Media Fam Trip เมืองต้องห้าม…พลาด เส้นทาง กทม.-สุราษฎร์ธานี-ชุมพร-กทม.
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ภูมิภาคภาคใต้ได้จัดกิจกรรม "Media Fam Trip เมืองต้องห้าม…พลาด เส้นทางกรุงเทพฯ-สุราษฎร์ธานี-ชุมพร-กรุงเทพฯ" โดยได้พาสื่อมวลชนเดินทางไปยังจังหวัดชุมพรและสุราษฎร์ธานี เพื่อชมสถานที่ท่องเที่ยวและของดีภายใต้โครงการ "เมืองต้องห้าม…พลาด" ซึ่งเป็นแคมเปญของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ต้องการส่งเสริมและกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางมายังภาคใต้มากขึ้น
ทริปของเราเริ่มต้นเดินทางแต่เช้าตรู่ที่อากาศยานดอนเมืองของเวลา 05.45 น. เพียงหนึ่งชั่วโมงเราก็มาถึงท่าอากาศยานชุมพร จุดหมายแรกของการเดินทางเริ่มต้นขึ้นที่ "ชุมชนบ้านบางสน" ตั้งอยู่ในอำเภอปะทิว ที่นี่เราจะได้เยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชน โดยชาวบ้านรวมกลุ่มกันสร้างเครือข่ายการท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเรียนรู้และสัมผัสกับวิถีชีวิตประมงพื้นบ้านอย่างใกล้ชิด นักท่องเที่ยวจะได้ชมทัศนียภาพสองข้างทางของป่าชายเลนที่ยังคงซึ่งความอุดมสมบูรณ์ ตลอดเส้นทางการล่องเรือเราจะเห็นทั้งนกกระยาง บรรดาลิงแสมที่ออกมาโชว์ตัวกระโดดโลดเต้นอยู่ไปมา
เดินทางมุ่งหน้าต่อไปยัง "จุดชมวิวเขาดินสอ" ที่นี่เป็นสถานที่ส่องดูเหยี่ยวอพยพ เราเดินขึ้นไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติเขาดินสอ ระหว่างทางกว่าจะถึงจุดแวะพักตามรายทางก็เล่นเอาเหนื่อยอยู่พอตัว ไต่ถามพี่ที่เฝ้านกเหยี่ยวอยู่ข้างบนได้ความว่า นกเหยี่ยวจะบินมาไกลทั้งจากแถบประเทศรัสเซีย จีน เกาหลี และญี่ปุ่น เพื่อมาหาไออุ่นทางแถบขั้วโลกใต้ เสียดายที่วันนั้นเราไม่เห็นเหยี่ยวบินหลงมาเลยสักตัว แต่ความทึ่งมันอยู่ตรงที่ ขณะที่เราพูดคุยอยู่นั้นมีนกตัวหนึ่งบินผ่านด้วยความเร็วสูง น่ามหัศจรรย์ที่พวกพี่เขาสามารถบอกได้เลยว่า "นั่น !!! นกนางแอ่นใต้" กว่าเราจะเอากล้องขึ้นมาจับภาพ มันก็บินจากเราไปไกลเสียแล้ว ไม่เป็นไร…อย่างน้อยก็มีวิวสวย ๆ ของที่นั่นคอยปลอบใจไม่ให้เราต้องรู้สึกเสียดายมากเกินไป
หลังจากเดินพอให้เหงื่อชุ่มตัว ตอนนี้ก็ถึงเวลาดำน้ำชมความสวยงามของท้องทะเลชุมพรกันแล้ว จุดดำน้ำของเราในวันนี้อยู่แถวบริเวณ "เกาะง่ามใหญ่" และ "เกาะง่ามน้อย" ที่นี่เป็นเกาะแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบดูปะการังน้ำตื้น ถึงแม้ว่าเราจะเก็บภาพความประทับใจใต้น้ำมาไม่ได้ แต่ขอบอกเลยว่าใต้ท้องทะเลชุมพรยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ทะเลน้อยใหญ่และปะการังหลากสีสัน ฝูงปลาที่แหวกว่ายผ่านไปมา ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าพวกมันจะนึกสงสัยว่าเราเป็นปลาเหมือนกับพวกมันบ้างหรือเปล่านะ ? นอกจากแหล่งดูปะการังน้ำตื้นแล้ว บริเวณใกล้เคียงกับเกาะง่ามยังมีเขารูปร่างประหลาด ที่มองเห็นไกล ๆ เหมือนกับฝ่ามือพระพุทธเจ้า ชาวบ้านแถวนั้นเลยเรียกกันว่า "หัตถ์พระพุทธเจ้า" และกลายเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านทั่วไป
เข้าสู่วันที่สองของการเดินทาง หลังจากมาสักการะ "ศาลกรมหลวงชุมพร" แล้วนั้น เรามุ่งหน้าเดินทางมายัง "จุดชมวิวเขามัทรี" ที่นี่นักท่องเที่ยวจะเห็นวิวทะเลของชุมพรแบบ 360 องศา มีร้านกาแฟบ้านถ้ำสิงห์ไว้คอยบริการนักดื่มไม่ให้ง่วงเหงาหาวนอน แนะนำว่าให้ลองมองหาที่นั่งดี ๆ แล้วค่อย ๆ ละเลียดจิบกาแฟในมือ เมื่อสายตาเหลือบเห็นวิวที่อยู่ตรงหน้า พลันยิ่งจะทำให้รสชาติของกาแฟกลมกล่อมขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญที่นี่ยังมีร้านจำหน่ายรังนกแท้ "ตี๋บ้านนก" ที่มีรสชาติหอมหวาน
วันนั้นเราเลยได้ลองนั่นสนทนากันถึงประวัติความเป็นมาของการทำธุรกิจ "ตี๋บ้านนก" โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความเข้าใจผิด ๆ ของคน ที่มองว่ารังนกเป็นอาหารบาปว่า "…ในความเป็นจริงแล้วธรรมชาติของนกนางแอ่นจะสร้างรังขึ้นมาวางและฝักไข่เท่านั้น เมื่อลูกนกโตเต็มวัยและบินออกหากินได้แล้ว เราจึงทำการเก็บเกี่ยวรัง ส่วนในกรณีของ "รังนกเลือด" เป็นรังนกที่ซึมซับแร่ธาตุจากผนังถ้ำเข้ามาไว้ตัวรัง ไม่ใช่เลือดของนกอย่างที่เข้าใจผิดกัน…" วันนั้นเราเลยได้แก้ไขความเข้าใจผิดของเราให้กระจ่างขึ้นมา
หลังจากนั้นเราเดินทางข้ามจังหวัดไปยังสุราษฎร์ธานี เพื่อไปชมพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ แห่งหนึ่งในอำเภอดอนสัก ที่ชื่อว่า "พิพิธภัณฑ์ปลาหิน" พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เรียกได้ว่าเกิดจากความรักในงานแกะสลักของ นายกิตติ สินอุดม อดีตไต้ก๋งเรือ ที่นำก้อนหินมาแกะสลักเป็นปลาชนิดต่าง ๆ ที่จัดเรียงรายตามลักษณะของท้องทะเล สิ่งที่เราสัมผัสได้จากที่นี่คือความรักที่คุณลุงจงใจแกะสลักไปพร้อมกับก้อนหินแต่ละก้อน ที่สำคัญรอยยิ้มดีใจของคุณลุงที่มีต่อพวกเรา เพราะคุณลุงไม่ได้หวังสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เพื่อกำไรหรือรายได้แต่อย่างใด คุณลุงเพียงแต่หวังว่าผลงานเหล่านี้จะเป็นหลักฐานทางภูมิปัญญาที่ส่งต่อให้กับลูกหลานต่อไป
เราเดินทางต่อไปยัง "เกาะแรต" เกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในอำเภอดอนสัก สิ่งที่สะดุดตาเราตั้งแต่แว่บแรกคือสะพานปูนที่ทอดตัวยาวไปยังหมู่บ้าน ชุมชนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน บ้านหลายหลังในเกาะแรตถูกดัดแปลงให้เป็นที่พักแบบโฮมสเตย์ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงไว้ซึ่งวิถีชีวิตที่เรียบง่าย เราใช้เวลาช่วงเย็นทั้งหมดของวันนั้นเดินชมวิวรอบเกาะ เพราะตอนที่เราไปถึงเป็นเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้าพอดี เราจึงได้ทันโบกมือลาแสงสุดท้ายของวันที่เกาะแรตอย่างประทับใจ
เช้าวันสุดท้ายของการเดินทางในทริปนี้ เราเดินทางมายัง "สินมานะฟาร์ม" ฟาร์มสเตย์ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการเพาะพันธุ์หอยแครงและหอยนางรมขนาดใหญ่ ขณะที่เราล่องเรือเราจะได้รับฟังการบรรยายจากวิทยากรที่ให้ความรู้ในเรื่องวิธีการจัดการบริหารฟาร์ม ทำให้เราได้รู้ว่ากว่าที่จะได้กินหอยอร่อย ๆ ตัวโต ๆ นั้น ต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ในการเลี้ยงดูเป็นอย่างมาก เหล่านี้เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ตั้งแต่บรรพบุรุษ เกิดเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน ที่สร้างรายได้คืนกลับไปยังชุมชนไม่น้อยเลยทีเดียว มาครั้งนี้เราได้มีโอกาสลองทานหอยนางรมตัวเป้ง ไม่ต้องห่วงเรื่องรสชาติ เพราะมันทั้งหอม หวาน และฉ่ำไปทั่วทั้งปาก
จุดหมายสุดท้ายของการเดินทางมาทริปนี้ ด้วยการเยี่ยมชมสิ่งมหัศจรรย์ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักของทักท่องเที่ยวมากนัก นั่นคือ "หินพัด" ตั้งอยู่ในอำเภอคีรีรัฐนิคม ซึ่งกว่าที่เราจะได้ชมความมหัศจรรย์ของหินที่ว่า เราก็ต้องใช้รถกระบะฝ่าถนนดินทราย กระเด้งกระดอนเล็กน้อย เพื่อเข้าไปยังจุดหมายปลายทาง และเมื่อเดินทางมาถึงจุดหมาย เราจะเห็นหินขนาดใหญ่คล้ายใบพัดที่วางตั้งอยู่โดยที่ฐานไม่ได้แนบสนิทกัน ทำให้เรานึกอุทานอยู่ในใจว่า "มันตั้งอยู่ได้ยังไงกันนะ ?" แต่ที่เด็ดพอ ๆ กับหินพัดก้อนนี้คงจะเป็นวิวธรรมชาติที่อยู่ล้อมรอบหินพัด เรียกว่าเขียวชอุ่มสุดลูกหูลูกตา ที่ช่วยบำบัดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าตลอดเวลาสองวันของการเดินทางไปจนหมดสิ้น
การมาที่ชุมพรและสุราษฎร์ธานีในครั้งนี้ ทำให้เรารู้ว่ายังมีแหล่งท่องเที่ยวและของดีที่ซ่อนตัวอยู่มากมาย ขณะเดียวกันจิตสำนึกของนักท่องเที่ยวก็เป็นเรื่องจำเป็นที่เราทุกคนควรมี เพราะนั่นจะเป็นการรักษาของดีเหล่านั้นให้อยู่กับเราไปนาน ๆ ใครไม่รู้ว่าวันหยุดจะไปเที่ยวไหน ลองมาเที่ยวที่ชุมพรและสุราษฎร์กันดู แล้วคุณจะหลงรักเหมือนกับที่เราตกหลุมรักที่นี่เข้าอย่างจัง...
