ชวนเที่ยวญี่ปุ่นสีชมพู ในวันที่ซากุระบานกลางโตเกียว

       สิ่งหนึ่งที่ทำให้ใคร ๆ ก็อยากไปเยือนญี่ปุ่น คือ ดอกซากุระ เพราะในหนึ่งปีจะผลิดอกสีหวานแหววเพียงแค่ปีละครั้งเท่านั้น วันนี้เราเลยจะพาเพื่อน ๆ ไปชมความงดงามของดอกซากุระกัน ณ กรุงโตเกียว พร้อมกับมีวิธีแนะนำต่าง ๆ จากบันทึกการเดินทางของ คุณ Princess of Napier สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม มาบอกเล่ากันด้วย เผื่อจะเก็บเอาไว้เป็นข้อมูลในการวางแผนไปชมซากุระด้วยตาตัวเองสักครั้ง อ๊ะ ๆ อย่างไรก็ตามควรปฏิบัติตามกฎระเบียบต่าง ๆ ด้วยนะคะ โดยสามารถชมได้ที่ สถานทูตฝากถึงนักท่องเที่ยวไทย ไปชมซากุระ ญี่ปุ่น ให้ระวังมารยาท 



          สวัสดีวันสงกรานต์ค่ะ ช่วงนี้หลาย ๆ คนคงออกเดินทางท่องเที่ยวหรือไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่กัน ไม่รู้ว่าจะมีใครอยู่เฝ้ากรุงเทพฯ หรืออยู่กับบ้านเหมือนเราบ้างหรือเปล่า วันนี้จะขอหยิบภาพซากุระจากทริปญี่ปุ่นเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มาฝากเพื่อน ๆ ค่ะ ในรีวิวแรกนี้ขอนำภาพซากุระจากโตเกียวมาฝากกันก่อนนะคะ ณ ตอนที่ไปบางแห่งก็เพิ่งเริ่มบานหรือแทบจะยังไม่บาน แต่ก็มีบางสถานที่เหมือนกันที่กำลัง Full Bloom สวยเชียวค่ะ

          Sakura คำนี้มีความหมายลึกซึ้งและผูกพันกับคนญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน ใน 1 ปี เราจะมีโอกาสชมความสวยงามของดอกซากุระได้ราว 1 สัปดาห์เท่านั้นเองค่ะ นี่จึงเป็นเหตุผลที่หลาย ๆ คนเฝ้ารอการผลิบานของดอกซากุระอย่างมีค่า

          ซากุระ คือ ดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิ นอกจากนั้นยังเป็นตัวแทนของชีวิต ความหวังและการรอคอยของคนที่นั่น เมื่อถึงเวลาหลังจากบานสวยงามเต็มที่แล้วดอกซากุระจะร่วงลงพร้อม ๆ กัน มองดูไกล ๆ แทบจะเหมือนกับหิมะที่โปรยปรายลงมาเป็นสายในฤดูหนาวทีเดียว คนญี่ปุ่นหลงรักดอกซากุระมากเพราะปรัชญาความคิดที่แทรกอยู่ในตัวของมันนั่นเอง ซึ่งมีทั้งความหวัง ทั้งการรอคอยเพื่อที่จะเริ่มเติบโตอย่างสวยงาม กระทั่งเบ่งบานสะดุดทุกสายตาไม่ให้ละไปจากความงามของมัน แล้วในที่สุดก็กลับร่วงตกลงมาในเวลาไม่นาน เปรียบได้กับสายลมแห่งชีวิตของคนค่ะ ใครอยากเห็นว่าซากุระที่ญี่ปุ่นจะสวยงามขนาดไหนตามมาชมพร้อม ๆ กันเลยนะคะ

          ถ้าเพื่อน ๆ อ่านรีวิวแล้วชอบหรือคิดว่ามีประโยชน์กับคนที่จะเดินทางไปชมซากุระที่ญี่ปุ่น สามารถกดแชร์หรือกด + เพื่อให้กำลังใจกันได้นะคะ และหากมีคำถามสามารถถามไว้ได้ในกระทู้นี้ หรือแวะไปพูดคุยกันได้ที่ www.facebook.com/PrincessOfNapier ค่ะ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุก ๆ กำลังใจที่แวะมาชมค่ะ

          คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ญี่ปุ่น” เป็นประเทศยอดฮิตที่คนไทยนิยมเดินทางไปเที่ยวมากเป็นอันดับต้น ๆ ยิ่งในปัจจุบันไม่ต้องขอวีซ่าแล้วด้วย ใคร ๆ ก็กล่าวว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เที่ยวง่าย การคมนาคมสะดวกและปลอดภัย ทริปนี้จึงเป็นการพาเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของปี และเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความนิยมมากที่สุดนั่นก็คือช่วงเวลาของฤดูใบไม้ผลิที่ซากุระผลิบานนั่นเองค่ะ

          ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้คนไทยเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ง่ายขึ้นต้องยอมรับเลยว่าเป็นเรื่องของตั๋วเครื่องบิน ซึ่งทุกวันนี้มีสายการบิน Low Cost ราคาประหยัดมาช่วยทำให้ฝันของหลายคนเป็นจริงได้ง่ายขึ้น เพราะหนึ่งในปัจจัยหลักของค่าเดินทาง ก็คือ "ตั๋วเครื่องบิน" งบประมาณของทริปนั้นจะถูกหรือแพงราคาตั๋วเครื่องบินที่เราได้มีผลอย่างมากค่ะ ยิ่งในช่วงซากุระบานแบบนี้นะคะ จากการที่ลองเช็คชกราคาแล้ว สายการบินไทย ไป-กลับ อยู่ที่ 35,000 บาท Japan Airlines 32,000 บาท

          เห็นราคาแล้วหันกลับมาดูสายการบิน Thai AirAsia X อย่างไม่ต้องลังเลใจเลยค่ะ เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็เลยบินได้ไกลขึ้น ข้อดีอีกอย่างนอกจากราคาประหยัด คือ มีเที่ยวบินตรงประจำทุกวันจากทั้งโตเกียวและโอซาก้า ทำให้จัดทริปได้ง่ายขึ้น ไปเที่ยวได้หลายเมืองตามที่ต้องการค่ะ โดยเราเลือกที่จะบินไปลงโตเกียว (นาริตะ) และกลับจากสนามบินคันไซ โอซาก้าค่ะ ทริปนี้เลยเริ่มต้นการเดินทางกันที่สนามบินดอนเมืองนะคะ


          มาอัพเดทตารางบิน กรุงเทพฯ ( DMK) สู่โตเกียว (NRT) ในปัจจุบันกันหน่อยนะคะ

          ตารางบินฤดูร้อน (SUMMER SCHEDULE)  ตั้งแต่ 29 มีนาคม 2558-24 ตุลาคม 2558

          XJ 600 DMK NRT 23.45 08.00 ทุกวัน
          XJ 601 NRT DMK 09.15 13.50 ทุกวัน
          XJ 606 DMK NRT 10.40 19.00 เที่ยวบินใหม่-ทุกวัน
          XJ 607 NRT DMK 20.15 00.55 เที่ยวบินใหม่-ทุกวัน

          ตารางบิน กรุงเทพฯ ( DMK) สู่โอซาก้า (KIX)

          ตารางบินฤดูร้อน (SUMMER SCHEDULE) ตั้งแต่ 29 มีนาคม 2558-24 ตุลาคม 2558

          XJ 610 DMK KIX 15.20 22.40 ทุกวัน
          XJ 611 KIX DMK 00.10 04.00 ทุกวัน

          เห็นน้องฝึกงานน่ารักดีเลยขอถ่ายรูปกับท่ายอดฮิตหน่อย


          เช็กอิน โหลดกระเป๋า ผ่าน ตม. เรียบร้อยก็เข้ามาสู่โซน Duty Free ค่ะ ใครอยากช้อปเบา ๆ ก่อนออกเดินทางก็จัดไป ไฟลท์ XJ 600 Boarding Time 23.05 น. ค่ะ


          ถึงเวลาขึ้นเครื่องแล้ว แอบดู Business Class กันนิด โซนนี้น่าอิจฉาสุด ๆ เพราะว่าที่นั่งชั้นธุรกิจ Business Class มาพร้อมกับพนักพิงที่สามารถปรับเอนนอนได้ คงไม่ต้องบอกเลยว่าจะสบายขนาดไหนกับการได้นอนยาวและเหยียดขาได้สุด ๆ แบบนั้น อยากลองสักครั้งขอเก็บเงินแป๊บ และยังมีบริการอาหาร เครื่องดื่ม เช็กอินและขึ้นเครื่องก่อนใคร พร้อมบริการโหลดสัมภาระลงใต้ท้องเครื่องบินได้สูงสุดถึง 40 กิโลกรัมด้วยค่ะ


          ส่วนเรานั่งโซนนี้ Quiet Zone คือ โซนพิเศษสำหรับผู้โดยสารที่ต้องการความเงียบสงบระหว่างการเดินทาง ซึ่งหากผู้โดยสารต้องการจองก็สามารถเลือกและชำระเงินเพิ่มได้ตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วเครื่องบินเลยค่ะ ที่เลือกโซนนี้เพราะบินดึก ๆ อยากหลับแบบยาว ๆ โซนนี้จะปลอดเด็กเล็กค่ะ ยอมรับเลยแต่ก่อนรักเด็กมากกกกกก แต่หลัง ๆ เวลาขึ้นเครื่องบินแล้วเจอเด็กร้องบ่อย ๆ ความเป็นนางมารร้ายในตัวเริ่มออก เข้าใจแหละนะคะว่าเด็ก ๆ ก็อาจจะอึดอัดหรือปวดหู แต่ก็นะถ้าเลือกได้ขอโซนเงียบ ๆ ดีกว่าค่ะ ซึ่ง Quiet Zone ก็ตอบโจทย์ได้สมใจนอนหลับยาวเลย


          ที่สำคัญก่อนบินไม่ลืมที่จะสั่งอาหารไว้ก่อนล่วงหน้าเห็นมีเมนูน่าทานหลายอย่างเลย บิน 6 ชั่วโมง กลัวหิว ขอหนังท้องตึงไว้ก่อน หนังตาจะได้หย่อน ๆ

          เมนูที่อยากแนะนำ คือ ข้าวผัดกะเพราไก่ไข่เจียว ข้าวหน้าไก่เทริยากิและพุดดิ้งมะพร้าวอ่อนค่ะ โดยเฉพาะพุดดิ้งอร่อย หอมมะพร้าวอร่อยดี เข้าไปสั่งล่วงหน้าออนไลน์ไว้ก่อนนะคะ จะประหยัดกว่า จริง ๆ เมนูอื่นอาจจะอร่อยเหมือนกันแต่สั่งมาชิมแค่ 2 อย่างนี้ค่ะ หน้าตาเหมือนในรูปรสชาติถือว่าผ่าน




          ทานอิ่มก็หลับยาวกันไปจนกัปตันประกาศ Landing สนามบินนานาชาตินาริตะ ประเทศญี่ปุ่นค่ะ มาถึงก่อนกำหนดประมาณ 15 นาที เครื่องบินที่พาเรามาถึงโตเกียวอย่างปลอดภัยค่ะ เป็นเครื่องบินแอร์บัส เอ 330-300 ลำใหม่ลายกัปตัน Park Ji Sung



วิธีการเดินทางมายังสวนชินจูกุ

          โดยสาร JR Keio Odakyu Lines ลงที่สถานี Shinjuku Station ออกทางออกทิศใต้ เดินไปประมาณ 10 นาที

          โดยสาร Marunouchi Subway Line ลงที่สถานี SHINJUKU-GYOEMMAE Station ออกทางออก 1 เดินไป 5 นาที

          โดยสาร Toei Shinjuku Subway Line ลงที่สถานี Shinjuku 3 Chome Station ออกทางออก C1 หรือ C5 เดินไป 5 นาที


          เราเลือกลงที่สถานี SHINJUKU-GYOEMMAE Station เดินใกล้ค่ะ การเลือกมาเดินชมสวนชินจูกุเป็นที่แรกของวันทำให้วันทั้งวันสดชื่นขึ้นมามากทีเดียวค่ะ


          เวลาเปิด-ปิด : 09.00-16.30 น. (เข้าก่อน 16.00 น.)
          วันปิดทำการ : ทุกวันจันทร์ (หากวันจันทร์เป็นวันหยุดราชการจะปิดในวันถัดไปแทน)
      
          วันที่ 29 ธันวาคม-3 มกราคม ไม่ปิดในช่วงใบไม้ผลิปลายเดือนมีนาคม-ปลายเดือนเมษายน และช่วงครึ่งเดือนแรกของพฤศจิกายน ถ้าใครมาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็คงได้พบความสวยงามไปอีกแบบค่ะ


          ความสวยงามยังไม่หมดนะคะ จะพามาชมซากุระที่ต่อไปกันเลยกับ Nakameguro ย่านเล็ก ๆ แต่เต็มไปด้วยความเก๋นี้จะกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตขึ้นมาในทันทีที่ซากุระผลิบาน จุดเด่นสำหรับชมซากุระจะอยู่บริเวณโซนเลียบคลองเมกุโระ (Meguro) ที่มีต้นซากุระเรียงรายตลอดแม่น้ำสายเล็ก ๆ แข่งกันเบ่งบานอย่างสวยงามค่ะ


          จริง ๆ จุดชมซากุระที่แม่น้ำ Nakameguro จะสวยงามมากในช่วงเวลากลางคืนที่มีการจัด Light Up นะคะ แต่ว่างานเริ่มวันที่ 1 เมษายน เราไปก่อนหน้านั้นจึงได้แต่แวะไปชมความสวยงามในช่วงเวลากลางวันค่ะ ที่นี่คนเยอะมาก ๆๆ (จริง ๆ ไม่มีที่ไหนที่ไปชมซากุระแล้วคนไม่เยอะเลย) คนญี่ปุ่นเองก็ตื่นเต้นและรอคอยการบานของดอกซากุระมาตลอดทั้งปีค่ะ



          ที่ Nakameguro เราสามารถมองเห็นซากุระสีชมพูอ่อนบานสะพรั่งได้ตั้งแต่ลงจากรถไฟบนสถานี Naka-Meguro กันเลยทีเดียว และตลอดเวลาที่เดินชมซากุระสองข้างทางก็จะได้ยินสาว ๆ ญี่ปุ่นร้องสุโค่ย ๆ ๆ กันตลอดทางเลยค่ะ



          ในวันที่ซากุระบานเต็มที่แบบนี้งามหยดย้อยจริง ๆ ค่ะ สุโค่ยตามเขาว่านั่นแหละ


          บางที่ก็อดคิดไม่ได้นะคะว่าซากุระว่าเยอะแล้ว แต่คนมาชมซากุระเยอะกว่าไหม ??


          วิธีเดินทางมายัง Nakameguro : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย H-Hibiya Line (สีเทา) ลงสถานี H01-Naka-meguro ค่ะ จริง ๆ ถ้าใครมีเวลาเยอะแถวนี้มีร้านน่านั่งเยอะเชียวค่ะ ซากุระอีกฝั่งฟูฟ่องละอองฟิ่ว ไม่แพ้กันเลย



          มาต่อกันที่ต่อไปเลยนะคะ น่าจะเรียกได้ว่ายอดนิยมอันดับต้น ๆ สำหรับ สวนอุเอะโนะ (Ueno Park) ค่ะ

          สวนอุเอโนะเป็นสวนสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียว เป็นสถานที่ชมซากุระยอดฮิตมาตั้งแต่สมัยเอโดะและถือเป็นจุดชมซากุระยอดฮิตที่มีประชาชนหนาแน่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเลยทีเดียวค่ะ

          อุเอโนะ เป็นย่านที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งวัฒนธรรม เพราะเป็นที่ตั้งของสถานที่ทางวัฒนธรรมอย่างหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์มากมาย อีกทั้งมหาวิทยาลัยศิลปะที่โด่งดังก็ตั้งอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน แต่อีกฝั่งหนึ่งของอุเอโนะนั้น กลับเป็นพื้นที่เขียวชอุ่มของสวนสาธารณะกว้างขวาง ตั้งแต่บริเวณหน้าสถานีอุเอโนะยาวมาจนถึงทะเลสาบชิโนบาสุ สวนยอดนิยมแห่งนี้เป็นสถานที่ชมดอกซากุระที่ขึ้นชื่อและยังมีสวนสัตว์ที่มี แพนด้าอยู่อีกด้วยค่ะ



          ในช่วงที่ดอกซากุระเบ่งบาน สวนแห่งนี้จะเนื่องแน่นไปด้วยผู้คน ขนาดเรามาวันธรรมดาและเป็นวันที่ซากุระเพิ่งเริ่มบานวันแรก ที่สวนแห่งนี้ยังคนแน่นมาก ๆ เลยค่ะ ถ่ายภาคพื้นดินแทบไม่ได้


          วันนี้เป็นวันแรกที่อากาศที่โตเกียวเริ่มอุ่นขึ้น แม้ซากุระจะยังบานน้อยอยู่แต่คนก็มาชมซากุระที่สวนอุเอโนะแห่งนี้เยอะมากค่ะ 


         
          เห็นน้องเหมียวตัวนี้มานอนฮานามิบนต้นซากุระหน้าตาฟินเว่อร์แบบนี้ ต้องเก็บภาพความน่ารักไว้หลายภาพเลยค่ะ หน้าฟินจริงอะไรจริง




          วันนั้นอากาศอุ่นขึ้นอย่างรู้สึกได้จากที่ก่อนหน้านั้นหนาวมากค่ะ ซากุระเลยยังไม่บาน แต่ปีนี้ก็ถือว่าบานเร็วเหมือนกันสำหรับที่โตเกียว


วิธีเดินทาง

          วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟ JR Line สายวงกลม Yamanote Line (สีเขียว), สาย Keihin-Tohoku Line (สายสีฟ้า) ลงสถานี Ueno ออกทาง Park Gate (เข้าสู่กลางสวนสาธารณะ)
         
          วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย G-Ginza Line (สีส้ม), H-Hibiya Line (สีเทา) ลงสถานี G16/H17-Ueno ทางออก 6 (Exit 6)

          ด้านในสวนยังมี Starbucks ที่มีการประดับตกแต่งร้านในธีมซากุระบานด้วยค่ะ



          อีกหนึ่งสถานที่ที่วาดฝันว่าต้องมาเก็บภาพยามซากุระบานให้ได้ คือ Chidorigafuchi koen ค่ะ

          การเดินทางใช้สาย Ginza Line ไป เปลี่ยนที่ Nihombashi (G11) เพื่อเปลี่ยนรถไฟสาย Tozai Line (T10) ไป ลงสถานี Kudanshita (T07) ค่ะ



          วันที่ 27 มีนาคม ซากุระที่ Chidorigafuchi koen ยังบานน้อยอยู่เลยค่ะ แต่วันนี้เป็นวันแรกที่มีการจัด Sakura Illumination ที่นี่เลยดูมีสีสันเป็นพิเศษมีคนมาชมซากุระเยอะเหมือนกันค่ะ


          เห็นภาพที่นี่ทีไรแอบนึกเสียดายไม่ได้ว่าวันที่ซากุระน่าจะบานกว่านี้เราเอาเวลาไปใช้ใน Tokyo Disneyland แต่มาคิดดูอีกทีไม่เสียดายดีกว่าเพราะวันที่ไป Disneyland ฝนตกถ้ามาชมซากุระจริง ๆ ก็อาจจะไม่ฟินเท่าที่ควร (ปลอบใจตัวเองสุด ๆ) สวนแห่งนี้มีชื่อเสียงก็ตรงซากุระที่อยู่ริมน้ำ อีกทั้งยังมีบริการเรือพายให้เช่าพายชมความของซากุระสองฝั่งริมน้ำอีกด้วยค่ะ ถือเป็นไฮไลท์ของที่ Chidorigafuchi koen เลย


          มาชมบรรยากาศตอนที่เริ่มเปิดไฟกันบ้างนะคะ สวยขึ้นเป็นกอง ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าช่วง Full Bloom จะงามขนาดไหน ประหลาดใจ



          เราว่าที่ Chidorigafuchi koen ถือเป็นจุดชมซากุระยามค่ำคืนที่โรแมนติกมากที่สุดจุดหนึ่งเลย ด้วยความที่คนไม่เยอะจนเกินไปยังมีพื้นที่ให้ได้เดินพักผ่อน สูดอากาศสดชื่นกันบ้าง และการประดับไฟยามค่ำคืนก็ทำได้สวยงามค่ะ





          บรรยากาศที่สวยงามขนาดนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ที่นี่จะถูกจัดให้เป็นจุดชมซากุระที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว ดอกซากุระที่ต้องแสงไฟในตอนกลางคืนสวยงามไปอีกแบบ จะว่าไปแล้วแสงไฟช่วยให้ดอกซากุระที่มีกลีบสีขาวอมชมพูอ่อน ๆ ดูเด่นขึ้นกว่าในตอนกลางวันด้วยซ้ำค่ะ



          ขอนำกำหนดการของงาน Sakura Illumination ในแต่ละจุดของโตเกียวปี 2015 มาลงไว้ด้วยนะคะ เผื่อใครมีแพลนจะไปปีหน้าจะได้กะช่วงเวลาคร่าว ๆ ถูกค่ะ เพราะกว่ากำหนดการจะออกก็ค่อนข้างใกล้วัน จะได้มีเวลาเตรียมตัวกันทันค่ะ

          Ueno Park Illumination 2015 : 3/21 to 4/12, 17.00 to 20.00 Admission Free

          Chidorigafuchi Illumination 2015 : 3/27 to 4/5, 18.30 to 22.00 Kudanshita Station, Admission Free

          Sumida Park Illumination 2015 : from 3/28 to 4/5, 18.00 to 21.00 A few steps from Asakusa Station, Admission Free
         
          Meguro River Illumination 2015 : 4/1 to 4/10, until 21.00 Nakameguro Station, Admission Free

          ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์นี้เลยค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ www.japan-guide.com

          สถานที่สุดท้ายที่จะพาไปเยี่ยมชมในรีวิวตอนแรกนี้ คือ ที่วัด Sensoji และริมแม่น้ำสุมิดะค่ะ ถ้าให้นึกถึงสถานที่ท่องเที่ยว 3 แห่งในโตเกียว หนึ่งในนั้นต้องมี วัดเซ็นโซจิ (Sensoji) วัดที่มีโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่เป็นสัญลักษณ์อยู่ในใจแน่ ๆ เลยใช่ไหมคะ หลาย ๆ คนถ้ามาถึงโตเกียวแล้วต้องแวะมาที่วัดเซ็นโซจิหรือที่คนไทยเรียกกันอย่างติดปากว่าวัดอาซากุสะ

          รถสามล้อลากบริการนำเที่ยวรอบ ๆ Asakusa


          ตามตำนานเล่าว่ามีชาวประมงได้พบรูปเคารพเจ้าแม่กวนอิม (Avalokitesvara) ในแม่น้ำสุมิดะที่อยู่ไม่ไกลนักราวปี ค.ศ. 628 ภายหลังจากนั้นก็ได้มีการสร้างวัดขึ้นเพื่อประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมนี้ ซึ่งวัดนี้สร้างเสร็จราวปี ค.ศ. 645 ถือเป็นวัดพุทธที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียวเลยทีเดียวค่ะ


          ผ่านประตู Kaminarimon Gate เข้าไปจะเป็นส่วนของถนน Nakamise Dori ถนนเส้นนี้ยาวไปจนถึงวัดเซ็นโซจิจะเป็นถนนช้อปปิ้ง ขายขนม ของฝาก ของที่ระลึกค่ะ


          ประตูชั้นใน Hozomon Gate กับโคมแดงยักษ์สัญลักษณ์ของวัดนี้ค่ะ


          ช่วงที่ไปวัดนี้ซากุระยังไม่บานนะคะ ไปตั้งแต่วันแรกที่มาถึงโตเกียว และที่วัดนี้ก็คนเยอะมาก ๆ แทบจะตลอดเลยค่ะ

          สิ่งที่ต้องทำ 3 อย่างเมื่อมาที่วัดนี้ ก็คือ อย่างแรกโบกเอาควันธูปเข้าหาตัว เพราะเชื่อว่าเป็นการนำสิ่งที่ดีเป็นมงคลเข้าสู่ชีวิต ข้อสอง ก็คือ ดื่มน้ำ ล้างมือ ล้างหน้า จากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพราะเชื่อว่าเป็นการชำระล้างร่างกายและจิตใจให้สะอาด และอย่างสุดท้าย คือ เซียมซี ทำบุญ 100 เยนค่ะ

วิธีเดินทางมายัง Sensoji Temple

          วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย G-Ginza Line (สีส้ม) ลงสถานี G19-Asakusa ทางออก 1, 3 (Exit 1, 3)

          วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย A-Asakusa Line (สีส้มแดง) ลงสถานี A18-Asakusa ทางออก A4 (Exit A4)

          วิธีที่ 3 : นั่งรถไฟสาย Tobu Skytree Line ลงสถานี TS01-Asakusa (ต้นทาง) ทางออกหลัก


          จากวัดเดินมาที่สวนสาธารณะริมแม่น้ำสุมิดะ (Sumida Park) สวนสาธารณะแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณริมแม่นำสุมิดะอันเป็นแม่น้ำหลักสายใหญ่ของโตเกียว ที่อยู่ไม่ไกลจากวัดเก่าแก่ชื่อดังที่รู้จักกันดีอย่างวัดเซนโซจิ (Sensoji) แห่งย่านอาซากุสะ (Asakusa) ในมโนวาดฝันว่าซากุระเริ่มบานสองข้างทางอย่างสวยงาม แต่ในความเป็นจริง ๆ แทบจะยังไม่บานเลยค่ะ โตเกียววันนั้นอากาศเย็นมากเลยเก็บภาพ Tokyo Skytree และตึกฟองเบียร์อาซาฮีมาแทนค่ะ

          เรือบริการนักท่องเที่ยวในแม่น้ำซูมิดะและออกไปอ่าวโตเกียว เคยอ่านเจอผ่าน ๆ ว่ามาขึ้นเรือไปที่ Odaiba ตรงนี้ได้ด้วยตั้งใจว่าคราวหน้าจะมาลองค่ะ


          ยืนอยู่ริมน้ำลมพัดแรงมาก มือแข็งเลย Tokyo Skytree และ Asahi Beer Tower อีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่น่าจดจำของกรุงโตเกียว

          Asahi เป็นเบียร์ที่มีชื่อเสียงมากในประเทศญี่ปุ่น ตึกนี้มีประติมากรรมรูปฟองเบียร์ที่ออกแบบโดยนักออกแบบชื่อดัง Philippe Starck ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ข้าง ๆ กันด้วยค่ะ


วิธีเดินทางมา Sumida Park นะคะ

          วิธีที่ 1 : นั่งรถไฟใต้ดิน Tokyo Metro สาย G-Ginza Line (สีส้ม) ลงสถานี G19-Asakusa ออกทางออกที่ 4 หรือ 5

          วิธีที่ 2 : นั่งรถไฟใต้ดิน Toei Line สาย A-Asakusa Line (สายสีส้มแดง) ลงสถานี A18-Asakusa ออกทางออกที่ 4 หรือ 5

          ถือว่าจบตอนแรกสำหรับการชมซากุระในโตเกียวนะคะ อาจจะมีทั้งสมหวังและไม่สมหวังสลับกันไป แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและอิ่มเอมกับซากุระมากค่ะ เดี๋ยวตอนหน้าจะพาไปยลโฉมฟูจิซังริมทะเลสาบ Kawaguchiko ด้วยกันมาช่วยกันรอลุ้นนะคะว่าฟูจิซังจะมาปรากฏโฉมให้เห็นกันแบบจุใจหรือจะขี้อายค่ะ สำหรับวันนี้ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Princess of Napier สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก PrincessOfNapier