แล้วอย่าเพิ่งรำคาญนะครับ ถือว่าให้คนที่ยังไม่รู้ได้รู้แล้วกัน ......
^^ Turkish Tea (ชาตุรกี) ที่ใครมาเยือนตุรกีแล้วไม่ได้ลอง "ถือว่า...ผิด !!!" และ "จะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง"
^^ Uchisar หรือที่หลาย ๆ คน เรียกปราสาทอุชิซาร์ หนึ่งในความมหัศจรรย์ของ Cappadocia
^^ Ephesus หนึ่งในเมืองโบราณที่โคตร ๆ จะโบราณ สวยและดังที่สุดในตุรกีและโลก
^^ Maiden Tower หองาม ๆ กลางทะเล
^^ ภูมิประเทศสุดแสนจะแปลกประหลาดที่ Pamukkale หรือปราสาทปุยฝ้าย
^^ Topkapi พระราชวังอันยิ่งใหญ่สมัยจักรวรรดิออตโตมัน
^^ มหามัสยิด Blue Mosque มัสยิดสีฟ้า หรือ Sultan Ahmet 1 Mosque
^^ เซนต์โซเฟียยามค่ำคืน
^^ วิวมุมสูงของมหานครอิสตันบูล หรือกรุงคอนสแตนติโนเปิล หรือเมืองอิสลามบูล
เพื่อให้ง่ายต่อการอ่านผมขอแยกเป็นหัวข้อดังนี้ครับ
** ก่อนไปตุรกีมารู้จักตุรกีกันหน่อย **
** เตรียมตัวก่อนออกเดินทาง **
1. ทำโปรแกรมการเดินทาง
2. วีซ่า/ไม่ต้องวีซ่า
3. สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับวิธีการเดินทางในตุรกี
4. ภูมิอากาศและการแต่งกาย
5. โทรศัพท์และเครื่องมือสื่อสาร
6. แลกเงิน
(ส่วนการจองโรงแรม/ตั๋วเครื่องบิน/การจัดกระเป๋า/คาดคะเนค่าใช้จ่าย ถ้าใครสนใจลองกลับไปดูในตอนที่แล้วครับ http://pantip.com/topic/32370570)
** คำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับตุรกี **
** โปรแกรมการเดินทาง **
วันที่ 1 มอสโก/กรุงเทพฯ >> อิสตันบูล >> เซลจุก (Selcuk)
วันที่ 2 เซลจุก (Selcuk) เที่ยวเมืองโบราณเอฟิซุส (Ephesus) >> ปามุคคาเล (Pamukkale)
วันที่ 3 ปามุคคาเล (Pamukkale) >> Goreme (Cappadocia)
วันที่ 4 Goreme (Cappadocia) >> อิสตันบูล
วันที่ 5 อิสตันบูล
วันที่ 6 อิสตันบูล
วันที่ 7 อิสตันบูล
วันที่ 8 อิสตันบูล >> กรุงเทพฯ
** ก่อนไปตุรกีมารู้จักตุรกีกันหน่อย **
ตุรกี มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สาธารณรัฐตุรกี เป็นประเทศที่มีดินแดนอยู่ในสองทวีป ได้แก่ ทวีปยุโรปทางตอนใต้ ที่เรียกว่า เทรซ (Thrace) และทวีปเอเชียทางฝั่งตะวันตก ที่เรียกว่า อนาโตเลีย (Anatolia) หรือถ้าจะเรียกตามภาษาตุรกีต้องเรียกว่า "อนาโตหลุ" โดยส่วนที่แยกอานาโตเลียและเทรซออกจากกัน คือ ทะเลมาร์มารา ช่องแคบบอสฟอรัส และช่องแคบดาร์ดะเนลส์ ตุรกีมีพื้นที่หมดของประเทศถึง 783,562 ตารางกิโลเมตร (ใกล้เคียงกับพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทยรวมกับประเทศลาว) ซึ่งมีพรมแดนทางด้านทิศตะวันออกติดกับประเทศจอร์เจีย อาร์มีเนีย อาเซอร์ไบจาน และอิหร่าน ส่วนพรมแดนทางด้านทิศใต้ติดกับอิรัก ซีเรีย และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนทางทิศตะวันตกติดกับกรีซ บัลแกเรีย และทะเลอีเจียน ทางเหนือติดกับทะเลดำ มีจุดสูงสุดของประเทศ คือ ยอดเขาบูยุค อากูรี ดากุย (5,000 เมตร) ซึ่งหากว่าไปแล้วตุรกีถือเป็นประเทศที่มีทำเลที่ตั้งดีมาก ๆ เพราะมีทะเลล้อมรอบถึง 3 ด้าน รวมความยาวชายฝั่งทั้งหมดถึง 8,000 เมตร มีเมืองหลวง คือ กรุงอังการา (แต่เมืองที่มีประชากรมากที่สุด คือ อิสตันบูล) และทั่วประเทศแบ่งการปกครองเป็น 81 จังหวัด ได้แก่ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ประเทศตุรกี มีประชากรทั้งหมด (พ.ศ. 2555) 78.8 ล้านคน เป็นชาวเติร์ก 85% ชาวเคิร์ด 10% และที่เหลือ คือ ชนกลุ่มน้อยเชื้อสายต่าง ๆ ซึ่งภาษาราชการ ได้แก่ ภาษาเตอร์กิช และมีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ส่วนเรื่องเวลาของตุรกีเร็วกว่าเวลามาตรฐานกรีนิช 2 ชั่วโมง และช้ากว่าเมืองไทย 5 ชั่วโมง ในฤดูหนาว (เริ่มประมาณเดือนตุลาคม) แต่ฤดูร้อน (เริ่มประมาณเดือนมีนาคม) จะช้ากว่าเมืองไทยเพียง 4 ชั่วโมง
** เตรียมตัวก่อนออกเดินทาง **
1. ทำโปรแกรมการเดินทาง
ตามที่เคยกล่าวไปและจะขอกล่าวอีกครั้งครับว่าการจะไปแบ็คแพ็คหรือเดินทางไปไหนก็แล้วแต่ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด จะรอดหรือจะไม่รอดก็อยู่ที่ขั้นตอนนี้แหละครับ คำว่าทำแผนการเดินทาง คือ การทำโปรแกรมการเที่ยวนั้นแหละครับว่าวันไหนไปไหน ไปอย่างไร (ทำให้ละเอียด) ไปกี่วัน จากที่หนึ่งไปที่หนึ่งไปยังไง และสำคัญ คือ ทำแผนสำรองไว้ด้วย เพราะการเที่ยวต่างประเทศด้วยตัวเองไม่เป็นไปตามแผนเสมอหรอกครับ เช่น วันนี้ทำโปรแกรมว่าจะไปสถานที่ a อยู่ที่ a ทั้งวัน แต่เอาเข้าจริงวันนั้นสถานที่ a เข้าไม่ได้เนื่องจากปิดทำการ ถ้าไม่มีแผนสำรองวันนั้นได้นั่งกินมาม่าที่โรงแรมไม่ต้องไปไหนแน่นอนครับ ซึ่งการทำโปรแกรมที่ดีควรต้องทำให้เยอะ (เขียนโปรแกรมและสถานที่ท่องเที่ยวไปให้เยอะ ๆ ให้ละเอียด ส่วนเมื่อไปถึงจริงจะไปหรือไม่ไปก็ค่อยว่ากันอีกที เพราะถ้าทำแบบนี้หากเกิดเหตุสุดวิสัยไปสถานที่ที่กำหนดไม่ได้ก็ยังไปที่อื่นในโปรแกรมได้) และเผื่อเวลาให้มาก ๆ (สำคัญมากครับการเผื่อเวลา เช่น ไปถึงเมือง ก 10.00 น. ต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถไปที่เมือง ก ผมแนะนำให้กะเวลาเปลี่ยนรถไฟให้นาน ๆ นานเท่าไหร่ได้ยิ่งดี เช่น ถึงเมือง ก 10.00 น. เวลาที่ควรขึ้นรถไฟไปต่อ คือ 10.20 น. หรือมากกว่านั้น เพราะถ้าเวลาน้อยเกิน เช่น มีเวลาเปลี่ยนรถไฟแค่ 5 นาที หากรถไฟคันแรกมันมาช้าไปหกนาทีหรือมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้เรามาไม่ทันการเปลี่ยนรถไฟ มันจะทำให้เราเกิดปัญหาได้)
โดยเฉพาะเมื่อคุณคิดจะไปเที่ยวตุรกีแล้ว คุณต้องทำการบ้านเป็นสองเท่า เพราะถ้าใครเคยไปญี่ปุ่นหรือยุโรปมาแล้วและคิดว่าที่นี่จะเหมือน ให้เลิกคิดไปได้เลย เพราะแม้ที่นี่จะเป็นประเทศที่ค่อนข้างเจริญในระดับหนึ่ง แต่ประเทศนี้ก็เป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่มากในระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน นั่นแปลว่าอะไร ? แปลว่า แม้ที่ตุรกีจะมีรถไฟ แต่รถไฟก็ไม่ได้ครอบคลุมไปหมดทุกพื้นที่ แต่อย่างไรเสียแม้รถไฟจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด แต่เราก็ไม่ต้องไปกลัว เพราะที่นี่มีรถบัสหรือรถทัวร์คอยให้บริการเกือบทุกมุมเมือง ตรอก ซอกซอย หมู่บ้าน ดังนั้น จึงไม่ใช่ปัญหาถ้าคุณคิดจะไปประเทศนี้ โดยเตรียมพร้อมไปด้วยข้อมูลและโปรแกรมการเดินทางที่ดี >>> และหากใครอยากรู้ขั้นตอนและวิธีการ โปรแกรมการเดินทาง โปรดไปดูที่กระทู้ที่แล้วครับ http://pantip.com/topic/32370570
** เมื่อรู้วิธีการทำโปรแกรมคราวนี้ก็มารู้จักที่เที่ยวในประเทศตุรกีกัน ซึ่งจริง ๆ โปรแกรมปกติที่หลาย ๆ คนไปเที่ยวมาจะเที่ยวแบบเป็นวงกลม (เพื่อมองเห็นภาพได้ง่ายขึ้นโปรดดูแผนที่ประกอบ)
เริ่มต้นจากอิสตันบูล >> แล้วจะไปที่คัปปาโดเซีย >> แล้วต่อไปปามุคคาเล >> ปิดท้ายที่เซลจุก (เมืองโบราณเอฟิซุส) >> และกลับอิสตันบูล หรือจะทำเหมือนโปรแกรมแรกแต่เริ่มต้นที่เซลจุกแล้วไปปิดที่คัปปาโดเซียก็ได้ไม่มีปัญหา หรือถ้าใครมีเวลามากหน่อยจะไปต่อที่อังการา หรืออิซมีร์ หรือกอนยา (คอนย่า) ก็ถือเป็นโปรแกรมที่น่าสนใจไม่น้อย หรือถ้าใครอยากเห็นเมืองโบราณที่เคยโด่งดังในอดีตอย่างเมืองทรอย ก็ไป ที่ชานักกาเล (ซึ่งไม่ไกลจากอิสตันบูลเท่าไร) และหากใครมีเวลาแบบเหลือ ๆ แล้วอยากเปิดมุมมองใหม่ ๆ ก็ไปทางตะวันออกของประเทศ (อาณาจักรโคมายานา หุบเขาเทพเจ้า เขาเนมรุต) ก็เป็นโปรแกรมที่น่าสนใจไม่ใช่เล่น
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลผมได้นั่งคิดและวางแผนการเดินทางตามความต้องการของตัวเอง จนได้โปรแกรมออกมาดังนี้
{อิสตันบูล >> เซลจุก >> ปามุคคาเล >> คัปปาโดเซีย >> อิสตันบูล}
2. วีซ่า (VISA)
ตุรกีเป็นอีกประเทศหนึ่งที่คนที่ถือหนังสือเดินทางของประเทศไทยอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ สามารถเข้าตุรกีได้ง่ายแสนง่าย (ถ้าอยู่ไม่เกิน 30 วัน) หรือถ้าพูดง่าย ๆ แค่คุณไปแต่ตัวและมีหนังสือเดินทางเมื่อคุณลงจากเครื่องก็เดินตรงเข้าไปในด่านตรวจคนเข้าเมืองได้เลย โดยไม่ต้องเขียนใบอะไรทั้งนั้น ทั้งใบขาเข้า ใบขาออก ใบสำแดง ใบ...และสำคัญจะบอกว่าเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่นี่เขาเหมือนไม่ค่อยสนใจอะไรมากด้วย เพราะเท่าที่ผมสังเกตพี่แกไม่ถามอะไรใครสักคน (ดูหนังสือเดินทางแล้วมองหน้าเราว่าคนเดียวกับหนังสือเดินทางไหม ถ้าตรงก็ให้ผ่านโดยไม่พูด ไม่ถามอะไรสักคำ)
แต่... ถ้าใครคิดจะไปเกิน 30 วัน ก็ต้องขอวีซ่า ซึ่งการขอต้องเตรียมเอกสาร ดังนี้
- หนังสือเดินทางมีอายุการใช้งานเหลือไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
- รูปถ่ายสีขนาด 2 นิ้ว 2 ใบ ฉากหลังสีขาว
- จดหมายจากที่ทำงานเป็นภาษาอังกฤษ ระบุตำแหน่ง เงินเดือน วันลา
- หลักฐานการเงินทางธนาคาร
- ค่าวีซ่าแบบ Multiple (เข้า-ออกหลายครั้ง) ราคา 3,850 บาท ถ้าแบบ Single Entry ราคา 2,000 บาท หรือจะโทรสอบถามสถานเอกทูตตุรกี ประจำประเทศไทย ได้ที่เบอร์ 0 2274 7262-3
3. สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับวิธีการเดินทางในตุรกี
** ข้อนี้ขอแยกเป็น 2 หัวข้อย่อย ได้แก่ **
- การเดินทางข้ามเมือง
- การเดินทางในอิสตันบูล
3.1 การเดินทางข้ามเมือง
จริง ๆ การเดินทางข้ามเมือ หรือข้ามจังหวัดของตุรกีที่เห็นหลัก ๆ มีกันอยู่ 3 แบบ (ไม่รวมกรณี เช่ารถขับ)
1. เครื่องบิน : ซึ่งเป็นการเดินทางที่นิยมกันในระดับหนึ่ง เพราะตุรกีเป็นประเทศที่กว้างใหญ่พอสมควร (ใหญ่ถึงขนาดนั่งรถกันไปเป็นวัน ๆ กันเลยทีเดียว) และราคาเครื่องบินภายในประเทศก็ไม่ได้แพงอะไรมากมาย แต่คำตอบนี้ก็อาจยังไม่ตอบโจทย์นักเดินทางได้ดีซะทีเดียว เพราะสถานที่ท่องเที่ยวบางที่ก็ไกลออกไปจากตัวเมืองหรือสนามบินไม่น้อย ** เมื่อคุณซื้อตั๋วเครื่องบินหรือก่อนซื้อโปรดดูดี ๆ นะครับว่าคุณต้องไปขึ้น ไปลงที่สนามบินไหนในอิสตันบูล เพราะในอิสตันบูลมีสนามบินหลักอยู่ 2 สนามบิน ซึ่งสนามบินที่เราลงเครื่องตอนเข้าตุรกีจะเป็นสนามบินอิสตันบูลฝั่งยุโรป ชื่อ สนามบินอตาเติร์ก หรือ Atatuk และอีกสนามบินหนึ่งอยู่ทางฝั่งเอเชีย ชื่อ สนามบินซาบิฮา โกคเคน หรือ Sabiha Gokcen
2. รถไฟ : รถไฟในตุรกีถ้าใครคิดไม่ออกให้คิดภาพรถไฟไทยดูครับ คือ จะบอกว่ารถไฟในตุรกีก็มีเหมือนบ้านเรา แต่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากรถไฟที่นี่ถึงมีแต่ก็ไม่ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวบางแห่งไม่มีรถไฟเข้าไปถึง
รถทัวร์ รถบัส เป็นคำตอบที่ใช่ที่สุดสำหรับคนตุรกีและนักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ เพราะไม่ว่าจากไหน ไปไหน เมืองไหน หมู่บ้านไหน รถทัวร์ก็มีไปถึง และสำคัญมีวันหนึ่งไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ การซื้อตั๋วก็แสนง่าย ซึ่งถ้าคุณคิดใช้บริการคุณไม่ต้องทำการจองหรือซื้อล่วงหน้าไปก่อนแต่อย่างใด แค่คุณไปถึงสถานีรถแล้วก็ซื้อก่อนรถจะออกสักชั่วโมงถึง 2 ชั่วโมง ส่วนตารางเวลารถก็ไปดูเอาที่สถานีเลย มีให้ใช้บริการหลายบริษัท ส่วนใครไม่แน่ใจเรื่องตารางเวลา โปรดเข้าไปดูล่วงหน้าในนี้ครับ
www.pamukkale.net
www.kamilkoc.com
www.metroturizm.com
www.suhaturizm.com
ซึ่งบริษัทเหล่านี้ คือ บริษัทใหญ่ที่มีรถวิ่งให้บริการเกือบทุกท้องที่ในตุรกี (แต่เท่าที่เจอมารถทัวร์ตุรกีไม่มีห้องน้ำเหมือนรถทัวร์บ้านเรานะครับ)
** คำว่า Otogar ภาษาเตอร์กิช แปลว่า สถานีรถบัส หรือเหมือน บขส. บ้านเรา คือ ถ้าคุณคิดภาพ Otogar บ้านเขาไม่ออกก็หลับตาคิดถึง บขส. บ้านเราครับ เหมือนกันยังกับแกะ เมืองใหญ่สถานีก็ใหญ่ตามเมือง เมืองเล็ก ๆ สถานีก็เล็ก ๆ มีบริษัทขายตั๋วอยู่ 3-4 บริษัท พอเราเดินไปถึงก็แย่งกันขายตั๋ว ดังนั้น หากคุณไปตุรกีไม่ว่าคุณอยู่ที่เมืองไหนและต้องการเดินทางข้ามเมือง คุณจงโปรดถามถึง Otogar
3.2 การเดินทางในอิสตันบูล
** เพื่อง่ายต้องการทำความเข้าใจ โปรดดูแผนที่ประกอบ
- ระบบคมนาคมในอิสตันบูลที่เห็นหลัก ๆ มีอยู่ 3 แบบ (ไม่รวมแท็กซี่) ได้แก่ รถบัส เรือข้ามฝาก และรถไฟ ซึ่งรถไฟในอิสตันบูลก็แบ่งได้อีก 2 แบบ ได้แก่ รถไฟฟ้า (บนดิน/ใต้ดิน) และรถรางที่วิ่งกันบนถนน ซึ่งทั้งสองแบบนี้ผมขอเรียกรวม ๆ กันว่า "รถไฟ"
- เมื่อดูจากแผนที่จะเห็นเส้นทางรถไฟเต็มไปหมด หลายสี หลายสาย เพื่อเป็นการไม่ให้งงและง่ายต่อความเข้าใจ ผมขอตัดทิ้งทั้งหมด คงเหลืออธิบายแต่สายหลัก ๆ ที่เราจำต้องใช้อยู่เพียง 2 สายหลัก และ 1 สายย่อย
- 1 สายย่อย ได้แก่ เส้นสีขาว ๆ (เส้นข้ามทะเลจากฝั่งยุโรปไปเอเชีย) เส้นนี้เรียกว่าเส้น Marmaray เป็นรถไฟฟ้าลอดใต้ทะเลจากฝั่งยุโรปไปเอเชีย (หากใครมาถึงอิสตันบูลน่าจะลองใช้บริการดู เพื่อเป็นประสบการณ์) จริง ๆ แล้วเส้นนี้จะวิ่งแค่ 2-3 สถานี ได้แก่ สถานี Sirkeci > Uskudar > Ibrahimaga หรือ Ayrilikcesme (สถานีมีห้างใหญ่มาก ๆ)
- 2 สายหลัก ได้แก่ สายสีแดง (M1) สายนี้เป็นรถใต้ดิน ซึ่งเราต้องใช้บริการอย่างแน่นอน และใช้บริการเป็น สายแรกเมื่อมาถึงสนามบินแล้วจะต้องเดินทางเข้าเมือง ซึ่งสถานีที่สนามบินชื่อว่า สถานี Havalimani (รูปเครื่องบิน) เมื่อดูจากรูปจะเห็นว่าสายนี้ไปเชื่อมกับรถรางสายสีน้ำเงิน (T1) อยู่สามสถานี ได้แก่ ## Zeytinburnu (ซึ่งสถานีรถไฟ ยู่ติดกับรถรางเลย)/## Cevizlibag aoy/ ## Topkapi (ซึ่งสถานีรถไฟอยู่ห่างจากรถรางประมาณ 200 เมตร) และอีกสถานีหนึ่งของสายนี้ที่เราจำต้องใช้ คือ สถานี Otogar (ที่แปลว่า สถานีขนส่ง) เพราะถ้าเราจะขึ้นรถทัวร์ต้องมาขึ้นที่นี่
- สายหลักอีกสาย ได้แก่ สีน้ำเงิน (T1) สายนี้เป็นรถรางจะวิ่งไปตามท้องถนนเป็นสายหลัก ทุกคนที่จำต้องไปอิสตันบูลต้องใช้บริการอย่างแน่นอน เพราะเป็นรถไฟที่วิ่งผ่านแหล่งและจุดสำคัญ ๆ ทั่วทั้งเมือง เช่น
สถานี Bayazit คือ ตลาดแกรนด์บาซาร์
สถานี Sultan ahmet คือ สุเหร่าเซนต์โซเฟีย บลูมอสก์
สถานี Gulhane คือ ย่านเมืองเก่า และ พระราชวัง Topkapi
สถานี Sirkeci คือ ท่าเรือข้ามฝาก และ ริมทะเล
สถานี Eminonu คือ ตลาดสไปซ์ และ สะพานกาลาตา
สถานี Karakoy คือ หอกาลาตา
สถานี Kabatas คือ พระราชวัง โดมาบาเช่
- ทุกสายไม่ว่ารถรางหรือรถใต้ดิน หากเราลงจากสายแรกแล้วเปลี่ยนสายไปขึ้นอีกสาย เช่น เปลี่ยนจากรถใต้ดินไปขึ้นรถราง ก็ต้องซื้อตั๋วเพิ่ม สายใครสายมัน ใช้ร่วมกันไม่ได้ ราคาค่าใช้บริการอยู่ที่ประมาณ 3 TR หรือประมาณ 45 บาท ตลอดสาย แต่....ถ้าคุณใช้บัตรรถไฟแบบเติมเงินหรือที่เรียกว่า Istanbul card (Istanbulkart) คุณก็สามารถใช้บริการเฉลี่ยต่อรอบได้ประมาณ 2 TR ประมาณ 30 บาทเท่านั้น (ซึ่งวิธีการซื้อและใช้เดี๋ยวผมจะอธิบายโดยละเอียดในตอนรีวิวการเดินทางวันแรกที่ซื้อครั้งแรกครับ)
- รถเมล์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ วิธีการขึ้นก็ไม่ยาก แค่คุณดูรถประเภทมีแอร์และมีตัวอักษรอิเล็กทรอนิกส์ขึ้น ดูว่าตัวอักษรระบุว่ารถคันนี้ผ่านที่ไหนบ้าง ถ้าผ่านที่ที่เราจะไปก็ขึ้นได้เลย และรถเมล์ก็สามารถใช้ Istanbul card ได้เหมือนและราคาเท่า ๆ กับรถราง
4. ภูมิอากาศและการแต่งกาย
เนื่องจากตุรกีเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ ภูมิอากาศจึงแตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่ มีตั้งแต่ต่ำสุดถึงติดลบ และสูงสุดถึง 30 กว่าองศาเซลเซียส เช่น ชายฝั่งมีอากาศแบบเมติเตอร์เรเนียน ฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน-เดือนกันยายน) จะร้อน ฤดูหนาว (เดือนธันวาคม-เดือนมีนาคม) จะเย็นสบายค่อนไปทางหนาว แต่ถ้าเป็น พื้นที่ตอนกลางและตะวันออกของประเทศ ฤดูร้อนจะร้อน แต่ฤดูหนาวจะหนาวจัด ดังนั้น ก็ต้องดูว่าเราเลือกที่จะไป ฤดูไหน และส่วนไหนของประเทศ ซึ่งถ้าไปตอนกลางของประเทศ เช่น คัปปาโดเซีย ในฤดูหนาว ก็จงเตรียมเสื้อผ้าที่กันหนาวแบบอย่างดีไปเลย แต่ถ้าไปในฤดูร้อนก็เตรียมเสื้อแขนยาวเพื่อกันแดดไปหน่อยก็ดี
5. โทรศัพท์และเครื่องมือสื่อสาร
จริง ๆ จะบอกว่าเมื่อไปตุรกีเรื่องนี้ไม่ต้องห่วงครับ เพราะเรื่องโทรศัพท์และเครื่องมือสื่อสารเป็นเรื่องที่แสนง่าย โดยผมมีให้เลือกใช้บริการถึง 3 แบบ (ในกรณีไม่นับบริการที่นำซิมไปจากเมืองไทย ซึ่งได้แนะนำในกระทู้ที่แล้ว)
- โทรศัพท์โรงแรม : แบบนี้เป็นวิธีที่ง่าย แต่อาจจะแพงที่สุด วิธี คือ คุณไปขอทางโรงแรมโทรกลับเมืองไทย และให้ค่าค่าบริการเขาไปตามแต่เขาจะเรียก
- โทรศัพท์สาธารณะ : ซึ่งส่วนใหญ่ใช้บัตรแบบเติมเงิน (Pre-paid card) มีราคาประมาณ 8 TR ซื้อได้ตาม ซุ้มร้านค้าทั่วไป
- ซื้อซิมที่ตุรกี : ซึ่งวิธีนี้ก็ไม่ยาก เพราะแค่คุณเดินไปร้านมือถือและเข้าไปขอซื้อซิมเขาได้เลย ไม่ต้องใช้บัตรประชาชนหรือเอกสารอะไรทั้งนั้น แต่หากเขาไม่ขายให้ผมแนะนำ ให้ไปซื้อที่ Otogar ในอิสตันบูลได้เลย ซึ่งที่นี่จะขายราคา SIM card พร้อมเงินในบัตรให้เราในราคาประมาณ 30-40 TR
6. แลกเงิน
มีหลายคำถามเกี่ยวกับเรื่องเงินที่คาใจหลายคน ซึ่งผมขอแนะนำเป็นข้อ ๆ ดังนี้
- ตุรกีใช้เงินสกุลอะไร หน้าตาเป็นแบบไหน ?
ตอบ : ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2548 ประเทศตุรกีได้เปลี่ยนมาใช้เงินสกุลลีราใหม่ หรือ New Turkish Lira (TRY) ดังนั้น เวลาใครไปตุรกีต้องระหวังให้ดีถ้าเราไปซื้อของร้านไหนแล้วเขาทอนเงินเรามาโดยเป็นเงินสกุลเก่า อย่าไปรับ เพราะถ้ารับมาแล้วเราจะนำไปใช้ต่อไม่ได้ (มีประจำโดยเฉพาะเหรียญ)
** เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันในกระทู้นี้ ผมขอใช้ตัวย่อ TR แทน TRY ซึ่งหมายถึงเงิน New Turkish Lira
^^ รูปเงินลีราใหม่ โปรดจงดูและจำให้ดีโดยเฉพาะเหรียญ
- เงินตุรกีมีให้แลกในเมืองไทยไหม ?
ตอบ : มีครับ แต่ผมไม่ขอเอ่ยชื่อร้านแล้วกัน (เป็นร้านที่มีเงินสกุลแปลก ๆ ให้แลก) เพราะไม่แนะนำให้ไปแลกเลย เนื่องจากราคามันโหดเอามาก ๆ ผมเคยโทรไปถามกะว่าจะแลกไปนิดหน่อย แต่พอรู้ราคาถึงกับ ไม่เอาดีกว่า
- เมื่อไม่ได้แลกไปจากเมืองไทยแล้วต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : ให้เราถือเงินยูโรหรือดอลลาร์ (USD) ไปแลกที่ตุรกีจะได้เรทราคาที่ดีกว่าในเมืองไทยมาก ขอย้ำว่า "มาก" (ถ้าผมจำไม่ผิดแลกที่ไทยกับตุรกี เมื่อแลกไปแลกกลับต่างกันเกือบ 1 TR ต่อ 3 บาท)
- เมื่อถือยูโรหรือดอลลาร์ไปแล้วจะนำไปแลกที่ไหนในตุรกี และได้ราคาเท่าไหร่ ?
ตอบ : จริง ๆ แลกที่สนามบินได้ครับ แต่ก็ไม่แนะนำให้แลกเยอะ เพราะที่สนามบินเมื่อดูเรทราคาบวกกับค่าธรรมเนียมแล้วราคาไม่ถือว่าดีเลย (50 USD แลกได้ 100 TRY ตกแล้ว 1 TR = 16 บาทกว่า ๆ) ให้เราแลกไปนิดหน่อยเพื่อเข้าเมือง แล้วนำไปแรกในเมือง ซึ่งสถานีที่เห็นมีร้านแลกเงินหลายร้าน ได้แก่ สถานี Laleli universite/สถานี Beyazit (ตลาดแกรนด์บาซาร์)/สถานี Sultan ahmet…(และอีกหลายสถานีที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว) ราคาจะตกอยู่ที่ 1TRY = 15 บาทกว่า ๆ ( ในกรณี ดอลลาร์ = 32 บาทกว่า ๆ )
- สรุปแล้วไปตุรกีถือยูโรหรือดอลลาร์ไปดีกว่า ?
ตอบ : มีหลายคนทั้งในไทยและตุรกีบอกว่า ถ้าจะถือไปแลกเงินลีราให้ถือเงินดอลลาร์ไป เพราะจะได้ราคา ดีกว่ายูโรนิดหน่อย (ซึ่งผมไม่แน่ใจในคำตอบนี้ เพราะผมไม่ได้ถือเงินยูโรในเรทราคาเดียวกัน ณ วันที่แลก ไปจากเมืองไทยไปแลกเพื่อเปรียบเทียบ เลยไม่ทราบจริง ๆ ว่าอะไรดีกว่า ได้แต่ฟังเขามาอีกทีเหมือนกัน) แต่....ถ้าถามว่าอะไรนำมาใช้ได้ง่ายกว่า ผมตอบได้เลยว่ายูโรครับ เพราะแม้หลายร้านจะรับทั้งยูโรและดอลลาร์ แต่พอมานั่งดีดราคาดูแล้วบอกตรง ๆ ว่าใช้เงินยูโรซื้อจะซื้อได้คุ้มและถูกกว่าดอลลาร์นิดหน่อย หรือบางร้านก็รับแต่ยูโรไม่รับดอลลาร์ (แต่ร้านที่รับแต่ดอลลาร์ไม่รับยูโรไม่มี)
** คำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับตุรกี **
1. มาถึงตุรกีต้องไม่พลาดที่จะกินอะไรบ้าง ?
ตอบ : จริง ๆ ตุรกีเป็นประเทศที่มีของกินเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและอร่อยอยู่หลายอย่าง ทั้งแบบมีที่ตุรกีเท่านั้นหรือมีหลายที่ในโลก แต่จะกินให้อร่อยต้องมากินที่ตุรกีเท่านั้น ซึ่งเมื่อผมลองชิมแล้ว อยากแนะนำต่อ มีทั้งหมด 8 อย่าง แบ่งเป็น 5 อย่างที่ต้องบอกว่า "เฮ้ย ๆๆ อร่อยจริง" กับอีก 3 อย่างที่ "รสชาติธรรมดา ๆ แต่ถ้าไม่กินจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง" ซึ่งทั้งหมดนี้ขอย้ำว่าเป็นความรู้สึกส่วนตัวผมล้วน ๆ ขอแนะนำ 3 อย่างที่ "รสชาติธรรมดา ๆ แต่ถ้าไม่กินจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง” ก่อนแล้วกัน
- simit คือ ขนมปังไม่มีไส้ โรยด้วยงา
- Guvec (กุเวช) วัว/แกะ อบในหม้อ
- Kazanbidi พุดดิ้งนมสดในถาดสี่เหลี่ยม
และอีก 5 อย่าง ที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาดถ้าคุณได้มาเยือนตุรกี
อย่างแรกไอศกรีมตุรกีหรือ Dondurma เป็นไอศกรีมที่ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า เป็นไอศครีมที่อร่อยที่สุดในโลกตั้งแต่ที่ผมเคยกินมา เพราะมันเหนียวนุ่ม หวาน มัน และสำคัญ คือ ก่อนกินคนขายจะมีโชว์อะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เราได้ชมก่อนนิดนึง (ที่เมืองไทยมีขายและรสชาติก็อร่อยไม่ต่างจากที่ตุรกีเลย)
อย่างที่สอง Turkish tea หรือชาตุรกี เป็นชาร้อนไม่ใส่นม เสิร์ฟมาในแก้วที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใครชอบหวานมากก็ใส่น้ำตาลมาก ใครชอบหวานน้อยก็ใส่น้ำตาลน้อย แต่สำคัญ คือ เป็นชาที่หอมมาก ๆ
อย่างที่สาม Lokum (โลกัม) หรือที่ใคร ๆ รู้จักกันในชื่อ เตอร์กิชดีไลต์ เป็นขนมหวานที่คนตุรกีกินคู่กับชาหรือกาแฟ ซึ่งทำมาจากแป้งและถั่วหรืออัลมอนด์ ทำเป็นก้อน ๆ แล้วมาคลุกกับน้ำตาล เมื่อกินแล้วรู้สึกเหนียว ๆ ถือเป็นนขนมโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยออตโตมัน โดยรวมบอกได้คำเดียวว่าอร่อยมาก และเคยมีเพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นมาเกี่ยวกับเจ้าเตอร์กิชดีไลต์ตัวนี้ว่า อร่อยถึงขนาดเด็กในภาพยนตร์เรื่องนาร์เนีย (Narnia) ยอมแลกการได้กินเตอร์กิชดีไลต์กับการบอกที่อยู่ของพวกพี่ ๆ หรือให้ตัวเองเข้าไปเสี่ยงภัยอะไรประมาณนี้ ซึ่งผมก็จำเรื่องราวของหนังเรื่องนี้ไม่ได้แล้ว เขาเล่าต่อมาผมก็ฟัง แล้วนำมาเล่าต่ออีกที ส่วนจะใช่หรือไม่ใช่ลองกลับไปหามารับชมกันนะครับ
อย่างที่สี่ Kabap หรือ เคบับ ซึ่งคำว่า เคบับ แปลว่า ปิ้งหรือย่าง ดังนั้น เคบับ ก็คือ การเอาเนื้อ เอาแกะ เอาไก่ มาบดใส่เครื่องเทศแล้วเสียบไม้แล้วย่างให้สุกเป็นส่วน ๆ แล้วใช่มีดค่อยเฉือน เสิร์ฟพร้อมข้าวหรือแป้งและผัก จะบอกว่าบางร้านที่คนเยอะ ๆ หรือร้านอร่อยๆ แค่คุณได้กลิ่นมันก็ทำให้คุณชื่นใจโดยไม่ต้องกินแล้ว เพราะมันหอมมาก แต่ถ้าใครไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศแรง ๆ อาจจะไม่ค่อยโดนใจ ซึ่งเคบับก็หากินได้หลายแห่งในเมืองไทย แต่แตกต่างตรงที่เมืองไทยกลิ่นเครื่องเทศไม่แรงเท่าที่ตุรกี ดังนั้น ใครชอบเครื่องเทศแรงก็ที่ตุรกี แต่ถ้าใครชอบเครื่องเทศไม่หนักก็เมืองไทย
อย่างสุดท้าย หอยแมลงภู่อบ จะขายตามที่คนเยอะ ๆ หรือตามชายทะเล เป็นหอยแมลงภู่ที่หมักกับข้าวแล้วเอาไปอบขายในซึ้ง เวลากินจะหยดเลมอนตัดรสนิดนึง ราคาก็มีหลายแบบ ทั้ง 2 ตัว 1 TR หรือตัวละ1 TR ก็ว่ากันไปตามขนาดหอย โดยรวมถือว่าอร่อยมากครับ และเป็นอย่างหนึ่งที่ผมขอย้ำว่ามาถึงตุรกีต้องชิม
2. ควรเลือกซื้อเตอร์กิชดีไลต์ของฝากยอดนิยมอย่างไร ?
ตอบ : เตอร์กิชดีไลต์มีหลายแบบหลายราคา ซึ่งมีทั้งแบบแพงและแบบถูก แต่แนะนำว่าถ้าจะเอากลับมากินเองแนะนำให้ซื้อแบบแพงกลับมา เพราะรสชาติจะอร่อยกว่าและเหนียวหนึบกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งรสชาติก็มีแตกต่างกันออกไปเป็น 10 รส ส่วนใครชอบรสไหนก็ลองไปชิมกัน แล้วเลือกกันได้ตามใจชอบเลยครับ ราคาแบบแพงก็มีตั้งแต่ราคากิโลกรัมละ 30-60 TR แบบ ถูกก็จะเริ่มที่ 10-20 TR
3.หากอยากช้อปปิ้ง ซื้อชา ขนม นม เนย ควรซื้อที่ไหนถึงได้ราคาถูก
ตอบ : ให้คุณท่องให้ขึ้นใจเลย ตลาดเครื่องเทศ (Spice) ของถูกกว่าตลาดแกรนด์บาซาร์นิดหน่อย แต่ร้านตามซอยข้าง ๆ ตลาด Spice ถูกกว่าในตลาด Spice พอสมควร
4. ประเทศตุรกีอันตรายไหม ?
ตอบ : ข้อนี้ตอบยากครับ จะบอกว่าอันตรายก็ไม่ใช่ ไม่น่ากลัวเลยก็ไม่เชิง เอาเป็นว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่เที่ยวได้ปกติ ไม่น่ากลัว แต่ไปไหนมาไหน (โดยเฉพาะผู้หญิง) ระวังเนื้อระวังตัวหน่อยก็ดี ที่พูดแบบนี้เพราะอันดับแรกที่ผมรู้สึกได้ว่าน่ากลัว คือ มีกลุ่มเด็ก ๆ และวัยรุ่นชอบเดินมาขอตังค์ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เป็นผู้หญิง และถ้าไม่ให้ก็จะเดินตามและจับเนื้อจับตัวหรือดึงชายเสื้อจนเขายอมให้ และถ้าให้ง่ายเกินก็จะมีตามมาอีกหลายคน (คือจะบอกประเภทนี้ที่เมืองไทยก็มี แต่เมืองไทยเราผมดูแล้วไม่น่ากลัวขนาดนี้) สองผู้ชายตุรกีเวลานั่งเป็นกลุ่มเมื่อเห็นนักท่องเที่ยวที่เป็นวัยรุ่นสาว ๆ สวย ๆ ชอบแซวและ บางทีถึงขนาดเดินตาม (คือถ้าผมเป็นผู้หญิงก็แอบกลัวนิดนึง) สามหน้าตลาดแกรนด์บาซาร์ที่ผมเห็นมากับตา คือ มีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินขายน้ำหอม เมื่อนักท่องเที่ยวไปถามราคาแล้วไม่เอา พวกนี้จะเดินตาม คะยั้นคะยอให้ซื้อ พอไม่ซื้อก็ไม่พอใจและก็พูดจาโวยวายเสียงดัง ดังนั้น ***จำไว้เลยเห็นคนเดินขายของ ไม่คิดจะซื้อ...อย่าถาม และอีกหลายเรื่องที่ผมว่าผมไม่ค่อยชอบพฤติกรรมแบบนี้สักเท่าไหร่
5. แล้วคนตุรกีโดยรวมนิสัยเป็นอย่างไร
ตอบ : ใจดี ขี้เล่น เฮฮา สนิทกับคนง่าย มีน้ำใจ คือ ไม่ใช่แค่กับนักท่องเที่ยว แต่เหมือนเขาจะเป็นแบบนี้กันเกือบทุกคน โดยเฉพาะนิสัยขี้เล่น ไม่เชื่อคุณลองไปเดินแถวตลาดไหนสักแห่งในตุรกี ผมมั่นใจเลยคุณต้องได้เสียงหัวเราะกลับมาแน่นอน เพราะแต่ละร้านจะคุยจะเล่นกับเราเหมือนจะสนิทกันตั้งแต่ชาติปางก่อน
6. หากคำจำกัดความของรัสเซียคืออลังการ แล้วตุรกีคืออะไร
ตอบ : ดินแดนมหัศจรรย์เป็นประเทศที่มหัศจรรย์จริง ๆ ไม่รู้จะหาคำไหนมาแทนคำนี้แล้วครับ คือ ความคิดของผมเมื่อเห็นปามุคคาเลครั้งแรก หรือคัปปาโดเซียครั้งแรก ผมต้องบอกเลยว่ามันแปลกตาและแปลกใจมากว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เกิดมาจากอะไร แล้วทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ โดยรวม ๆ แล้วหากใครชอบดูอะไรแปลก ๆ ต้องไม่ควรพลาดที่จะมาเยือนตุรกีสักครั้งในชีวิตแน่นอน
7. อาหารการกินและค่าที่พักแพงไหม ?
ตอบ : สำหรับผมผมว่าอาหารการกินที่ตุรกีแพงกว่าที่ผมคิดไว้ก่อนมาพอสมควร ยกตัวอย่าง เช่น ข้าว 1 จาน (ข้าวประมาณ 4 ช้อนโต๊ะ ไก่ย่างหันบาง ๆ ผัก ขนมปังหรือแป้งห่อ) แบบถูกที่หากินได้ในอิสตันบูล หรือคัปปาโดเซีย คือ 15-20 TR (230-310 บาท) น้ำในร้านอาหารขวดละ 2-3 TR (30-45 บาท) ร้านทั่วไปประมาณ 1 TR (15 บาท) แต่ถ้าไปกินแถวแหล่งท่องเที่ยว เช่น แถวเซนต์โซเฟีย การันตีได้เลยว่าต้องมออย่างต่ำจานละ 30-40 TR (465-620 บาท) ซึ่งผมกล้าพูดเลยถ้ารอบเซนต์โซเฟีย (ในรัศมี 100-200 เมตร) ใครหาข้าว...ต้องเป็นข้าวนะ ไม่นับฮอตดอก หรือเคบับ หรือข้าวกับซุปผัก (ไม่มีเนื้อ) ได้ในราคาที่ถูกกว่า 25 TR (380 บาท) กินได้ผมถือว่าเก่ง เพราะผมเคยคิดจะกินเหมือนกัน แต่ดูเมนูราคาถูกสุดก็เริ่มต้นที่ราคา 25 TR แล้ว (หรือผมอาจไม่ได้เข้าไปในร้าน ซึ่งถ้าเข้าไปอาจเจอของถูกก็ไม่แน่) ดังนั้น หากคุณอยากกินของถูกหน่อยให้คุณเดินออกห่างจากบริเวณนั้นหน่อย แล้วราคาอาหารจะถูกลงมาเอง แต่ถ้าใครเป็นคนกินง่าย ๆ แนะนำเคบับเป็นอาหารที่ราคาถือว่าไม่แพงเท่าไร หาซื้อแล้วเดินกินได้เลย (ขอแนะนำเพิ่มเติมครับ หากใครชอบกินข้าวมากกว่าเคบับ ในอิสตันบูลถ้าใครเจอร้านชื่อ Bambi เข้าได้เลย ราคาไม่แพง อาหารอร่อย ข้าวราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 15 TR) แม้อาหารจะแพงไปสักหน่อย แต่ก็มีเรื่องให้สบายใจได้ คือ ประเทศนี้ผมถือว่าค่าที่พักถูกครับ ถ้าเทียบกับทำเล ที่ตั้ง และสิ่งอำนวยความสะดวก ดังนั้น เวลามาเที่ยว ตุรกีก็ถือว่าถัวเฉลี่ยกันไปแล้วกันครับ เอาค่าห้องมาทบค่ากินเอาแล้วกัน
8. ทำไมถึงเลือกไปตุรกี ?
ตอบ : บอกตรง ๆ เลยครับ ตุรกีเป็นประเทศแรก ๆ ที่ผมคิดอยากจะไปตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ แต่ไม่มีโอกาสไปสักที ซึ่งมันมีที่มาว่าตอนนั้นผมเห็นรูปอยู่รูปหนึ่ง (ปามุคคาเล) ผมก็เก็บมาฝันเสมอว่าทำไมมันสวยจัง อยากไปให้ได้สักครั้งในชีวิต ประกอบกับเมื่อโตขึ้นมาหน่อยได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โรมัน แล้วไปรู้จักกับเมืองคอนสแตนติโนเปิล (อิสตันบูล) ทำให้รู้ถึงความสำคัญและยิ่งใหญ่ของเมืองนี้ มันเลยเหมือนตอกย้ำว่าตุรกีประเทศนี้ฉันต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิต
9. มีอะไรที่ควรเตรียมไปบ้างสำหรับการไปตุรกี
ตอบ : เงินและแรง แต่ที่สำคัญอีกอย่าง คือ ข้อมูลประวัติศาสตร์ การไปเที่ยวตุรกีก็เหมือนการไปเที่ยวอียิปต์ จีน กรีซ อิตาลี เพราะประเทศพวกนี้เป็นประเทศที่มีอารยธรรมที่ยาวนานมาก ๆ ระดับเป็นพัน ๆ ปี ดังนั้น สิ่งก่อสร้างหรือสถาปัตยกรรมบางแห่งมันก็ผุพังไปตามการเวลา เมื่อคุณไปถึงถ้าคุณไม่รู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาเลย มันก็ไม่ต่างอะไรกับคุณไปดูซากบ้านหรือเมืองร้าง หรือบางที่อายุผ่านมาเป็นพัน ๆ ปี แต่ความสมบูรณ์ยังคงอยู่ ถ้าคุณไม่รู้ประวัติศาสตร์เลยมันก็ไม่ต่างจากคุณไปดูวิหาร ดูวัด ที่แสนธรรมดา ผมเลยบอกไงครับว่าการไปตุรกี คือ ไปดูเมืองโบราณ จะไปหวังให้อลังการงานสร้างเหมือนรัสเซีย ฝรั่งเศส หรือพระราชวังแสนสวยของเจ้าหญิงในเทพนิยาย เหมือนพวกสถาปัตยกรรมยุโรปยุคกลางไม่ได้ ดังนั้น จุดขายของสถาปัตยกรรมตุรกี คือ ความยิ่งใหญ่ แปลก และประวัติศาสตร์ความเป็นมา แล้วถ้าคุณไปเที่ยวตุรกีโดยที่ไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลย มันจะเป็นอะไรที่ไม่ควรอย่างยิ่ง
ยกตัวอย่างที่ผมเจอมากับตัว มีกลุ่มวัยรุ่นมากับครอบครัว เป็นคนไทยกลุ่มหนึ่ง ผมเจอที่เมืองโบราณเอฟิซุล แล้วได้ยินเขาพูดกันว่า "คุ้มเปล่าวะเนี่ย เสียตังค์เข้ามาดูเมืองร้าง" เป็นคำที่ผมได้ยินมาแล้ว จึงเป็นที่มาของข้อ 9 และทำให้คิดว่าอือ...เข้าใจเลยว่าทำไมเวลาไปเที่ยวที่ไหนแล้วต้องอ่านข้อมูลประวัติศาสตร์มาก่อน คือ จะบอกว่าสิ่งที่เขาพูด (ไม่รู้พูดเล่นหรือพูดจริง) มันคือเรื่องจริง ถ้าเราเข้ามาโดยไม่รู้อะไรเลย เอฟิซุลจะกลายเป็นเมืองร้างที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยจริง ๆ นอกจากซากเสาและซากอิฐ แต่ถ้ารู้ประวัติศาสตร์มาก่อนมันก็จะเป็นการท่องเที่ยวอีกอารมณ์ อารมณ์ประมาณว่า "โอ้ว ๆๆๆ ไม่น่าเชื่อนะคนโบราณสร้างอะไร ๆ ได้ถึงขนาดนี้" หรือแม้แต่เพื่อนร่วมทริปผมก็ตาม ถามผมมาคำหนึ่งหลังจากเห็นเซนต์โซเฟียว่า "ทำไมที่นี่ถึงได้เป็น 1 ใน 7 สิ่ง มหัศจรรย์ของโลก เพราะวิหารใหญ่ ๆ แบบนี้ก็มีหลายที่ในโลก" ผมเลยบอกไปว่า "เห็นไหม...บอกให้อ่าน ข้อมูลมาก่อนก็ไม่อ่าน" ดังนั้น สิ่งที่ผมอยากแนะนำทุกคนก่อนไปตุรกีว่าควรอ่านประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของแต่ละสถานที่ก่อนไปสักนิดสักหน่อยก็ดีนะครับ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็น >> คนที่เสียตังค์บินข้ามน้ำ ข้ามทะเลไปตั้งไกลเพื่อมาดูซากอิฐซากปูน
** ออกเดินทาง **
เมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้วก็ออกเดินทางกันได้เลยครับ
วันที่ 1 กรุงเทพฯ/มอสโก >> อิสตันบูล >> เซลจุก (Selcuk)
13.40 น. ถึงอิสตันบูล สนามบินอตาเติร์ก (Ataturk) ซึ่งหากมาจากเมืองไทย ณ.ปัจจุบัน มีแค่สายการบินเดียวที่บินตรง คือ Turkish Airlines (การบินไทยไม่มีบินเส้นทางนี้) แต่ถ้าบินแบบเปลี่ยนเครื่องก็มีให้เลือกหลายสายการบินเลยทีเดียว ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ของผมได้เลือกใช้บริการสายการบิน Aeroflot เมื่อเครื่องลงแตะพื้นสนามบิน เราก็ลงจากเครื่องและเดินไปตามทางต่อไปนี้ครับ
^^ เดินตามป้าย Passpost kontrol (Passpost control) มาจนถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง
*** ซึ่งเราสามารถเข้าไปในด่านตรวจคนเข้าเมืองได้เลย โดยไม่ต้องกรอกหรือเขียนใบอะไรทั้งสิ้น
และเมื่อเข้าไปแล้วเจ้าหน้าที่ที่นี่ก็ไม่ถามอะไรทั้งสิ้น แค่ดูว่าหน้าเราตรงกับรูปในหนังสือเดินทางหรือไม่ ? ถ้าตรงกันก็ไม่มีปัญหา ผ่านได้โดยไม่มีคำถาม เมื่อผ่านเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมาได้ก็ไปรับกระเป๋าที่สายพาน ซึ่งถ้าใครต้องการรถเข็นต้องเตรียมเงินเหรียญ 1 TR เพื่อไปหยอด (แต่ถ้าเรานำรถเข็นไปคืนก็จะได้เงินคืนครับ)
เมื่อรับกระเป๋าเสร็จเราก็ทำการแลกเงินที่สนามบินติดตัวไปนิดหน่อยเพื่อจะเข้าเมือง ในสนามบินมีหลายร้าน แต่ละร้านราคาพอ ๆ กัน ผมแลกที่สนามบินไป 50 USD (1,600 กว่า ๆ บาท) ได้เงิน TRY 100 แสดงว่า >>> 1 TR = 16 บาทกว่า ๆ ( ซึ่งไปแลกในเมืองจะได้ราคากว่า) ดังนั้น เป้าหมายต่อไปที่เราจะไป คือ ไปแลกเงินแถวตลาดแกรนด์บาซาร์ เมื่อแลกเงินเสร็จก็จะไปขึ้นรถทัวร์ที่ Otogar เพื่อไปเซลจุก เมื่อรับกระเป๋าเสร็จก็ให้มองหาป้ายคำว่า Metro (Subway)
แล้วเดินไปตามป้ายเรื่อย ๆ (ค่อนข้างไกลพอสมควร) เมื่อเดินไปจนสุดทางจะเจอสถานีรถไฟฟ้าและตู้ขายบัตร
ซึ่งตามที่กล่าวไปแล้วครับว่ารถไฟฟ้าที่อิสตันบูลนั้น ต้องเสียค่าขึ้นแบบเป็นรอบ รอบละประมาณ 3 TR (45 บาท) ตลอดสาย แต่ถ้าเราซื้อบัตรเติมเงิน Istanbul card (Istanbulkart) เราจะสามารถใช้บริการได้ในราคาประมาณรอบละ 2 TR (30 บาท) ซึ่งถูกกว่าแบบปกติถึง 15 บาทเลยทีเดียว
^^ บัตร Istanbul card
วิธีการซื้อบัตร Istanbul card
- เมื่อเดินมาจนสุดทางคุณจะเห็นตู้ขายบัตรประมาณ 3-4 ตู้ ให้คุณมองหาตู้ซ้ายสุด (ดูตามรูป)
- ให้คุณหยอดเงินไป 10 TR แล้วกด OK แล้วคุณจะได้บัตร Istanbul Card มา 1 ใบ (1 ใบใช้ได้หลายคน) ซึ่งในราคา 10 TR ถือว่าเป็นค่าบัตร 6 TR แล้วจะมีเงินในบัตรแค่ 4TR
- เมื่อได้บัตรมาแล้วคราวนี้ก็มาเติมเงินเพิ่ม วิธีก็แสนง่ายให้เราเดินมาตู้ข้าง ๆ แล้วเอาบัตร Istanbul card วางไปที่สัญลักษณ์ที่เขาให้วางบัตร แล้วสอดเงินเข้าไป ซึ่งสอดไปเท่าไรก็หมายถึงว่าเติมเท่านั้น (รับแต่ธนบัตรไม่รับเหรียญ) คอยสัก 3-4 วินาที ก็เอาบัตรออกมาแล้ววางลงไปที่จุดวางบัตรอีกรอบเพื่อเช็กยอดเงิน ถ้าเงินเข้าก็ถือว่า OK เดินทางไปต่อได้
- เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยให้เราเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าได้เลย (ก่อนเข้าใช้บัตร Istanbul card แตะที่เครื่องสแกนบัตร)
จุดมุ่งหมายต่อไปของเรา คือ ไปแลกเงินที่ตลาดแกรนด์บาซ่า ซึ่งวิธีเดินทาง คือ เราจะนั่งรถไฟจากสถานี Havalimani (สนามบิน) สายสีแดงไป 6 สถานี แล้วไปลงที่สถานี Zeytinburnu เพื่อต่อรถรางสายสีน้ำเงิน (ทุกครั้งที่เปลี่ยนสายคุณก็ต้องเสียเงินเพิ่มเหมือนใช้บริการรถไฟฟ้า แล้วเปลี่ยนมาขึ้นรถใต้ดินในกรุงเทพฯ) เมื่อขึ้นรถรางแล้วให้คุณนั่งไปอีก 13 สถานี จะถึงสถานี Beyazit สายสีน้ำเงิน เมื่อลงจากรถให้คุณหันหน้าไปทางที่รถรางวิ่งไปแล้วสังเกตทางซ้ายมือคุณ นั่นแหละ คือ ตลาดแกรนด์บาซาร์ ซึ่งรอบ ๆ สถานีนี้มีร้านแลกเงินหลายร้าน แต่ราคาก็แตกต่างกันไป (เดินดูหลาย ๆ ร้าน ร้านไหนราคาดีสุดก็แลกร้านนั้น)
14.50 น. เมื่อถึงสถานี Beyazit (สายสีน้ำเงิน) ผมก็แลกเงินโดยใช้เงินดอลลาร์ (USD) ไปแลก โดยคิดแล้ว ตก 1 TRY = 15 บาทนิด ๆ เมื่อแลกเงินเสร็จเรียบร้อยเป้าหมายต่อไปของเรา คือ ไปขึ้นรถที่ Otogar เพื่อจะไปเซลจุก ( Selcuk ) วิธีการไป คือ (โปรดดูรูปแผนที่ด้านบนประกอบ) ให้เราขึ้นรถรางที่สถานีนี้ (สถานีที่เราลง) ไป 3 สถานี เพื่อไปลงที่สถานี Yusufpasa เมื่อลงแล้วให้มองหาป้ายคำว่า Metro ให้เดินไปตามป้าย เข้าซอยแล้วรอดใต้อุโมงค์ไปประมาณ 200 เมตร เราก็จะถึงสถานีรถไฟใต้ดิน Aksaray (สายสีแดง) ให้เรานั่งจากสถานีนี้ไป 6 สถานี ก็จะถึง Otogar (สถานีขนส่ง)
15.50 น. ถึง Otogar เมื่อลงจากสถานีรถไฟใต้ดิน รอบ ๆ ตัวคุณนั่นแหละ คือ สถานีรถบัส Otogar ที่อิสตันบูลถือว่าใหญ่มาก แต่ไม่เหมือนหมอชิตหรือสายใต้บ้านเรา เพราะที่นี่จะเป็นห้องแถวหลาย ๆ ห้องเรียงติด ๆ กัน 1 ห้อง ก็คือ 1 บริษัท และแต่ละบริษัทก็จะมีเลขที่ห้องระบุไว้ชัดเจนว่าบริษัทไหน อยู่เลขที่เท่าไร
^^ รูป Otogar เมื่อลงจากรถไฟใต้ดินคราวนี้ก็มาหารถไปเซลจุกกันครับ ซึ่งมีสองวิธี วิธีแรก คือ ให้คนหาให้ (ที่นี่จะมีคนคอยมาถามเราว่าจะไปไหน รอบกี่โมง ต้องการถูก/แพง คือ พูดง่าย ๆ ว่าเราต้องการอะไรเขาหาให้ได้หมด ส่วนค่าใช้บริการก็แล้วแต่จะให้ครับ เขาไม่เรียกร้อง หรือจะไม่ให้เลยก็ไม่ว่า แต่จะมีเคืองนิดนึง) วิธีที่สอง คือ เดินหาเอาเอง เราชอบเวลาไหน ราคาไหนก็เลือกบริษัทนั้น ซึ่งผมขอแนะนำบริษัทชื่อ Sinop Birlik (อยู่ห้องแถวหมายเลข 149) ซึ่งรถจะออกจากอิสตันบูลตอน 2 ทุ่ม ถึงเซลจุกประมาณ 6 โมงเช้า ค่ารถ 60 TR (ประมาณ 900 บาท)
** เมื่อซื้อตั๋วเสร็จของก็ฝากไว้ที่บริษัท เพราะเวลาขึ้นรถเราต้องมาขึ้นรถหลังบริษัท ส่วนร้านอาหารอยู่ห้องแถวเลขที่ 50 (ก่อนขึ้นรถโปรดเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยนะครับ เพราะในรถไม่มีห้องน้ำแต่มี Wi-Fi ให้ใช้ฟรีตลอดสาย)
20.00 น. รถออกจากอิสตันบูลไปเซลจุก
สรุปค่าใช้จ่ายของวันนี้ (ไม่รวมค่ากิน)
- ค่ารถไฟฟ้าและรถรางประมาณ 8 TR (ไม่รวมค่าบัตร)
- ค่ารถทัวร์ 60 TR
รวม 68 TR (1,020 บาท)
วันที่ 2 เซลจุก (เมืองโบราณเอฟิซุส) >> Denizli (ปามุคคาเล)
06.30 น. ถึงเซลจุก เซลจุกหรือเซลชุก (Selcuk) คือ เมือง ๆ หนึ่งในจังหวัดอิชเมียร์ (izmir) ซึ่งเป็นจังหวัด ทางทิศตะวันตกของตุรกี โดยเซลจุกนั้นอยู่ห่างจากอิสตันบูลถึง 600 กว่ากิโลเมตร จึงไม่แปลกที่ถ้าเราคิดจะมาที่นี่ต้องนั่งรถกันข้ามวันข้ามคืนกันเลยทีเดียว และหากใครอยากประหยัดเวลาจะนั่งเครื่องบินจากอิสตันบูลก็ได้ โดยลงที่อิชเมียร์และต่อรถเข้ามาที่เซลจุก
เซลจุก เป็นเมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวรอบเมืองอยู่หลายที่ เช่น บ้านพระแม่มารีหรือชายหาดที่อิชเมียร์ แต่ที่ที่เป็นจุดหมายปลายทางของเราที่เราจะไปกันวันนี้ ได้แก่ เมืองโบราณเอฟิซุส
Ephesus เอฟิซุส หรือเอเฟซุส คือ เมืองโบราณที่มีมาก่อนยุคคริสตกาล ผ่านยุคกรีก และรุ่งเรืองที่สุดในยุคโรมัน สมัยจักรพรรดิออกุสตุส ซีซาร์ (Augustus Caesar) เมืองเอฟิซุสแห่งนี้ได้ถูกสถาปนาให้เป็นเมืองหลวงของเขตการปกครองในเอเซียของโรมัน จนถูกขนานนามว่า "เป็นมหานครแห่งแรกและแห่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย" ซึ่งในปัจจุบันเอฟิซุสถือเป็นเมืองโบราณที่สวยและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของตุรกีและของโลก
ซึ่งเมื่อคุณมาเอฟิซุสแล้วสิ่งที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ได้แก่
- The Library of Celsus (หอสมุดประจำเมือง) หอสมุดเซลซุสหรือหอสมุดประจำเมืองเอฟิซุส มีที่มา คือ ช่วงที่เซลซุสดำรงตำแหน่งเป็นข้าหลวงปกครองมณฑล ลูกชายของเขาต้องการที่จะสร้างอนุสาวรีย์ให้กับผู้เป็นพ่อ แต่ว่าสุดท้ายเปลี่ยนใจหันมาสร้างหอสมุดแทน และเป็นหอสมุดในแบบสุดยอดงานสถาปัตยกรรมเลื่องชื่อในยุคนั้น ที่โดดเด่นไปด้วยศิลปะแบบ "เฮลเลนนิสติก" อันเป็นยุคทองของงานศิลปะของกรีก ต่อมา ใน ค.ศ. 262 หอสมุดได้ถูกเผาทำลายโดยชาวกอธ (Goth) ทำให้บรรดาเอกสารและโครงสร้างอาคารที่เป็นไม้ทั้งหมดของหอสมุดถูกทำลายหมดสิ้น แต่ว่าส่วนของอาคารด้านหน้าที่สร้างจากหินอ่อนไม่ได้ถูกทำลาย และยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
- โรงละครเอฟิซุส เป็นโรงมหรสพโบราณจุคนได้ 30,000 คน ถือว่าเป็นโรงละครกลางแจ้งที่ใหญ่มาก ๆ และใหญ่เป็นอันดับสามของโรงละครโบราณทั้งหมดในตุรกี มีลานแสดงตรงกลางเวทีตรงกลาง (และที่น่าสนใจ คือ คนโบราณสร้างมาได้น่ามหัศจรรย์ เพราะถ้าคุณไปยืนอยู่ตรงกลางแล้วร้องเพลง เสียงมันจะก้องกังวานไปทั่ว เหมือนมีระบบสเตอริโออยู่เต็มโรงละครเลยทีเดียว) ซึ่งปัจจุบันยังสามารถใช้งานได้ดีอยู่และมีการจัดการแสดงแสง สี เสียง บ้างเป็นบางครั้งคราว
06.40 น. เมื่อถึงเซลจุกเด็กรถจะมาบอกและให้เราลงตรงข้ามกับ Otogar เมื่อจอดและเราลงเสร็จเรียบร้อย ผมก็ข้ามไปอีกฝั่ง เพื่อไปที่สถานีขนส่งของที่นี่ Otogar เป็นท่ารถเล็ก ๆ เหมือนต่างจังหวัดบ้านเรา ซึ่งสิ่งแรกที่เราจะทำเมื่อมาถึง Otogar คือ หาตั๋วไปปามุคคาเลในตอนเย็นของวันนี้ (ซึ่งคืนนี้เราจะไปนอนที่ปามุคคาเล) ซึ่งจากที่นี่รถไปปามุคคาเลมีหลายรอบ หลายบริษัท ราคาก็อยู่ประมาณ 32-36 TR เมื่อเราซื้อตั๋ว กับบริษัทไหนก็ฝากสัมภาระไว้กับเขาได้เลย ไม่มีปัญหา
08.00 น. เมื่อล้างหน้า ล้างตา และกินข้าวเสร็จให้เราเดินไปขึ้นรถมินิบัสในสถานีขนส่ง (จอดอยู่หน้าห้องแถวหลังซ้ายสุด) เพื่อไปเมืองโบราณเอฟิซุส ค่าใช้บริการคนละ 2.5 TR
08.10 น. รถไปถึงเมืองโบราณเอฟิซุส เมื่อลงจากรถจะเจอร้านขายของมากมาย (อย่าเพิ่งซื้อ ค่อยกลับมาดูตอนขากลับ เพราะถ้าเรายิ่งไปสายในเมืองโบราณคนก็จะเยอะ) ก่อนอื่นต้องเสียค่าบัตรผ่านประตูคนละ 30 TR (450 บาท) เมื่อเข้าไปด้านในสิ่งที่รู้สึกได้เหมือนที่ผมบอกไปตอนต้นว่า ถ้าไม่รู้ประวัติมาก่อนเมืองนี้ ก็เป็นแค่เมืองร้างไม่น่าสนใจ แต่ถ้ารู้ประวัติมาก่อนหน้านี้คุณจะบอกว่า "จริงหรือเนี่ยที่สร้างมาเป็นพัน ๆ ปี" ภาพโดยรวมของเมืองนี้บอกได้คำเดียวครับ ใครที่ชอบชมเมืองโบราณไม่ควรพลาด เพราะเอฟิซุสแม้ผ่านเวลามาเป็นพัน ๆ ปี แต่ยังเหลือโครงสร้างให้เราได้เห็นกันถึงขนาดนี้ ผมถือว่าสุดยอดมาก ๆ และถ้าคุณสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าทางการตุรกีดูแลเมืองนี้ได้อย่างดีทีเดียว แม้แต่หินที่ปูทางเดินหรือเป็นผนังกำแพง ผนังอาคาร ยังเป็นของโบราณตั้งแต่สมัยในอดีตกันเลยทีเดียว และมีข้อมูลที่ผมพึ่งรู้จากไกด์ฝรั่งท่านหนึ่ง (แต่ไม่รู้จริงหรือเปล่านะ ?) ว่าเมืองนี้ คือ สถานที่เกิดของมหากวีชาวกรีกชื่อดังอย่าง โฮเมอร์ (ผู้ที่แต่งเรื่องอีเลียดและโอดิสซีย์)
^^ ดูจากแผนที่รถมินิบัสจะจอดและให้เราเดินเข้ามาตรงจุดหมายเลข 1 ส่วนหอสมุดจะอยู่ตรงส่วนหมายเลข 10
วันที่ 2 (ตอนที่ 2)
12.00 น. ออกจากเมืองโบราณเอฟิซุสเพื่อกลับไปยังตัวเมืองเซลจุก โดยเดินย้อนกลับมาขึ้นรถที่จุดเดิม (หากใครอยากได้บรรยากาศการท่องเที่ยวแบบแปลกใหม่ ที่นี่ก็มีบริการนั่งรถม้าชมเมืองโบราณ ซึ่งค่าบริการจะตกคันละประมาณ 40 TR)
^^ จุดขึ้นรถมินิบัส
13.00 น. เมื่อกินอิ่มก็เดินทางต่อ ออกจากเซลจุกเป้าหมายต่อไปของเรา คือ มหาวิหารอาร์ทิมิส ซึ่งมหาวิหารแห่งนี้ถูกยกย่องเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ
วิหารอาร์ทิมิสหรือวิหารไดอานา ไม่สามารถทราบได้อย่างแน่ชัดว่าสร้างขึ้นในยุคใด มีเนื้อที่กว้าง 54,720 ตารางฟุต ตัววิหารกว้าง 160 ฟุต ยาว 342 ฟุต มีเสาหินอ่อนด้านละ 20 ต้น ด้านหน้าด้านหลัง 8 ต้น พื้นที่โดยรอบกินบริเวณ ประมาณ 8000 ตารางเมตร เสาหินแต่ละต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 6 ฟุต ความสูง 60 ฟุต หลังคาปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเทพเจ้าอาร์ทิมิส หรืออีกชื่อหนึ่งว่าไดอานา ซึ่งนักโบราณคดีมีความเชื่อกันว่า วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายเทพีอาร์ทิมิส วิหารแห่งนี้เคยถูกไฟไหม้จนเสียหาย แต่ได้รับการซ่อมแซมใหม่โดยกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ แต่สุดท้ายก็ได้ถูกทำลายลงจนเหลือแต่ซากปรักหักพังในช่วงก่อนปี ค.ศ. 262 ซึ่งปัจจุบันคงหลงเหลือเพียงซากเสาเท่านั้น
วิธีไปวิหาร
- เมื่อออกจาก Otogar เจอสี่แยกให้ข้ามสี่แยกแล้วเดินตรงไปประมาณ 600 เมตร จะเจอป้ายเขียนว่า Temple of Artemis ให้เลี้ยวขวาเข้าไปสัก 200 เมตร ก็จะเจอวิหาร
^^ รูปวิหารอาร์ทิมิสในอดีต
15.00 น. เดินทางกลับมาที่สถานีรถบัสเพื่อรอขึ้นรถไปปามุคคาเล (ถ้ามีเวลาใครจะเดินดูเมืองหรือเลือกซื้อของในเซลจุกก่อน หรือจะหารถไปบ้านพระแม่มารีก็ได้ไม่มีปัญหา)
16.30 น. รถออกเดินทางจากเซลจุกไปปามุคคาเลระยะทางประมาณ 180 กิโลเมตร ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง
19.20 น. ถึงตัวเมือง Denizli (เดนิซลี) ซึ่งเป็นตัวจังหวัดที่เราต้องลงรถที่นี่ แล้วต่อรถเข้าไปในปามุคคาเล (ซึ่งในตัวปามุคคาเลไม่มีรถทัวร์วิ่งเข้าไป) เมื่อเราลงจากรถทางบริษัทรถที่เรานั่งมาจะเตรียมรถมินิบัสมารอรับเราไว้แล้ว (ราคารวมไว้กับค่าตั๋ว) นั่งมินิบัสไปประมาณ 20 นาที ก็จะถึงปามุคคาเล
ปามุคคาเล (Pamukkale) ในภาษาตุรกี "ปามุค" แปลว่าฝ้าย ส่วน "คาเล" แปลว่าปราสาท เมื่อรวมกันแล้ว ปามุคคาเล จึงแปลว่า "ปราสาทปุยฝ้าย" หรือ Cotton Castle ปามุคคาเล คือ ชื่อภูเขาประหลาดลูกหนึ่งในเมืองปามุคคาเล จังหวัดเดนิซลี (Denizli) ซึ่งความประหลาดของเขาลูกนี้ คือ ภูเขาลูกนี้จะมีน้ำแร่ที่มีแร่แคลเซียมคาร์บอเนตผสมอยู่ในจำนวนมาก ไหลจากบนภูเขาลงมาสู่พื้นล่าง ซึ่งเวลาน้ำที่มีแร่แคลเซียมคาร์บอเนตไหลลงมาแล้วมีหินหรืออะไรมาขวางทางน้ำ แคลเซียมจะเกาะตัวกับหิน ส่วนคาร์บอเนตจะกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์แยกตัวไป เมื่อเวลาผ่านไปแคลเซียมสีขาวจะเกาะตัวเต็มภูเขาคล้ายหิมะ ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่ดูแปลกตายิ่งนัก ซึ่งคนสมัยโบราณมีความเชื่อว่าน้ำแร่ที่นี่เป็นเสมือนยารักษาโรคชั้นดี คนจากทั่วทุกสารทิศจึงหลั่งไหลกันมาที่นี่ไม่ขาดสาย นาน ๆ เข้าที่นี่จึงกลายเป็นเมืองตากอากาศชื่อดัง มีนามว่า "เฮียราโปลิส"
เฮียราโปลิส "เฮียรา (Hiera)" แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Happy หรือ Holy ส่วนคำว่า "โปลิส (Polis)" แปลว่า เมืองใหญ่ เมื่อรวมสองคำนี้เข้าด้วยกัน เฮียราโปลิสจึงมีความหมายว่า นครแห่งความ Happy หรือดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ จะแปลอย่างไรมันก็ใช่ทั้งสอง เพราะเฮียราโปลิสเป็นเมืองที่สร้างอยู่บนภูเขาปามุคคาเล ทอดตัวยาวราว 2 กิโลเมตร อายุแรกเริ่มประมาณ 2,000 กว่าปี (ตรงกับยุค Hellenistic ของกรีก) ด้านบนสมชื่อเป็นเมืองแห่งความสุข เพราะบนนั้นว่ากันแล้วก็ไม่ต่างจากสวรรค์ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่คนต้องการ เช่น บ้านพักตากอากาศ โรงละคร ร้านค้า วิหาร หรือแม้แต่หลุมฝังศพ และก็เป็นเมืองที่เจริญ ๆ ยิ่งขึ้นจนมาถึงยุคโรมัน
19.40 น. ถึงปามุคคาเลสิ่งแรกที่เราต้องทำ คือ ซื้อตั๋วไป Goreme (คัปปาโดเซีย) ในเย็นวันพรุ่งนี้ ซึ่งซื้อได้กับบริษัทรถที่เรามาถึงได้เลย ราคาอยู่ที่ 55TR (825 บาท) ซึ่งผมได้ซื้อรถรอบ 21.00 น. จะไปถึง Goreme ตอน 7 โมงเช้า เมื่อลงจากรถและซื้อตั๋วของวันพรุ่งนี้เสร็จเรียบร้อย คราวนี้ก็เข้าโรงแรม ซึ่งโรงแรมที่ผมพัก อยู่ติดกับบริษัทรถที่ผมลงเลย โรงแรมชื่อ Kale HOTEL ตกแล้วราคาต่อห้องประมาณ 60 TR เมื่อหาร 2 แล้วเหลือคนละ 30 TR (450 บาท) โดยรวมถือว่าเป็นโรงแรมที่เหมาะสมกับราคาทีเดียว เพราะราคานี้ได้โรงแรมที่มีห้องน้ำในตัว ห้องแอร์ เดิน 5 ก้าวถึงบริษัทรถเดิน ไม่ถึง 200 เมตร ถึงปามุคคาเล และที่สำคัญ เมื่อเราเปิดหน้าต่างห้องจะเห็นวิวปามุคคาเลอยู่ตรงหน้า ผมถือว่าคุ้มกับราคาจริง ๆ หากใครสนใจลองเข้าไปดูไปจองได้ที่ >> www.booking.com
สรุปค่าใช้จ่ายของวันนี้ (ไม่รวมค่ากิน)
- ค่ารถไป-กลับเอฟิซุส 5 TR
- ค่าเข้าเมืองโบราณเอฟิซุส 30 TR
- ค่ารถจากเซลจุกไปปามุคคาเล 34 TR
- ค่ารถจากปามุคคาเลไปคัปปาโดเซีย 55 TR
- ค่าโรงแรม 30 TR
รวม 154 TR (2,310 บาท)
วันที่ 3 ปามุคคาเล >> คัปปาโดเซีย
เช้าวันนี้ไม่ต้องรีบครับ อยากตื่นกี่โมงก็ตื่น เพราะวันนี้ทั้งวันเราจะใช้เวลาอยู่ที่ปราสาทปุยฝ้าย และเจ้าปราสาทปุยฝ้ายก็อยู่แสนใกล้โรงแรมของเรานิดเดียว (เดินประมาณ 200 เมตร) เมื่อกินอาหารเรียบร้อย (กินให้อิ่มก่อนขึ้นด้านบนนะครับ ด้านบนไม่ค่อยมีของกิน) เราก็เดินขึ้นไปเที่ยวด้านบนปามุคคาเล ซึ่งปามุคคาเลเป็นภูเขาที่เราต้องใช้แรงเดินขึ้นไปหน่อย เพราะมันสูงพอสมควร ซึ่งก่อนขึ้นต้องซื้อตั๋วก่อน โดยราคาค่าตั๋วอยู่ที่ 25 TR (375 บาท) เมื่อผ่านประตูไปสักพักจะมีจุดที่เป็นหินสีขาว ซึ่งจุดนี้คุณต้องถอดรองเท้าและเดินถือขึ้นไป ผมมั่นใจว่าใครเมื่อมาที่นี่ต้องชอบแน่นอน เพราะมันสวยและแปลกจริง ๆ แต่อย่าเพิ่งรีบจอด เพราะความสวยมันไม่ได้อยู่แค่ตรงนี้ ให้คุณเดินขึ้นไปด้านบนให้สุดแล้วคุณจะเจอความงามอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน น้ำสีฟ้าใสไหลลงมาจากบนเขา ผ่านตะกอนหินปูนขาว ๆ เป็นชั้น ๆ มันช่างงาม งามสุด ๆ ไม่รู้ จะหาอะไรมาเปรียบได้และอยากบอกว่า
"ใครที่เห็นในรูปแล้วบอกว่าสวย แต่ไปได้ยินคนอื่นพูดมาว่าปามุคคาเลไม่สวยอย่างในรูป เพราะของจริงมีแต่หิน ไม่มีน้ำ ผมบอกได้เลยอย่าไปเชื่อ" เพราะจุดที่ไม่มีน้ำจุดที่แล้ง ๆ มีแต่หินขาว ๆ ก็มี ไม่ใช่ไม่มี แต่...จุดที่มีน้ำไหลเป็นชั้น ๆ ก็ยังมีอยู่ เหตุผลที่เป็นอย่างนี้เพราะที่นี่เขาใช้ระบบจัดการน้ำ โดยปล่อยน้ำมาเป็นส่วน ๆ บางจุดช่วงเช้าไม่มีน้ำ แต่พอช่วงบ่ายก็มีน้ำมาเต็ม บางจุดช่วงเช้ามีน้ำ ช่วงบ่ายไม่มีน้ำ มันจะสลับกันไปมา ดังนั้น ใครคิดจะไปเที่ยวปามุคคาเลแล้วกลัวไม่ได้เห็นน้ำ บอกได้เลยครับไม่ต้องกลัว ปามุคคาเลมีน้ำสีฟ้าสวย ๆ รอให้คุณเห็นแน่นอน แต่ถ้าหากใครอยากเห็นน้ำไหลทั่วทั้งเขาเหมือนสมัยก่อนก็คงเสียใจด้วย เพราะยุคสมัยนี้มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว โดยรวมผมถือว่าที่นี่สวยและแปลกมาก การเดินทาง ครึ่งเดือนสองประเทศของผม ผมบอกตรง ๆ ผมชอบที่นี่ที่สุด ไม่แปลกใจเลยว่าเฮียราโปลิสเมืองที่อยู่ ด้านบนนี้ทำไมถึงเรียกว่า "เมืองแห่งความสุข"
^^ แผนที่ปามุคคาเลและเฮียราโปลิส
วันที่ 3 (ตอนที่ 2)
เมื่อเดินชมปามุคคาเลจนอิ่มแล้ว ให้เดินไปดูเฮียราโปลิสต่อ แต่หากจะว่ากันจริง ๆ แล้วความยิ่งใหญ่และอลังการของเฮียราโปลิสไม่สามารถสู้เอฟิซุสได้เลย ดังนั้น หากใครไปเอฟิซุสมาก่อนแล้ว ต้องแสดงความเสียใจไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย แต่อย่าเพิ่งถอดใจไม่ยอมเดินชมกันนะครับ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เฮียราโปลิสมี แต่เราไม่สามารถพบเจอและเห็นได้ที่เอฟิซุส โดยเฉพาะสิ่งก่อสร้างหรือหลุมฝังศพโบราณ ที่สร้างอยู่ปลายหน้าผาบนปามุคคาเลอย่างเช่น House typed Tomb เป็นจุดที่เดินไกลนิดนึง แต่ไม่ควรพลาดชมอย่างยิ่ง
18.00 น. เราต้องมาขึ้นมินิบัสเพื่อไป Goreme (คัปปาโดเซีย) ที่เดนิซลี เพราะคำว่ารอบ 3 ทุ่ม คือ รถออกจากเดนิซลีนะครับ ไม่ใช่ออกจากปามุคคาเล นั่งรถไป 20 นาที ก็ถึงตัวเมืองเดนิซลี รถมินิบัสจะจอดให้เราลงที่สถานีรถทัวร์ของเดนิซลี Otogar ของเดนิซลี ถือว่าใหญ่มากครับ มีของกินของขายมากมาย มองผ่าน ๆ นึกว่าสนามบิน
18.20 น. ลงจากรถมินิบัสเราต้องหาชานชาลาเอง ว่ารถที่จะไป Goreme ของเราอยู่ที่ชานชาลาไหน (โดยวิธีที่ง่ายที่สุด คือ เอาตั๋วรถให้เขาดูแล้วถาม)
21.00 น. รถออกจาก Denizli มุ่งสู่ Goreme (คัปปาโดเซีย) ระยะทาง 600 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง ซึ่งคืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่เราต้องนอนบนรถทัวร์
สรุปค่าใช้จ่ายของวันนี้ (ไม่รวมค่ากิน)
- ค่าเข้าปามุคคาเล 25 TR
รวม 25 TR (375 บาท)
วันที่ 4 Goreme (คัปปาโดเซีย)
06.30 น. มาถึง Goreme (เกอเรเม) หรือพื้นที่บางส่วนของดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของ "คัปปาโดเซีย"
Cappadocia (คัปปาโดเซีย) หรือแคป-ปา-โด-เซีย หรือถ้าจะเรียกตามภาษากรีกก็ต้องเรียกว่า Kappadokía (คัป-ปา-โด-เกีย) หรือจะเรียกตามภาษาเปอร์เซียก็ต้อง Katpatuka (คัต-ปา-ตุ-กา) ซึ่งคำนี้เอง คือ ชื่อแรกของดินแดนแห่งนี้ "คัต-ปา-ตุ-กา" ในภาษาเปอร์เซีย มีความหมายเป็นภาษาอังกฤษ คือ Land of Beautiful Horses (ดินแดนของม้าที่สวยงาม) และต่อมาคนก็เรียกจาก คัต-ปา-ตุ-กา เพี้ยนไปเพี้ยนมาจนมีชื่อไม่รู้กี่ชื่อต่อกี่ชื่อ แต่สุดท้ายทุกชื่อก็สื่อความหมายเดียวกัน ซึ่งต่อจากนี้ผมขอเรียกตามชื่อ ที่ผมติดปากที่สุดแล้วกันนะครับ "คัปปาโดเซีย" (จะอ่านออกเสียงผิดหรือถูกอย่าว่ากันนะครับ เป็นอันว่า เข้าใจตรงกันแล้วกัน) ที่กล่าวมาไม่ว่าจะชื่อไหน ภาษาอะไร คัปปาโดเซีย, แคปปาโดเจีย, แคป-ปา-โด-เซีย, คัป-ปา-โด-เกีย หรือ คัต-ปา-ตุ-กา มันก็หมายถึงพื้นที่หรือดินแดนเดียวกัน พื้นที่ที่มีภูมิประเทศแปลกประหลาด อยู่ทางตอนกลางของประเทศตุรกี กินพื้นที่ของหลายเมือง แต่พื้นที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในจังหวัดเนฟชีร์ ซึ่งที่มาของดินแดนแห่งนี้มีหลายข้อสันนิฐาน แต่เมื่อนำมารวมกันแล้วพอสรุปได้ ดังนี้
เมื่ออดีตมีภูเขาไฟลูกหนึ่งชื่อ Erciyes เกิดระเบิดและมีลาวาออกมา ปกคลุมพื้นที่โดยรอบ อยู่นานเข้าพายุ แดด ลม ฝน ได้กัดกร่อนพื้นที่บริเวณดังกล่าวทีละเล็กทีละน้อย จนกลายเป็นภูมิประเทศที่แปลกตา และสำคัญดินบริเวณนี้มีจุดที่ไม่เหมือนใครอยู่ 2 ประการ ประการแรก คือ เป็นดินที่อุดมสมบูรณ์จะปลูกอะไร ๆ ก็งาม คนจากหลายที่เลยอพยพเข้ามาอยู่ ณ ที่แห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก และประการที่ 2 ดินบริเวณนี้เป็นดินที่มีความนิ่ม จึงง่ายต่อการขุดเจาะหรือแกะสลัก โพรงถ้ำ บ้าน หรือวิหาร ดังนั้น จึงไม่แปลกที่สมัยอดีต คนบริเวณนี้นิยมสร้างบ้านโดยใช้วิธีการขุดเป็นถ้ำเขาไปเป็นที่อยู่อาศัย
07.00 น. รถจะจอดให้เราลง ณ จุดที่เรียกว่าท่ารถประจำเมือง ซึ่งจุดนี้เปรียบเสมือนใจกลางหรือ Landmark ของเมืองก็ว่าได้ เกอเรเมเป็นเมืองเล็กที่เราสามารถเดินรอบเมืองได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว เมื่อออกจากท่ารถ (ท่ารถที่นี่จะไม่เรียกว่า Otogar เพราะที่นี่ไม่ได้เป็นสถานีจอดรถ แต่จะเป็นห้องแถวประมาณ 3-4 ห้อง อยู่ติด ๆ กัน และแต่ละห้อง คือ ที่ทำการของบริษัทรถทัวร์ต่าง ๆ) เมื่อลงจากรถได้มี 2 สิ่ง ที่ผมต้องทำก่อนเป็นอันดับแรก
1. ซื้อตั๋วรถทัวร์สำหรับกลับอิสตันบูลของคืนวันพรุ่งนี้ ซึ่งราคาอยู่ที่ 60 TR (900 บาท) โดยรถจะออกจากเกอเรเมตอนเวลา 1 ทุ่ม ไปถึงที่อิสตันบูลประมาณ 8 โมงเช้า
2. ซื้อ One Day Tour สำหรับวันพรุ่งนี้ จริง ๆ แล้วการจะไปเที่ยวบริเวณโดยรอบคัปปาโดเซียจำต้องใช้รถ เพราะที่เที่ยวแต่ละที่มันไกลกันมาก และถ้าไม่มีรถ One Day Tour จึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด คราวนี้มาดูครับว่า One Day Tour ของที่นี่มีกี่ประเภท (ซึ่งแต่ละบริษัทไม่เหมือนกันซะทีเดียว แต่จะคล้าย ๆ กัน)
Green โปรแกรม ได้แก่
1. Goreme Panorama
2. Derinkuyu Underground City
3. Ihlara Valley
4. Selime Monastery
Red โปรแกรม ได้แก่
1. Goreme Open Air Museum
2. Uchisar Castle Tour
3. Avanos Tour and Potterys
4. Pasabag Tour
5. Rose Valley
6. Devrent Valey
7. Ürgüp
Blue โปรแกรม ได้แก่
1. Soganli Valley
2. Mustafa Pasa (Old Greek Village)
3. Cemil Village
4. Keslik Monastery
ซึ่งผมได้เลือกซื้อโปรแกรม Green ไป ราคาอยู่ที่ 100 TR (1,500 บาท) พร้อมอาหารเที่ยง ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง หาซื้อได้ที่บริษัทรถทัวร์ที่เราลงครับ รวมถึงบอลลูนด้วย ค่าบอลลูนอยู่ที่ประมาณ 100 ยูโร (แต่ผมไม่ได้ขึ้นเนื่องจากเพื่อนร่วมทริปเป็นคนกลัวความสูงเลยอดกันไป) และถ้าใครอยากเช่ารถก็เช่าได้เลย แถวนั้นมีอยู่หลายร้าน หลายแบบ หลายราคา แต่คุณจะเช่าได้ก็ต้องมีใบขับขี่สากลด้วย ถ้าไม่มียังไงเขาก็ไม่ปล่อยให้เช่าแน่นอน เว้นแต่เป็น ATV ซึ่งราคาอยู่ที่ 100-200 TR ในเวลา 4-5 ชั่วโมง เมื่อซื้อตั๋วรถและ One Day Tour เรียบร้อย คราวนี้ก็ออกแรงเดินกันหน่อยครับ เพราะเราต้องเอาของไปเก็บและเช็กอินที่โรงแรมกันก่อน โรงแรมวันนี้ที่เราจะพักชื่อโรงแรม Star Cave Hotel ราคาตกคืนละประมาณ 100 TR ต่อห้อง เมื่อหาร 2 แล้วเหลือคืนละ 50 TR (750 บาท) โรงแรมนี้เป็นโรงแรมถ้ำที่มีไม่กี่ห้อง บรรยากาศสวย ได้อารมณ์คัปปาโดเซียจริง ๆ
ขอบอกนิดนึงครับว่ ก่อนไปผมเลือกแล้วเลือกอีก ดูมาเกือบหมดทุกโรงแรม โดยโจทย์ในการเลือกของผม คือ ราคาต่อห้องต้องไม่เกิน 2,000 บาท มีวิวมุมสูง โรงแรมต้องอยู่ในถ้ำ ห้องนอนต้องดูเป็นเอกลักษณ์ ห้องน้ำต้องดูน่าอาบ น่าใช้ และสำคัญเมื่อเข้าพักแล้วต้องสัมผัสได้ถึงความเป็นคัปปาโดเซีย และสุดท้าย โรงแรมนี้ก็ตอบโจทย์ผมได้ทุกข้อ ที่สำคัญเจ้าของโรงแรมใจดีมาก ๆๆ อยากได้อะไร อยากถามอะไร อยากกินอะไร เขาจัดให้เราหมด เป็นคนดีจริง ๆ ซึ่งหากใครอยากพักหรืออยากเห็นโรงแรมนี้เข้าไปดูได้ที่ >> www.starcavehotel.com
สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างของโรงแรมนี้ คือ การบริการของโรงแรมนี้ไม่เหมือนโรงแรมแต่เหมือนบ้าน เหมือนเพื่อนต้อนรับเพื่อนมากกว่า ยกตัวอย่างเรื่องเช็กอิน เช็กเอาท์ เขาก็ไม่กำหนดแน่นอนว่าต้องเข้ากี่โมง/ออกกี่โมง เพราะเท่าที่ผมสังเกตถ้าไม่มีแขกรอเข้าพักคุณจะนอนถึงเย็นแล้วค่อยออกก็ได้ หรือเรื่องเช็กอินหากห้องว่างอยู่ก็เข้าไปนอนได้เลย ไม่ต้องรอให้ถึงเที่ยง ถึงบ่าย ซึ่งมันก็เป็นข้อดีที่ซื้อใจลูกค้าได้ดีทีเดียว และผมได้คุยกับเจ้าของโรงแรมว่าถ้าผมกลับไปแล้วและผมแนะนำคนไทยให้มาพักโรงแรมคุณ คุณมีอะไรให้คนไทยที่จะมาพักบ้าง เขาบอกว่ามาได้เลย เขาชอบคนไทยที่สุด เขามีอะไรดี ๆ จะให้สำหรับคนไทยทุกคน (ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาพูดแบบนี้กับชาติอื่นไหม ? หรืออะไรดี ๆ ที่เขาจะให้คืออะไร ?)
วันที่ 4 (ตอนที่ 2)
08.00 น. เดินออกมาที่ท่ารถอีกครั้ง ซึ่งเป้าหมายที่เราจะไปในตอนเช้า ได้แก่ อุชหิซาร์
อุชหิซาร์ (Uchisar) หรือบางคนจะเรียกว่า "ปราสาทอุชหิซาร์" แต่จริง ๆ แล้วไอ้เจ้าปราสาทอุชหิซาร์ไม่ได้เป็นปราสาทของเจ้าหญิงหรือเจ้าชายแต่ประการใดนะครับ แต่ที่เรียกว่าปราสาทเพราะรูปร่างหน้าตาเมื่อมอง ๆ ไปแล้วคล้ายปราสาท หลายคนจึงเรียกที่นี่ว่าปราสาทอุชหิซาร์ ถ้าว่ากันให้ถูกต้องอุชหิซาร์ คือหมู่บ้านที่มีภูเขาคล้ายจอมปลวกขนาดใหญ่ ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งภูเขาดังกล่าวมีรูพรุน มีรอยเจาะ รอยขุด อันเกิดจากฝีมือมนุษย์ไปเกือบทั่วทั้งภูเขา เพื่อเอาไว้เป็นที่อาศัยของคนในหมู่บ้าน และถ้ามองดี ๆ จะรู้ว่า อุชหิซาร์ คือ บริเวณที่สูงที่สุดของบริเวณโดยรอบ ดังนั้น ในอดีตอุชหิซาร์ก็มีไว้ทำหน้าที่เป็นป้อมปราการเอาไว้สอดส่องข้าศึกยามมีภัยอีกด้วย
วิธีการไปอุชหิซาร์ก็แสนง่ายครับ คือ เมื่อคุณเดินออกมาถึงท่ารถให้คุณมองหา Information (จะอยู่ตรงข้ามกับบริษัทรถทัวร์) ข้าง ๆ Information จะมีรถมินิบัสอยู่ (สภาพคล้ายรถเมล์บ้านเรา) ให้คุณขึ้นรถที่นี่แหละครับ ค่ารถ 2.5 TR นั่งไปประมาณ 3-4 กิโลเมตร ก็จะถึง เมื่อถึงแล้วคนขับเขาจะบอกให้เราลง และเมื่อลงแล้วก็เดินเข้าไปประมาณ 500 เมตร ก็จะถึงอุชหิซาร์
^^ ภาพจากอุชหิซาร์
^^ ภาพอุชหิซาร์ผ่านฟิล์มสไลด์
11.00 น. ออกจากอุชหิซาร์ โดยเดินกลับมาทางเดิมจนถึงถนนใหญ่ ให้เราเลี้ยวซ้ายเดินไป 50 เมตร จะเจอป้ายรถเมล์ ให้เรารอรถเมล์ที่จุดนี้เพื่อกลับเกอเรเม (อาจรอนานหน่อย)
12.00 น. กินข้าวเสร็จเราก็ลุยต่อ โดยวิธีการของเราจะเปลี่ยนจากการเดินเป็นปั่นแทน ซึ่งเราจะไปเช่าจักรยานกัน ราคาต่อรองไปต่อรองมาแล้วตกคันละ 20 TR (300 บาท) ก็พอไหวอยู่ ก่อนปั่นดูแผนที่นิดนึงครับ
- ให้มองไปที่จุดตรงกลางของแผนที่ที่เขียนว่า Goreme หรือ Bus Station ซึ่งเราจะใช้จุดนี้เป็นจุดเริ่มต้น ให้หันหลังเข้าบริษัทรถทัวร์ ข้างหน้าเราจะเป็นถนนเส้นหลัก ให้เราเลี้ยวขวาปั่นไปเรื่อย ๆ ประมาณ 300 เมตร จะเจอ 3 แยกใหญ่ ให้เราปั่นขึ้นเนินไปและเมื่อลงเนินชะลอรถมองหาป้าย Zemi Valley ซึ่งอยู่ทางขวามือ เมื่อเห็นป้ายให้เราเลี้ยวเขาไปประมาณ 300 เมตร ก็จะถึง Zemi Valley ซึ่งเป็นภูมิประเทศที่แปลกตา มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้าและกองหินคล้ายจอมปลวกแหลม ๆ ขึ้นมา เป็นพื้นที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา และที่สำคัญจุดนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวเลยแม้แต่คนเดียว ดังนั้น จึงอยากแนะนำทุกคน หากมาที่เกอเรเมไม่ควรพลาดที่นี่เด็ดขาด
Goreme Open Air Museum หรือพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งเกอเรเม คือ สถานที่ที่มีโบสถ์หรือวิหารเจาะเข้าไปในถ้ำ หลายโบสถ์ หลายวิหาร มารวมอยู่ในที่เดียวกัน ซึ่งสมัยก่อนดินแดนบริเวณนี้ถูกเรียกว่า Land of the Saints หรือดินแดนแห่งนักบุญ จึงไม่แปลกที่จะมีโบสถ์หรือวิหารอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน ซึ่งโบสถ์และถ้ำส่วนใหญ่จะสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 10-12 และเมื่อเข้าไปถึง Goreme Open Air Museum สิ่งที่ไม่ควรพลาด ได้แก่
^^ โปรดดูรูปประกอบ (ทางเข้าเราอยู่ที่จุดหมายเลข 1)
- Apple Church หรือ Elmali kilise โบสถ์นี้มีภาพเขียนสีเฟรสโกในศตวรรษที่ 11 วาดเป็นรูปพระเยซูและพระแม่มารี เหตุผลที่ชื่อ Apple Church เพราะเมื่อก่อนหน้าทางเข้าโบสถ์นี้มีต้นแอปเปิลอยู่ (หมายเลข 3)
- St. Barbara Chapel เป็นโบสถ์แรก ๆ ที่มีภาพเขียนสีเฟรสโก (รูปคนขี่ม้า) (หมายเลข 4)
- Snake Church จุดเด่นของโบสถ์นี้ คือ จะมีรูปเขียนสีเป็นรูปจักรพรรดิคอนสแตนติน (หมายเลข 5)
- Dark Church หรือโบสถ์มืด เป็นโบสถ์ที่เขาว่ากันว่าเป็นโบสถ์ที่มีภาพเขียนสีเฟรสโกสมบูรณ์ที่สุด และหากใครอยากเข้าไปชมต้องเสียงตังค์ค่าเข้าเพิ่ม (ซึ่งผมไม่สามารถการันตีได้ครับว่าสวยที่สุดจริงไหม เพราะ ผมไม่ได้เข้าไปด้านใน) (หมายเลข 7)
- Catherine Church มีจุดเด่นตรงที่ด้านในมีการทำเป็นโดมกลางโถงห้องและเจาะตกแต่งทำแท่นบูชา ดูคล้ายวิหารสมัยใหม่ (หมายเลข 8)
** ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าทุกโบสถ์ห้ามถ่ายรูปบริเวณภายในแต่อย่างใด
เมื่อมาถึงก่อนเข้า Goreme Open Air Museum ต้องเสียค่าบัตรผ่านประตูคนละ 20 TR (300 บาท)
วันที่ 4 (ตอนที่ 3)
เมื่อออกมาจาก Goreme Open Air Museum เย็นนี้เราจะไปหาจุดชมพระอาทิตย์ตกกันครับ ซึ่งผมได้ถามเจ้าของโรงแรมว่าจุดชมพระอาทิตย์ตกสวย ๆ มีที่ไหนบ้าง ซึ่งคำตอบก็ได้มา มี 2 ที่ ที่แรก ได้แก่ Rose Valley และที่ที่สอง คือ จุดชมพระอาทิตย์ตกในเมือง ซึ่งเป็นสองที่ที่คนนิยมไปชมพระอาทิตย์ตกกันมาก แต่สิ่งที่ผมต้องการ คือ สถานที่ชมพระอาทิตย์ตกที่คนน้อย ๆ สงบ ๆ มองเห็นวิวมุมกว้าง ซึ่งสองที่นี้คงไม่สามารถตอบโจทย์ของผมได้แน่นอน ผมเลยต้องปั่นจักรยานออกตามหาสถานที่นั้นเอง และสุดท้ายก็เจอ วิธีการไปก็ง่ายแสนง่าย อยู่แค่ปลายจมูก คือ เมื่อออกมาจาก Goreme Open Air Museum ให้เลี้ยวขวาแล้วขึ้นเนินไป (เนินสูงและชันมาก) เมื่อขึ้นไปบนสุดคุณจะเห็นที่ราบสูงบนภูเขาสุดลูกหูลูกตา ให้คุณปั่นจักรยานมาประมาณ 200 เมตร จะเจอพุ่มไม้และต้นไม้ต้นใหญ่ ให้คุณเดินเข้าไปด้านใน สิ่งที่คุณจะเจอ คือ จุดชมพระอาทิตย์ตกที่สุดแสนมหัศจรรย์ โรแมนติก และปราศจากนักท่องเที่ยว
สรุปค่าใช้จ่ายของวันนี้ (ไม่รวมค่ากิน)
- ค่าเข้า Goreme Open Air Museum 20 TR
- ค่ารถไป/กลับ อุชหิซาร์ 5 TR
- ค่าเช่าจักรยาน 20 TR
- ค่าโรงแรม 50 TR
- ค่า One Day Tour 100 TR
- ค่าตั๋วรถกลับอิสตันบูล 60 TR
รวม 255 TR (3,825 บาท)
วันที่ 5 Goreme (คัปปาโดเซีย) >> อิสตันบูล
เช้าวันนี้เป็นอีกวันที่เราไม่ต้องรีบตื่นครับ ทัวร์ที่เราซื้อไว้รถจะมารับเราที่โรงแรมตอน 9 โมง (แต่หากใครอยากเห็นบอลลูนลอยเต็มฟ้าก็ตื่นเช้าหน่อยนะครับ) ตามโปรแกรมของผมวันนี้ตอนกลางวันจะไปเที่ยวกับบริษัททัวร์ ส่วนกลางคืนจะมาขึ้นรถแล้วนอนบนรถทัวร์เพื่อกลับไปอิสตันบูลตามโปรแกรมที่ผมซื้อไว้ (Green) จะมีโปรแกรม ดังนี้
1. Goreme Panorama
2. Derinkuyu Underground City
3. Ihlara Valley
4. Selime Monastery
09.00 น. รถมารับเป็นรถตู้ มีเพื่อนร่วมคณะประมาณ 10 กว่าคน เริ่มเปิดทัวร์โดยไกด์จับละลายพฤติกรรมก่อนเลย โดยการแนะนำตัวและถิ่นที่อยู่ ซึ่งเพื่อนร่วมคณะของผมมีประเทศอิตาลี ชิลี เกาหลีใต้ และโคลัมเบีย ซึ่งพอแนะนำเสร็จหัวเรื่องสนทนาแรกที่ไกด์ของผมเปิด คือ เรื่องฟุตบอลโลก (ช่วงที่ผมไปกำลังแข่งฟุตบอลโลกอยู่พอดี) คำถามก็ประมาณว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้ผลงานของชาติคุณเป็นไงบ้าง พอใจไหม ? ซึ่งผมได้แต่นั่งเงียบครับ เพราะไม่รู้จะตอบเขายังไง คุยกันได้ไม่นานก็ถึงจุดแรก Goreme Panorama
Goreme Panorama ก็คือ จุดชมวิวนั้นเอง แต่จุดนี้จะเป็นจุดที่เราจะเห็นอุชหิซาร์อยู่ตรงหน้าแบบใกล้ ๆ และจะมองเห็นเมืองเกอเรเมในมุมสูง เมื่อลงจากรถไกด์ก็เรียกมารวมตัวแล้วอธิบายถึงความเป็นมาของ คัปปาโดเซียให้ฟัง เมื่ออธิบายเสร็จก็ปล่อยกันไปถ่ายรูปตามอัธยาศัย
เมื่อออกจาก Goreme Panorama คราวนี้ก็นั่งกันยาว ๆ ได้เลยครับ เพราะที่ต่อไปที่เราจะไปไกลพอสมควร Selime Rock Monastery
Selime Rock Monastery เป็นเหมือนสำนักนักบวชที่ขุดเจาะหินเข้าไป เป็นโบสถ์ เป็นวิหาร เป็นโรงเรียน และห้องต่าง ๆ มากมาย ซึ่งสำนักแห่งนี้นักบวชชาวคริสต์ทำขึ้นมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 เลยทีเดียว
^^ Selime Rock Monastery
วันที่ 5 (ตอนที่ 2)
เมื่อเดินทางออกมาจาก Selime Rock Monastery เราใช้เวลาเดินทางไม่นาน แล้วก็ถึงที่ที่สามในโปรแกรม Ihlara Valley
Ihlara Valley หรือ Ihlara Canyon (อิห์ลารา) คือ หุบเขาหรือแคนยอนขนาดใหญ่ที่เบื้องล่างเป็นธารน้ำ ที่มีความยาวหลายกิโลเมตร ซึ่งในสมัยก่อนพื้นที่แห่งนี้เป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีชาวบ้านอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ทั้งที่อยู่ตรงตีนเขาและตามหน้าผา หากดูตามแผนที่แล้วหุบเขาแห่งนี้จะแบ่งเป็น 4 โซน ได้แก่ Ihlara Village/Ohlara Valley/Belisirma/Selime ความยาวจากโซนที่ 1 ไปหาโซนสุดท้าย มีความยาวถึง 16 กิโลเมตร (ถือว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่มาก ๆ) ซึ่งใน Ihlara Valley ก็เหมือนชุมชนทั่วไป ที่มีโบสถ์ มีบ้านที่อยู่อาศัย โรงเรียน ห้องอาหาร ซึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึง Ihlara Valley คือ ภาพเขียนโบราณตามฝาผนังถ้ำ เพราะภาพเขียนฝาผนังของที่นี่ถือว่าสมบูรณ์ทีเดียวครับ
บ่ายเมื่อกินอิ่มก็นอนยาว ๆ ได้เลยครับ เพราะที่ที่เราจะไปเป็นโปรแกรมสุดท้ายของวันนี้ อยู่ไกลจากที่นี่พอสมควร แต่ก็เป็นโปรแกรมที่ผมสนใจและอยากมาชมมากที่สุด คือ Derinkuyu Underground City
Derinkuyu Underground City หรือเมืองใต้ดินเดอรินคุยู เรื่องราวเริ่มตั้งแต่เมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว ชาวคริสต์หลบหนีพวกโรมันที่คอยตามฆ่าผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ โดยขุดพื้นดินลงไปใต้บาดาลลึกลงเทียบได้กับตึกเป็น 10 ๆ ชั้น เพื่อรักษาชีวิตตนให้รอด มันเป็นสถานที่สุดมหัศจรรย์เพราะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลยว่า คนสมัยเมื่อพัน ๆ ปีสามารถสร้างเมืองใต้ดินที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ห้องอาหาร โรงเรียน ห้องนอน โรงพยาบาลได้ถึงขนาดนี้ ซึ่งปัจจุบันนี้ค้นพบเมืองใต้ดินลักษณะนี้ถึง 40 แห่ง ในบริเวณโดยรอบ แต่เมืองที่ได้รับความนิยมอย่างสูงคงนี้ไม่พ้นไคมักลึและเดอรินคุยู ซึ่งเดอรินคุยูที่อยู่ในโปรแกรมของเรานั้นถือเป็น เมืองใต้ดินที่ลึกที่สุดใน 40 เมือง ที่ขุดพบ (มีความลึกถึง 11 ชั้น ด้วยกัน)
^^ ภาพจำลองเมืองใต้ดินเดอรินคุยู
^^ ประตูทางเข้าซึ่งดูจากด้านบนเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ใต้พื้นดินด้านล่างจะเป็นเมืองขนาดใหญ่
16.00 น. ถึงเกอเรเมอาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย เมื่อใกล้ถึงเวลาที่รถจะออก เจ้าของโรงแรมที่แสนมีน้ำใจก็ขับรถไปส่งเราถึงท่ารถ
19.00 น. ขึ้นรถทัวร์เดินทางจากเกอเรเมไปอิสตันบูล ซึ่งคืนนี้เป็นอีก 1 คืน ที่เราต้องนอนบนรถทัวร์ เพราะระยะทางจากเกอเรเมไปอิสตันบูลมีระยะทางไกลถึง 700 กว่ากิโลเมตร
** ค่าใช้จ่ายวันนี้ไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากค่าอาหารมื้อเย็น
วันที่ 6 อิสตันบูล
07.30 น. รถบัสมาถึงอิสตันบูล
อิสตันบูล เมืองที่ใคร ๆ ใฝ่ฝันให้ได้มาเยือนสักครั้งในชีวิต เมืองที่ทั่วทั้งโลกต่างโจษจันในความสวยงาม เมืองที่ได้รับฉายาว่าเมือง 2 แผ่นดิน 3 อาณาจักร เมืองที่ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในเมืองที่ต้องมาเยือนให้ได้สักครั้งก่อนตาย เมืองเอกแห่งศิลปะไบแซนไทน์ เพชรเม็ดงามแห่งจักรวรรดิออตโตมัน และทั้งหมดทั้งมวลนี้ คือ เศษเสี้ยวหนึ่งของนิยามเมือง ๆ นี้...อิสตันบูล
กรุงอิสตันบูล แม้ไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศตุรกี แต่ก็เป็นเมืองที่สำคัญ โด่งดัง และประชากรมากที่สุดของตุรกี ซึ่งอิสตันบูลจะว่าไปแล้วมีตำนานการสร้างเมืองครั้งแรกเมื่อเกือบ 2,800 ปีที่แล้ว โดย ไบซัส ผู้นำชาวเมการา มาสร้างเมืองตามคำแนะนำของเทพพยากรณ์ในวิหารเดลฟี ที่กรีก ว่าจุด ๆ นี้เป็นชัยภูมิที่ดี เพราะมีทะเลล้อมรอบและมีภูเขาถึง 7 ลูก เหมาะแก่การสร้างเมืองใหม่เป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีอิสตันบูลมีชื่อว่า ไบแซนทิอุม จนมาถึงยุคของจักรพรรดิคอนสแตนตินแห่งโรม ทรงหาชัยภูมิที่เหมาะจะสร้างกรุงโรมแห่งใหม่และมาต้องตากับเมืองแห่งนี้ จึงสร้างกำแพงเมืองล้อมรอบภูเขาทั้ง 7 ลูก และสถาปนาเมืองใหม่ตรงกับวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 779 โดยให้ชื่อเมืองใหม่นี้ว่า "กรุงคอนสแตนติโนเปิล" หรือบางคนในสมัยนั้นจะเรียกเมืองนี้ว่า Nova Roma (โรมแห่งใหม่) หรือ Stamboul เมืองใหม่นี้เจริญสุด ๆ ในยุคจักรพรรดิคอนสแตนตินและหลาย ๆ รุ่นต่อมา เคยมีพลเมืองระดับล้านคนอาศัยในอดีต และในเมืองก็เต็มไปด้วยสิ่งสาธารณูปโภคมากมาย สมกับเป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิคอนสแตนติโนเปิล เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ มาถึงปี พ.ศ. 1996 ก็ถูกสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 แห่งจักรวรรดิออตโตมัน เข้าบุกตีและยึดเมืองได้ และทำการเปลี่ยนให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาหลักแทนศาสนาคริสต์ และทำการเปลี่ยนชื่อเมืองอีกครั้ง จากคอนสแตนติโนเปิลเป็น "อิสลามบูล" จนถึง พ.ศ. 2473 เมืองนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ดูไพเราะและตรงกับภาษาตุรกีสมัยใหม่ว่า "กรุงอิสตันบูล" ซึ่งมาจากภาษากรีกว่า "eis ten polin" (แด่เมืองคอนสแตนติโนเปิล)
โดยอิสตันบูลถือเป็นเมือง 2 ทวีป เพราะมีพื้นที่ส่วนหนึ่งอยู่ในพื้นที่ฝั่งยุโรป ที่เรียกว่า เทรซ และอีกฝั่งอยู่ในพื้นที่ส่วนที่เป็นเอเชียหรือคาบสมุทรอาราโตเลีย โดยมีช่องแคบบอสฟอรัสเป็นตัวแบ่งสองพื้นที่นี้ออกจากกัน
08.00 น. รถทัวร์ไปจอดสุดทางให้เราลงที่ Otogar ** เมื่อลงแล้วไม่ต้องไปไหนนะครับ เพราะที่นี่เขามีบริการรถไป-ส่งในเมืองฟรี (เมื่อลงแล้วให้เดินตามคนอื่นไป) รถดังกล่าวจะเป็นรถตู้ จะไปจอดยังจุดสำคัญ ๆ ในเมือง เช่น ย่าน Sultan ahmet หรือจัตุรัสทักซิม
09.00 น. ผมลงที่ย่าน Sultan ahmet แล้วเดินไปโรงแรม ซึ่งโรงแรมก็อยู่ไม่ไกลจากย่าน Sultan ahmet และวัง Topkapi เท่าไร ซึ่งโรงแรมที่ผมพักชื่อโรงแรม Preferred Hotel Oldcity ราคาตกแล้วคนละ 45 TR (675 บาท) ซึ่งใครสนใจลองเข้าไปดูได้ที่ www.booking.com
ภาพโดยรวมของโรงแรมนี้ถือว่าพอนอนได้ครับ แต่ถ้าเทียบกับสองโรงแรมที่ผ่านมาถือว่าห้องเล็กมาก และสำคัญ คือ โรงแรมนี้ไม่มีลิฟต์และบันไดดันชันมาก แล้วคิดดูห้องผมอยู่ชั้นบนสุด โอ้วแม่เจ้า...จะบ้าตาย แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรมากครับ ยอมรับกับสภาพราคา เพราะโรงแรมนี้ก็มีจุดดีอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะเป็นโรงแรมราคาถูกที่ทำเลสุดเจ๋ง >> เดิน 3 นาที ถึงสถานีรถราง/5 นาที ถึงวังTopkapi/8 นาที ถึงเซนต์โซเฟีย และถ้ากลับมาอีกด้าน 5 นาที ถึงตลาดเครื่องเทศและท่าเรือ/7 นาที ถึงสะพานกาลาตา โดยรวมผมถือว่าเหมาะกับราคา
** ตามโปรแกรมของผม ผมจะอยู่ในอิสตันบูล 3 วัน เพื่อเป็นการซึมซับอิสตันบูลให้ได้มากที่สุด และถือโอกาสใช้เมืองนี้เป็นการพักผ่อนก่อนปิดทริป บางทีเที่ยวบาง นอนบ้าง นั่งกินลมบ้าง หากใครดูแล้วไม่ถูกใจโปรแกรมในส่วนไหนก็ปรับได้ตามสบายนะครับ ซึ่งผมคิดว่าช่วงหน้าร้อน (กลางวันเวลาจะยาวนานกว่ากลางคืน) เวลาที่เหมาะที่สุดกับการเที่ยวอิสตันบูล ถ้าคนอึดหน่อยก็ 2 วัน ถ้าอึดน้อยหน่อยก็ 3 วัน
10.00 น. เดินทางออกจากโรงแรมเพื่อไป พระราชวังทอปคาปึ (Topkapi) ถ้าจากโรงแรมที่ผมพักเดินไปเพียงไม่กี่นาทีก็ถึง แต่ถ้าหากใครพักที่อื่นจะใช้วิธีการนั่งรถรางมาก็ได้ โดยให้ลงที่สถานี Sulatan ahmet หรือสถานี Gulhane ก็ได้ และก่อนเข้าต้องเสียค่าผ่านประตูคนละ 30 TR (450 บาท)
Topkapi Palace หรือพระราชวังทอปคาปึ หรือโทพคาปึ สร้างในสมัยสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 หลังจากพิชิต กรุงคอนสแตนตินโนเปิลลงเมื่อปี พ.ศ. 1996 โดยสร้างบนเนินเขาลุกที่ 3 จากทั้งหมด 7 ลูก ในเมืองนี้ แต่ก็อยู่ได้ไม่นานต้องย้ายไปสร้างพระราชวังแห่งใหม่อีกครั้ง บนเนินเขาลูกที่ 1 และสร้างกำแพงล้อมรอบพระราชวัง โดยเฉพาะในส่วนที่ติดกับทะเล และในส่วนของกำแพงวังในส่วนนี้เองมีปืนใหญ่อยู่ติดกับกำแพงด้วย หรือที่ใคร ๆ เรียกว่า ประตูปืนใหญ่ โดยภาษาตุรกี คำว่า ประตูปืนใหญ่ จะเรียกว่า Topkapi (โทพ-คา-ปึ) โดยคำว่า ทอป หรือ โทพ แปลว่า ปืนใหญ่ ส่วนคำว่า คาปึ แปลว่า ประตู ดังนั้น คำว่า พระราชวังทอปคาปึ จึงแปลว่า พระราชวังประตูปืนใหญ่ตามที่มาของกำแพงวังนั่นเอง โดยรวม ๆ ถือว่า สวยทีเดียวครับกับพระราชวังแห่งนี้ แต่ถ้าใครหวังจะเห็นความอลังการเหมือนพระราชวังของยุโรปยุคกลาง คงผิดหวัง เพราะพระราชวังแห่งนี้มีการตกแต่งแบบออตโตมัน ไม่ถึงขนาดอลังการงานสร้างเหมือนศิลปะแบบบาโรคหรือโรกโกโก แต่ก็จัดว่าอยู่ในประเภทเรียบง่าย หรูหรา น่าค้นหา ลึกลับ ซึ่งเมื่อคุณเข้ามาในวังแห่งนี้สิ่งที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง ได้แก่
- Treasury (อาคารพระคลังมหาสมบัติ) เป็นที่จัดแสดงสมบัติล้ำค่า ที่เป็นเครื่องบรรณาการจากต่างแดนทั้งหลาย
- Baghdad Pavilion (พระราชตำหนักแบกแดด) สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสที่ออตโตมันมีชัยเหนือกรุงแบกแดด ในปี พ.ศ. 2182 ตำหนักนี้ถือว่าเป็นตำหนักที่มีวิวสวยที่สุดแห่งหนึ่งของพระราชวังแห่งนี้ เนื่องจากเมื่อมองออกไปจะเห็นทิวทัศน์ของช่องแคบบอสฟอรัสอย่างเต็มตา
วันที่ 6 ตอนที่ 2
13.00 น. เราจะไปต่อกันที่ ตลาดแกรนด์บาซาร์ ซึ่งนักท่องเที่ยวจะรู้กันดีว่าเป็นตลาดที่มีของขายทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นตลาดในร่มที่ใหญ่ติดระดับโลกเลยทีเดียว แต่คนตุรกีก็รู้ดีเหมือนกันว่าของที่ขายในตลาดนั้นแพงมาก (คนไทยมองจตุจักรเป็นฉันใด คนตุรกีก็มองตลาดแกรนด์เป็นฉันนั้น) แต่อย่างไรเสียเมื่อมาถึงตุรกีแล้วก็ต้องไปสักหน่อย เพราะมาอิสตันบูลแล้วไม่ได้ไปตลาดแกรนด์บาซาร์เดี๋ยวจะเหมือนมาไม่ถึงอิสตันบูล ซึ่งผมจะใช้วิธีการเดินไป >> ดูตามแผนที่นะครับ
^^ ให้เข้าซอยที่อยู่ตรงข้ามกับวัง แล้วเดินไปตามแผนที่ระยะทางกิโลเมตรกว่า ๆ แต่หากใครกลัวหลงจะเดินไปตามทางรถรางก็ได้ วิธีนี้จะง่ายหน่อยแต่จะไกลกว่าวิธีแรก แต่หากใครไม่อยากเดินก็ง่ายเลย แค่คุณขึ้นรถรางจากสถานี Gulhone สายสีน้ำเงิน (ออกจากประตูวังเลี้ยวขวา) ไปสามสถานีเพื่อไปลงที่สถานี Bayazit
เมื่อลงจากรถรางให้คุณหันขวา ตลาดแกรนด์บาซาร์จะอยู่ทางด้านขวามือของคุณ (ตลาดเปิดทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์) เมื่อช้อปจนเหนื่อยก็เดินกลับมายังสถานีรถรางที่เราลงมาครั้งแรกอีกครั้ง โดยเป้าหมายต่อไปของเรา คือ นั่งชมเซนต์โซเฟียและบลูมอสก์ในยามค่ำคืน เมื่อเดินมายังสถานีรถรางให้เราเลี้ยวซ้ายเดินไปตามทางรถราง 2 สถานี ก็ถึง แต่หากใครไม่ชอบการเดินจะขึ้นรถรางก็ไม่ว่ากัน (ลงที่สถานี Sultan ahmet)
17.00 น. หลังจากเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อย คราวนี้ก็มาถึงเซนต์โซเฟียและบลูมอสก์ ซึ่งในเวลากลางคืนจะเปิดไฟสวยงาม ซึ่งถ้าใครได้มาเยือนอิสตันบูลไม่ควรพลาดอย่างยิ่งกับโปรแกรมชมเซนต์โซเฟียในยามเย็นและบลูมอสก์ในยามราตรี
22.00 น. หลังจากเดินชมแสง สี ของเมืองอิสตันบูลยามราตรี ก็ถึงทีที่ต้องกลับโรงแรม
สรุปค่าใช้จ่ายของวันนี้ (ไม่รวมค่ากิน)
- ค่าเข้าพระราชวังทอปคาปึ 30 TR
- ค่าโรงแรม 1คน X 3 คืน = 135 TR
รวม 165 TR (2,475 บาท)
วันที่ 7 อิสตันบูล (เซนต์โซเฟีย+บลุมอสก์+เยเรบาตัน+หอคอยกาลาตา+ หอ Maiden
เช้าวันนี้ตื่นแต่เช้าหน่อยครับ เพื่อจะไปต่อคิวเข้าเซนต์โซเฟีย ซึ่งคิดว่าเราคงไปเป็นคนแรก ๆ แต่ก็ไม่วายมีคนมาก่อนหน้าเราอยู่หลายคิว แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะยังไงประตูก็ยังไม่เปิดให้เข้า รออยู่ไม่นานประตูก็เปิดให้เข้า (ซึ่งเสียค่าเข้าคนละ 30 TR) ซึ่งก่อนเข้าก็จะมีเจ้าหน้าที่มาคอยตรวจและเก็บของอันไมพึงประสงค์ (ขาตั้งกล้องห้ามนำเข้าเช่นเดียวกับที่พระราชวังทอปคาปึ)
St.Sophia (เซนต์โซเฟีย) หรือที่ภาษาตุรกีเรียกว่า Hagia sophia (ฮาเยีย โซเฟีย) แรกเริ่มเดิมที่สร้างเป็นโบสถ์คาทอลิกเพื่ออุทิศแก่ Divine Wisdom (ปัญญาแห่งสวรรค์ ผู้ที่เป็นพระผู้เป็นเจ้าประทานแก่โลกมนุษย์ โดยผ่านพระบุตร ก็คือ พระเยซู) หากกล่าวไปแล้วเซนต์โซเฟียที่เราเห็นในปัจจุบัน ก็คือ โบสถ์หลังที่ 3 ที่ได้มีการสร้างขึ้นมาใหม่
- หลังแรกสร้างในสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติอุส (โอรสของจักรพรรดิคอนสแตนติน) ในปี พ.ศ. 903 และถูกทำลายลงในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 947 โดยประชาชนผู้โกรธแค้นพระนางยูโดเซีย ที่ถอดนักบุญจอห์น คริสซอสทอม (John Chrysostom) ออกจากตำแหน่งบิชอป
- หลังที่สองถูกสร้างโดยจักรพรรดิธีโอโดเชียสที่ 2 ณ จุดเดิมตำแหน่งเดิมอีก 14 ปีให้หลัง แต่ก็ไม่วายถูกเผาพังลงมาอีกครั้ง โดยกบฏนิก้าในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน
- หลังที่สามเมื่อจักรพรรดิจัสติเนียนปราบกบฏลงได้แล้วก็ทรงสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งพระองค์ทรงหวังว่าจะสร้างโบสถ์หลังใหม่ให้ยิ่งใหญ่และสวยงามกว่าสองครั้งที่ผ่านมา จึงบัญชาให้สถาปนิกชื่อดังมาออกแบบและก่อสร้าง โดยนำวัสดุชิ้นดีมาจากเกือบทั่วทุกสารทิศ โดยใช้แรงงานในการก่อสร้างเป็นหมื่น ๆ คน ใช้เวลาก่อสร้างเป็นเวลา 5 ปี จึงแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 1080 (ดังนั้น หากนับเวลาความเป็นมาของโบสถ์เซนต์โซเฟียก็ไม่ถือว่ามากมายเลย แค่ 1,500 ปีเอง)
วิหารเซนต์โซเฟีย เป็นมหาวิหารคู่กรุงคอนสแตนติโนเปิลมาเป็นเวลากว่า 900 ปี จนกองทัพเติร์กเข้ามาตีกรุงคอนสแตนติโนเปิล ซึ่งนำโดยสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่า ครั้นเมื่อ สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ตีกรุงคอนสแตนติโนเปิลสำเร็จ งานแรก ๆ ของท่าน (สุลต่านเมห์เหม็ด) คือ การทำลายเซนต์โซเฟีย ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของชาวคริสต์ลงซะ แต่แล้วเมื่อท่านได้ก้าวเข้ามาในมหาวิหารแห่งนี้ท่านถึงกับตะลึงในความสวยงามและยิ่งใหญ่จนทำลายที่นี่ไม่ลง แต่ได้เปลี่ยนจากโบสถ์คริสต์มาเป็นสุเหร่าของมุสลิมแทน และสั่งให้เอาปูนมาปิดรูปโมเสกในวิหาร เพราะความเชื่อในศาสนาอิสลามไม่ให้มีรูปคนหรือสัตว์อยู่ในสุเหร่าแต่อย่างใด (ในปัจจุบันประชาชนอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ถือว่าได้ประโยชน์ไป เพราะปูนดังกล่าวเริ่มหลุดร่อนออกมาให้ได้เห็นภาพเขียนสีดังกล่าวที่มีอายุกว่าพันปี) และเมื่อ พ.ศ. 2466 หลังจากมุสตาฟา อตาเติร์ก ขึ้นปกครอง มีหลายฝ่ายเรียกร้องให้เซนต์โซเฟียกลับไปเป็นโบสถ์คริสต์อีกครั้ง แต่ด้วยความฉลาดหลักแหลมของท่านอตาเติร์ก เพื่อเป็นการขจัดปัญหาการแตกแยกของคนในชาติ เลยตัดสินใจไม่ให้เซนต์โซเฟียเป็นทั้งสุเหร่าและโบสถ์ แต่กลับให้มาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใคร ๆ จะเข้าชมได้แทน ตั้งแต่บัดนั้นเซนต์โซเฟียจึงมีสถานะเป็นพิพิธภัณฑ์มาจนถึงปัจจุบัน
เป็นเรื่องน่าแปลกที่แม้อายุจะกว่า 1,500 ปีแล้ว แต่วิหารเซนต์โซเฟียยังมีโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่และคงทน ซึ่งเกินกว่าจะเชื่อว่าผู้ที่สร้าง คือ คนธรรมดาสมัย 1,500 ปี ย้อนหลัง และที่แปลกไปกว่านั้น คือ วิหารเซนต์โซเฟียที่ยิ่งใหญ่สร้างโดยไม่มีเสาค้ำตรงกลาง แต่กลับใช้วิธีถ่ายน้ำหนักไปยังผนังข้าง ๆ ถือว่าเป็นการสร้างที่สุดมหัศจรรย์ในยุค 1,500 ปีที่แล้ว จริง ๆ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่มหาวิหารแห่งนี้จะถูกยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง ณ ปัจจุบัน ซึ่งก้าวแรกที่ผมก้าวเข้าไปวิหารเซนต์โซเฟียแห่งนี้ ผมเข้าใจถึงความรู้สึกและเหตุผลสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 เลย ว่าทำไมท่านถึงทำลายไม่ลง เพราะด้านในมหาวิหารวิหารสวยมาก ๆๆๆ จนไม่รู้ว่าผมจะหาที่ไหนมาเปรียบได้ (ขนาดช่วงเวลาที่ผมไปมีบางส่วนที่ปิดซ่อมแซมอยู่) หลังผมยืนดูความสวยงามของมหาวิหารแห่งนี้ได้สักพักผมก็ออกเดินทางต่อ ซึ่งโปรแกรมต่อไป ได้แก่ บลูมอสก์ (อยู่ตรงข้ามกับวิหารเซนต์โซเฟีย)
วันที่ 7 (ตอนที่ 2)
10.00 น. ผมเดินออกจากเซนต์โซเฟียเพื่อไปยังบลูมอสก์
^^ เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ โปรดดูในรูป >> จุดที่เรายืนอยู่ คือ เซนต์โซเฟีย (Haghian Sophia) เมื่อเดินผ่านประตูเซนต์โซเฟียมาได้ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา คือ บลูมอสก์ (Blue Mosque) >> และมีพื้นที่ที่กั้นระหว่างเซนต์โซเฟียกับบลูมอสก์ เห็นสนามหญ้าสีเขียว ๆ ในรูปไหมครับ >> ที่ตรงนี้ คือ ลานน้ำพุ โดยเฉพาะช่วงเย็นคนอิสตันบูลจากพาครอบครัวมานั่งเล่นและกินอาหารกัน ณ จุดนี้ >> ดูในรูปถ้าเรายืนที่สนามหญ้าดังกล่าวแล้วหันหน้าเข้าหาเซนต์โซเฟีย หันหลังให้บลูมอสก์ ซ้ายมือในมุม 10 นาฬิกา ตรงถนนอีกฝั่ง คือ เยเรบาตัน (Basilica Cistern) >> ดูในรูปถ้าเรากลับมายืนในสนามหญ้าที่มีลานน้ำพุอีกครั้ง แต่คราวนี้หันหน้าเข้าหาบลูมอสก์แล้วหันหลังให้เซนต์โซเฟียขวามือในมุม 11 นาฬิกา คือ ฮิปโปโดรมหรือ จัตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ด >> ดูในรูป เห็นรูปตัว I ไหมครับ จุดนี้ คือ จุดบริการนักท่องเที่ยว >> และบนตัว I จะมีเส้นประสีฟ้า คือ ทางรถราง >> ถ้าคุณยืนอยู่ที่ตัว I แล้วหันหน้าเข้าหารถราง >> คุณเดินตามสายรถรางไปทางขวาคุณก็จะเจอพระราชวังทอปคาปึ >> หากคุณเดินไปทางซ้ายคุณก็จะไปถึงตลาดแกรนด์บาซาร์
^^ เซนต์โซเฟียและบลูมอสก์ถ่ายผ่านฟิล์มสไลด์
Blue Mosque สุเหร่าสีน้ำเงิน หรือสุเหร่าสุลต่านอาห์เหม็ดที่ 1 สร้างในปี พ.ศ. 2152-2159 เป็นอีกสัญลักษณ์และสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงอิสตันบลู บลูมอสก์เกิดจากแรงบันดาลใจหรือแรงปารถนาที่ต้องการสร้างสุเหร่าให้ใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟีย เพราะก่อนหน้านี้เซนต์โซเฟียถูกยกย่องให้เป็นวิหารคริสต์ที่สวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แต่ดันมาอยู่ในอิสตันบลูเมืองของอาณาจักรออตโตมัน ซึ่งเป็นอิสลาม ทำให้สุลต่านหลายพระองค์พยายามสร้างสุเหร่าให้ใหญ่หรือเทียบเท่าเซนต์โซเฟีย แต่ก็ไม่มีสุลต่านพระองค์ไหนทำได้สำเร็จ โดยจนมาถึงยุคของสุลต่านอาห์เหม็ดที่ 1 ก็ทำได้สำเร็จ แต่ก็ทันได้ชื่นชมสุเหร่าที่ตนสร้างเพียงไม่นาน เพราะพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ก่อนบลูมอสก์จะเสร็จสมบูรณ์แค่ 1 ปี เหตุที่เรียกสุเหร่าแห่งนี้ว่าบลูมอสก์ (สุเหร่าสีฟ้า) ไม่ได้มาจากด้านนอกสุเหร่า (ด้านนอกสุเหร่าสีขาว) แต่เกิดจากด้านในของสุเหร่าแห่งนี้ประดับด้วยกระเบื้องอิซนิกที่เป็นสีฟ้านั่นเอง
และถ้าสังเกตดี ๆ เมื่อคุณยืนอยู่หน้าเซนต์โซเฟียคุณจะเห็นบลูมอสก์อยู่ตรงข้าม จะบอกเลยครับว่านี่ไม่ใช่ความบังเอิญ ที่สุเหร่าที่ยิ่งใหญ่จะมาอยู่ตรงข้ามกับมหาวิหารที่ใหญ่ยิ่ง แต่เกิดจากความตั้งใจของผู้สร้าง โดยหวังให้สองแห่งนี้ประชันความงามกันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยว่าใครงามกว่ากัน ซึ่งเมื่อผมเห็นทั้งด้านในและด้านนอกบอกตรง ๆ ครับตัดสินไม่ถูกจริง ๆ ว่าใครงามกว่าหรือด้อยกว่า เพราะทั้งสองที่ คือ งานระดับมาสเตอร์พีชของทั้งไบแซนไทน์และออตโตมันจริง ๆ
บลูมอสก์ ณ ปัจจุบันยังใช้เป็นสุเหร่าเพื่อประกอบพิธีทางศาสนาเป็นปกติ โดยให้นักท่องเที่ยวเข้าชมด้านในฟรี เว้นแต่ช่วงประกอบพิธีจะปิดไม่ให้เข้า และการเข้าไปที่นี่ต้องถอดรองเท้า คลุมศีรษะ และสำรวมกาย วาจา เพราะที่นี่เป็นศาสนสถานไม่ใช่พิพิธภัณฑ์เหมือนเซนต์โซเฟีย และนอกจากรอบข้างสุเหร่าแห่งนี้ยังเป็นที่ฝังศพของกษัตริย์และราชวงศ์ ยังมีสิ่งก่อสร้างเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชน ได้แก่ ห้องสมุด ห้องอาบน้ำ โรงพยาบาล และโรงเรียนอีกด้วย
วันที่ 7 (ตอนที่ 3)
12.00 น. เมื่อออกจากบลูมอสก์คราวนี้เราก็เดินทาต่อที่ฮิปโปโดรม ซึ่งเมื่อเดินออกจากบลูมอสก์ (ประตูด้านหน้า) จะเจอลานกว้าง ลานกว้าง ๆ ที่เห็นนั่นแหละ คือ ฮิปโปโดรมหรือจัตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ด คือ สนามแข่งม้าโบราณและเป็นจุดศูนย์กลางในยุคไบแซนไทน์ สร้างโดยจักรพรรดิเซ็ปติมุส เซเวรุส ซึ่งปัจจุบันมองแทบไม่รู้แล้วว่าเป็นสนามแข่งม้าในอดีต
^^ ฮิปโปโดรมในอดีต
ซึ่งเมื่อมาถึงฮิปโปโดรมสิ่งที่ไม่ควรพลาดชม คือ เสา 3 เสา ได้แก่
- เสาโอบีลิสก์ (Obelisk of Thutmose) เป็นเสาสี่เหลี่ยมยอดแหลม ซึ่งเป็นเสาที่จักรพรรดิคอนสแตนติน นำมาจากเมืองคาร์นัก ในประเทศอียิปต์
- เสาคอนสแตนตินที่ 7 (Column of Constantin vll) สร้างในปี 1483 แกะจากหินปูนเป็นรูปเกษตรกรและชาวประมง
- เสางู (Serpentine Column) เป็นเสารูปงูพันกัน เดิมมีความสูงอยู่ที่ 8 เมตร แต่ตอนนี้ชำรุดเหลือเพียง 5 เมตร เดิมตั้งอยู่ที่วิหารอพอลโลในกรีก สร้างเมื่อ 2,480 ปีที่แล้ว เสาต้นนี้ถือว่าเป็นเสาที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดา 3 เสานี้
*** เมื่อออกจากฮิปโปโดรมแล้วใครอยากเข้าชมอ่างเก็บน้ำโบราณ (Underground Cistern) "เยเรบาตัน" ก็เดินย้อนกลับมายังประตูทางเข้าเซนต์โซเฟีย เยเรบาตันจะอยู่ตรงข้ามโดยมีถนนกั้น ค่าเข้า 20 TR ซึ่งทางเข้าอาจหายากหน่อย (โปรดดูตามรูปด้านล่างและแผนที่ด้านบน)
15.00 น. ออกจากเยเรบาตันตั้งต้นที่เซนต์โซเฟีย เราจะไปต่อกันที่หอคอยกาลาตา โดยวิธีการเดินทางมี 2 ทางให้เลือก คือ เดินไปหรือนั่งรถรางไป ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้ให้ใช้จุดเริ่มต้นที่เดียวกัน คือ เริ่มที่สถานีรถราง Sultan ahmet สายสีน้ำเงิน แล้วนั่งไปต่อ 3 สถานี (ระยะทางกิโลเมตรกว่า ๆ) ไปลงที่สถานี Karakoy
เมื่อลงจากสถานี Karakoy ให้เดินไปตามรูป
หอคอยกาลาตา (Galata Tower)
หอคอยแห่งนี้สร้างตั้งแต่ยุคไบแซนไทน์หรือกรุงคอนสแตนติโนเปิล เมื่อปี ค.ศ. 500 เพื่อใช้เป็นประภาคารดูภัยในมุมสูง แต่ก็ถูกไฟไหม้จนเสียหายหลายครั้ง จนถึงยุคสุลต่านเซลิมที่ 2 แห่งจักรวรรดิออตโตมัน ทรงได้ซ่อมแซมขึ้นใหม่อีกครั้ง และในสมัยสุลต่านสุไลมาน หอคอยแห่งนี้ก็ได้ใช้เป็นหอคอยที่คุมขังนักโทษอีกด้วย จนถึงปัจจุบันชั้นบนสุดของหอคอยแห่งนี้ใช้เป็นที่ชมวิวกรุงอิสตันบลูในมุมสูง และชั้นถัดมาเป็นภัตตาคาร โดยความสูงจากฐานล่างถึงชั้นบนสุดมีความสูงถึง 62 เมตร โดยเสียค่าขึ้นชมคนละ 18.5 TR เปิดบริการตั้งแต่ 09.00 น. ถึง 20.30 น.ของทุกวัน
17.00 น. ออกจากหอคอยกาลาตาให้เดินย้อนกลับมาที่สถานีรถรางอีกครั้ง แล้วเดินย้อนมาตามทางรถราง 2 สถานี (หรือถ้าใครไม่อยากเดินก็ขึ้นรถรางได้) ไปสถานี Sirkeci ซึ่งจุดนี้มีท่าเรือชื่อ Sirkeci ซึ่งเป็นท่าเรือข้ามไปมาระหว่างฝั่งยุโรปกับฝั่งเอเชีย โดยเป้าหมายต่อไปของเรา คือ หอไมเดน หรือ Maiden\'s Tower
ค่าเรือ 4 TR วิธีการซื้อตั๋วก็เหมือนวิธีการซื้อตั๋วรถรางครับ ซื้อที่เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ โดยหยอดเงินเข้าไป เราก็จะได้เหรียญออกมา และเวลาขึ้นเรือก็ใช้เหรียญดังกล่าวหยอดเพื่อเปิดประตู
17.30 น. นั่งเรือประมาน 10 นาที ก็จะถึงท่าเรือ (Harem) ฝั่งเอเชีย (เมื่อเดินออกจากท่าเรือให้หันไปทางซ้ายเดินเลียบริมทะเลไปเรื่อย ๆ ก็จะถึงหอไมเดน)
Maiden\'s Tower หรือหอหญิงงาม เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงอิสตันบลู แม้ที่นี่จะเป็นหอกลางน้ำขนาดเล็ก ๆ แต่ก็เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความน่าสนใจไม่น้อย เนื่องจากหอดังกล่าวอยู่ในทำเลที่สวยงาม กลางทะเลในช่องแคบบอสฟอรัส และจะงามยิ่งขึ้นในเวลากลางคืน เหตุผลที่หลายคนเรียกหอดังกล่าวว่าหอหญิงงาม มีตำนานเล่าว่าพระราชามีลูกสาวแสนสวยอยู่คนหนึ่ง ซึ่งถูกหมอดูทำนายทายทักว่าเจ้าหญิงแสนสวยองค์นี้จะถูกงูกันตาย โดยพระราชากลัวว่าจะเป็นตามคำทำนายของหมอดู จึงรับสั่งให้สร้างหอคอยไว้กลางทะเล และนำลูกสาวไปอยู่ที่หอคอยดังกล่าวไม่ให้กลับมาบนฝั่งอีกเลย ส่วนอาหารการกินก็ให้คนนั่งเรือเอาข้ามไปให้ แต่มีอยู่วันหนึ่งคนรับใช้ได้นำอาหารและผลไม้ไปให้หญิงงามเช่นทุก ๆวัน แต่วันนี้ที่ถาดที่ใส่แอปเปิลมีงูพิษซ่อนตัวอยู่ด้านล่างผลแอปเปิลโดยไม่มีใครเห็น เมื่อเจ้าหญิงหยิบแอปเปิลขึ้นมากินก็ถูกงูพิษกัดจนตาย เลยเป็นที่มาของคำว่า "หอหญิงงาม" และสำคัญอย่างที่บอกไปแล้ว หอดังกล่าวในยามค่ำคืนงามไม่แพ้ชื่อหอแต่อย่างใด ส่วนใครอยากจะนั่งเรือข้ามฝั่งไปรับประทานอาหารบนเกาะ (บนเกาะเป็นร้านอาหาร) ก็สามารถขึ้นเรือข้ามฝั่งไปได้ มีค่าบริการ 10 TR
21.30 น. คราวนี้ก็ถึงเวลากลับ ซึ่งถ้าใครอยู่ไม่เกิน 2 ทุ่มกว่า ๆ ถึง 3 ทุ่ม ก็สามารถนั่งเรือข้ามฝั่งกลับได้เลย แต่หากใครอยู่เกินเวลาก็ใช้วิธีการนั่งแท็กซี่ไปลงที่สถานีรถไฟ Ayrlik Cesmesi สายสีขาว (ค่าบริการ 10 TR) แล้วเราก็นั่งรถไฟจากสถานีนี้ ซึ่งสถานีนี้เป็นสถานีรถไฟที่รอดใต้ทะเลของช่องแคบบอสฟอรัส โดยมีการขุดอุโมงค์ใต้ทะเลเพื่อทำเป็นรถไฟรอดใต้ทะเลข้ามฝั่งระหว่างเอเชียกับยุโรป ซึ่งรถไฟสายนี้จะสุดสายที่สถานี Sirkeci
22.00 น. หาอะไรกินและนอน
สรุปค่าใช้จ่ายของวันนี้ (ไม่รวมค่ากิน)
- ค่าเข้าเซนต์โซเฟีย 30 TR
- ค่าเข้าเยเรบาตัน 20 TR
- ค่าขึ้นหอคอยกาลาตา 18.5 TR
- ค่าเรือข้ามฝั่ง 4 TR
- ค่าแท็กซี่ 3.5 TR
- ค่ารถไฟ 2 TR
รวม 78 TR (1,170 บาท)
วันที่ 8 อิสตันบลู (ตลาดเครื่องเทศ+วังโดมาบาเช่+Otokoy Mosque)
เช้าวันนี้เราจะเที่ยวกันแบบสบาย ๆ ไม่มีโปรแกรมแบบตายตัว (แต่ตอนเย็นต้องไปวังโดมาบาเช่และสุเหร่า Otokoy) เช้านี้เราเดินออกจากโรงแรมแล้วเดินตามทางรถรางไปสถานีเดียว (สถานี Sirkeci) จะเจอสี่แยกใหญ่และสี่แยกเล็ก ให้เราเดินตรงไปตลอดก็จะเจอ ตลาดเครื่องเทศ (Spice Market) ตลาดนี้เป็นอีกตลาดที่ใหญ่มากในอิสตันบลู แต่ก็เล็กกว่าแกรนบาซาร์ และที่นี่จะเน้นขายพวกของกินเป็นหลัก ซึ่งของกินดังกล่าวจะถูกกว่าแกรนบาซาร์ด้วย แต่หากใครคิดว่าที่นี่ราคายังไม่ถูกจนสะใจ โปรดเดินไปจนสุดทางแล้วเดินออกนอกตลาดไป คุณจะเจอร้านหรือแผงนอกตลาดให้คุณซื้อตรงจุดนี้ โดยเฉพาะพวกของกิน ขนม นม เนย ต่าง ๆ จะถูกกว่าในตลาดเครื่องเทศพอสมควร
เย็นจะบอกว่าผมเดินไป เดินมา เข้าร้านนู้น ออกร้านนี้จนเย็น ซึ่งผมเกือบลืมไปเลยว่าเรามีโปรแกรมจะไปต่ออีก 2 ที่ ได้แก่ วังโดมาบาเช่และสุเหร่า Otokoy
วิธีการไป >> พระราชวังโดมาบาเช่ให้คุณนั่งรถรางสายสีน้ำเงินไปจนสุดสาย แล้วลงที่สถานี Kabatas
เมื่อคุณลงแล้วให้คุณหันหน้าออกทะเลแล้วหันไปทางซ้าย เดินไปประมาน 200 เมตร (ซึ่งถ้าใครสนใจไปเกาะเจ้าชาย หรือ Prince island ท่าเรือที่จะไปก็อยู่ ณ จุดนี้) เมื่อเดินไปได้สัก 200 เมตร จะเห็นสนามฟุตบอลทางซ้าย คือ สนามฟุตบอลของสโมสร "เบซิคตัส" ส่วนตรงข้ามสนามฟุตบอล คือ พระราชวังโดมาบาเช่ ซึ่งโชคร้ายตอนที่ผมไปเป็นเวลา 15.50 น. เขาไม่ให้เราเข้าไปด้านในแล้ว (เวลาปิด 16.00 น.)
แต่ไม่เป็นไร เพราะเป้าหมายต่อไปของเรา คือ Otokoy Mosqus สุเหร่าแสนสวยริมทะเลก็อยู่ไม่ไกลจากที่แห่งนี้ วิธีการไปมี 2 วิธี
1. เดิน : ถ้าคุณเลือกวิธีเดินให้หันหน้าออกนอกถนนแล้วหันไปทางขวา เดินเลาะกำแพงวังไปเรื่อย ๆ จะผ่านโรงแรมและมหาวิทยาลัยกาลาตาซาราย ให้เดินไปเรื่อย ๆ ซึ่งไกลพอสมควร จนได้ระยะทาง 3 กิโลเมตร จะเจอแหล่งชุมชน สั่งเกตป้ายรถเมล์ใหญ่ทางซ้าย ตรงข้ามป้ายรถเมล์จะมีซอยคนเดินเล็ก ๆ ให้คุณเดินเข้าไปในซอยนั้น เดินไปตามทางเรื่อย ๆ จนถึงริมทะเล สุเหร่า Otokoy จะอยู่ด้านซ้ายมือคุณ
2. นั่งรถเมล์ : วิธีการ คือ ให้เดินออกมาจากวังหันหน้าออกนอกถนนแล้วหันซ้าย เดินไปนิดนึงจะเจอป้ายรถเมล์ ให้คุณยืนรอรถเมล์คันที่มีป้ายเขียนว่า Otokoy ให้คุณขึ้นไปเลย (รถเมล์สามารถใช้บัตร Istanbul Card ได้) เมื่อถึงแหล่งชุมชนใหญ่ วิธีสังเกต คือ สองข้างทางมีแต่ห้องแถวติด ๆ กัน ก็ให้คุณลงจากรถ เมื่อคุณลงจากรถจะมีซอยคนเดินเล็ก ๆ อยู่ตรงข้ามป้ายรถเมล์ ให้คุณเดินเข้าไปในซอยนั้น เดินไปตามทางเรื่อย ๆ จนถึงริมทะเล หันซ้ายสุเหร่า Otokoy จะอยู่ทางซ้ายมือคุณ (หากใครไม่รีบลองชิมอาหารแถวนั้นดูได้ พวกอาหารทะเลสด ๆ อร่อยมาก)
สรุปค่าใช้จ่ายของวันนี้ (ไม่รวมค่ากิน)
ค่ารถเมล์ 4 TR
รวม 4 TR (60 บาท)
วันที่สุดท้าย อิสตันบลู >> กรุงเทพฯ
ตามกำหนดเครื่องเราจะออกจากอิสตันบลูตอน 12.30 น. ดังนั้น 09.30 น. เราก็ควรไปถึงสนามบิน โดยวิธีจะไปสนามบินมี 2 วิธี
1. ถ้าใครไม่อยากเหนื่อยและยอมควักเงินจ่ายแพงกว่าวิธีการนั่งรถรางนิดนึง ก็ใช้วิธีนี้ ซึ่งตามโรงแรมต่าง ๆ จะมีรถตู้ไว้คอยรับ-ส่งสนามบิน ซึ่งราคาต่อคนผมจำไม่ได้ว่าเท่าไร (รู้สึกว่าคนละ 10 ยูโร)
2. วิธีการนั่งรถราง คือ เราต้องนั่งรถรางสายสีน้ำเงินไปลงที่สถานี Zeytinburnu แล้วก็เปลี่ยนเป็นขึ้นรถไฟฟ้าสายสีแดงที่สถานีนี้ เพื่อนั่งไปต่ออีก 6 สถานี เพื่อไปลงที่สถานี Havalimani (รูปเครื่องบิน)
09.00 น. ถึงสนามบินอตาเติร์ก
12.30 น. เครื่องบินออกจากตุรกี
สรุปค่าใช้จ่ายของวันนี้ (ไม่รวมค่ากิน)
ค่ารถไฟฟ้าและรถราง 4 TR
รวม 4TR (60 บาท)
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลและเพื่อนสมาชิกทุกคน ที่ช่วยเหลือและแนะนำในข้อมูลที่เป็นประโยชน์ มาก ๆ ครับ
- Turkey (เที่ยวรอบโลก)
- ตุรกี อียิปต์ อิหร่าน (กฤษณา อโศกสิน)
- อิสตันบูล (สำนักพิมพ์วงกลม)
- เที่ยวที่สุดบนโลกใบนี้ (มิสเตอร์พาสปอร์ต)
- เอกสารการท่องเที่ยว คัปปาโดเซีย ปามุคคาเล อิสตันบูล ฉบับภาษาอังกฤษ
- เพื่อนสมาชิกทุกท่านที่ให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ทางหลังไมค์ (คุณกำแพงมหัศจรรย์/dewicetoni/จอแบนแฟนทิ้ง/sabrina/nonny_nontakyy/ป้านี่เอง)
- และขอขอบคุณเพื่อนสมาชิกทุกท่านที่ติดตามอ่านมาจนถึงตอนสุดท้าย หวังว่ารีวิวนี้คงได้เป็นประโยชน์ กับเพื่อนสมาชิกไม่มากก็น้อย ขอบคุณมาก ขอบคุณจริง ๆ สำหรับทุกกำลังใจที่มีให้กันเสมอ
แล้วพบกันใหม่ในโอกาสต่อไปครับ ขอขอบคุณทุกคน ขอขอบคุณทุกความคิดเห็น แม้การทำรีวิว 1 ครั้ง มันจะเหนื่อยสักเพียงไหน แต่ทุกครั้งที่มีคนเข้ามาอ่านและได้ประโยชน์จากมัน ผมก็ดีใจและมีแรงใจจนหายเหนื่อยแล้วครับ