หลังจากที่ "ประเทศศรีลังกา" ประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียมวีซ่าท่องเที่ยวให้กับนักเดินทางจาก 40 กว่าประเทศทั่วโลก โดยทดลองใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2562 ไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2563 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 6 เดือนนั้น เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็เริ่มวางแผนไปเที่ยวศรีลังกาเพื่อสัมผัสมนตร์เสน่ห์ของประเทศที่มีวิถีชีวิตเรียบง่ายและความเป็นมิตรของผู้คน อีกทั้งยังโดดเด่นเรื่องพระพุทธศาสนา รวมถึงมีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่งดงามมากมาย
เอาเป็นว่าไปทำความรู้จักกับเกาะเล็ก ๆ ในคาบมหาสมุทรอินเดีย แต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดใจใครหลายคนให้ตกหลุมรักอย่างแข็งแกร่ง ผ่านบันทึกการเดินทางของ คุณสมาชิกหมายเลข 2552156 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ไปเที่ยวศรีลังกาและถ่ายทอดความน่าสนใจมาให้ได้ชมเพื่อเป็นน้ำจิ้มกันก่อน
กับราคาเพียง 14,000 บาท
ทริปนี้เราเดินทางกันวันที่ 12-17 กรกฎาคม 2562 เป็นช่วงวันหยุดยาวเข้าพรรษา ลาเพิ่มนิดหน่อยได้ทริป 5 วัน สบาย ๆ เราตัดสินใจจองตั๋วไปกับสายการบิน Thai Lion Air บินตรงจากกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) – โคลอมโบ (ประเทศศรีลังกา) เราบินเวลา 07.20 น. ถึง Colombo เวลาประมาณ 09.20 น. (เวลาในไทยเร็วกว่าประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง)
ทริปนี้เราเลือกเดินทางโดยรถตู้เหมาบริการจากศรีลังกา ด้วยเหตุผลที่ว่าเราต้องการเที่ยวหลายที่ในเวลาที่มีจำกัด การเลือกใช้รถตู้เช่าพร้อมคนขับจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเรา (ทริปนี้เราติดต่อรถจากบริษัทนี้ สำหรับผู้ที่สนใจรถเช่าติดต่อได้ที่ chanaka@thetravellanka.com) ลองไปคุย เราว่าเขาให้ราคาไม่แพงมาก หาร ๆ กันแลกกับการซื้อเวลาก็คุ้ม !!
12 JULY เมื่อถึงสนามบิน รถตู้ก็รอรับเราอยู่ที่นั่น ตอนแรกตั้งใจจะซื้อ SIM Card จากสนามบิน เพราะกลัวว่าจะขาด internet ไม่ได้ ฮ่า ๆ ๆ แต่ความโชคดีที่ทำให้ไม่ซื้อ SIM Card คือรถตู้ที่เช่าเหมา มี Wi-Fi ฟรีให้บริการตลอดเวลาที่นั่งรถ ด้วยความขี้งกของพวกเราทั้งแก๊ง จึงเลือกใช้ Wi-Fi ฟรี จากพี่รถตู้ของเรา !!
(แต่สำหรับคนที่สนใจอยากใช้ internet ส่วนตัว/จะเลือกซื้อ SIM Card ก็ได้ หรือจะเลือก SIM2Fly มาจากไทยก็ได้ แล้วแต่ความสะดวกครับผม)
สถานที่แรกที่เราไปชมเมื่อถึงศรีลังกาแล้ว คือ มัสยิดแดง (Jami UI-Alfar Mosque) พี่รถตู้ขับรถมาจอดไว้ไม่ไกลจากตัวมัสยิดมากนัก พวกเราลงจากรถ แล้วเดินเท้าไปมัสยิด ชมความงามและบรรยากาศของเมืองไปพร้อม ๆ กัน
เมือง Colombo
พระพุทธรูปภายในวัด
หลังจากไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท้องเริ่มหิว ตั้งแต่มาถึงศรีลังกายังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย จึงขอจัดอาหารพื้นเมืองก่อน พี่รถตู้รุ่นใหญ่ใจดีของเราจึงพาไปร้านอาหารตามที่เราต้องการ เราอยากได้ร้านพื้นเมืองแบบที่คนพื้นเมืองนิยมรับประทาน แต่ขอราคาแบบไม่แพงมากนะ เพราะเราเป็นนักท่องเที่ยวชั้นประหยัด หน้าตาของอาหาร ก็จะเน้นพวกผักซะส่วนใหญ่ มีเนื้อสัตว์แค่ชิ้นสองชิ้น แต่ผักนี่เต็มจานกันเลยทีเดียวเชียว !
เมนูที่เห็น ๆ ส่วนมากเป็นผักที่เอามาปรุงรส โดยรวมถ้าให้กินแบบชิม ๆ แค่มื้อสองมื้อพอทนได้ แต่ถ้าให้กินนาน ๆ สงสารฉันเถอะนะ ขอร้องล่ะ !!! กลิ่นเครื่องเทศแรงมากจ้ะพี่จ๋าาาา อิ่มท้องแล้วเราจึงรีบมุ่งหน้าไปยังเมือง Galle และคืนนี้เราจะนอนที่เมือง Unawatuna
เมือง Galle
คลื่นลมค่อนข้างแรง แต่ก็พอให้เดินเล่นคลายร้อนได้ ผู้คนในเมืองนี้จะออกมาเดินเล่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬาที่สนามหญ้าแถว ๆ ป้อมปราการริมทะเล เดินชมบรรยากาศสักพักฟ้าเริ่มมืด เราจึงเข้าไปเดินเล่นโซนในเมืองเก่าสักแป๊บ ก่อนไปหามื้อค่ำและเข้าที่พัก
บรรยากาศของท้องถนนในซอยเล็ก ๆ ของเมือง เป็นถนนที่ปูด้วยอิฐบล็อก กำแพงของอาคารบ้านช่องยังคงมีโทนสีของปูนเก่า ๆ สลับกับการประดับไฟแบบใหม่ ๆ ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
หลังจากดื่มด่ำกับวันแรกของศรีลังกามาพอสมควร มื้อค่ำเริ่มถามหาว่าเราควรแวะกินร้านไหน จึงลองเปิดดูใน internet เปิดแผนที่หาร้านค้าที่ไม่แพงมาก แล้วขับรถตู้ไปตาม map เราทุกคนหิ้วท้องไปด้วยความหิวโหย เพราะอาหารพื้นเมืองมื้อเที่ยงถูกกระเพาะอาหารย่อยไปหมดแล้ว แต่พอไปถึงร้านสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น....ร้านปิด !! เฮ้ย !! ร้านปิด !!! ทำไงละทีนี้ มองไปทางไหนก็มีแต่บ้านคน ไม่มีร้านอาหารเลย พวกเรามาถึงหน้าร้านแล้ว หิ้วท้องกันมา 8 คน จะทำยังไงงงงง
ความหิวเริ่มส่งผลให้เกิดความหงุดหงิดใจ แต่ทันใดนั้นประตูของร้านก็ถูกเปิดออก เจ้าของร้านเห็นรถตู้จึงเข้ามาคุยกับเรา แล้วบอกกับเราว่าวันนี้ร้านปิด แต่ถ้าเราทั้ง 8 คน อยากกินเขาจะเปิดร้านและทำอาหารให้ โอ้โห...ใจดีศรีลังกาสุดฤทธิ์ เราจึงรีบลงจากรถตู้ นั่งรออาหารอย่างใจจดจ่อ ขอข้าวผัดไก่มาเลยละกัน ง่ายดี หน้าตาประมาณนี้แหละครับ
เราแวะถ่ายรูปกับหินที่เป็นเสมือนจุดเช็กอินของที่นี่ ถ่ายเสร็จเดินเล่นรับลมชั่วครู่ก็ขับรถต่อไปยัง Coconut Hill ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เช่นกัน จุดทางเดินเข้าไปยัง Coconut Hill เราสามารถปักหมุด GPS แถว ๆ โรงแรม Mirissa Seastar แล้วเดินเข้าไปได้ หรือถ้าคนขับรถตู้เรารู้จักสถานที่อยู่แล้วก็สบาย ๆ ชิล ๆ
ถ่ายรูปกันเรียบร้อย ฝนก็เริ่มเทลงมา เทลงมา เทลงมา ให้เสื้อตัวเปียก เสื้อตัวเปียก เสื้อตัวเปียก เฮ้ย !! ครับ ฝนตกละครับ เราต้องรีบวิ่งขึ้นรถตู้ ก่อนจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เพราะเปียกไปมากกว่านี้ เรากำลังมุ่งหน้าไปเมือง Ella เพื่อจะไปน้ำตก Diyaluma Waterfalls ระหว่างทาง ฝนก็ตก ๆ หยุด ๆ ให้เราหวั่นใจเล่น ๆ ว่าจะต้องเดินขึ้นเขาไปดูน้ำตกแบบเปียก ๆ กันหรือเปล่า แต่แล้วโชคก็เข้าข้างเราครับ พอมาถึงจุดเริ่มเดินขึ้นน้ำตกฝนก็หยุดพอดี (น้ำตกแห่งนี้ต้องจ้างไกด์พาเดินขึ้นไป ซึ่งโดยส่วนตัวเราว่าราคาแอบแรงไปหน่อย น้ำตกก็สวยแค่มุมเดียว เอ๊ย !! สวยครับ ไปดูเอาเอง)
Diyaluma Waterfalls
เป็นไงล่ะ ที่ใส่มะม่วง no พลาสติกนะ no no !!
กราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล แล้วรีบเดินลงก่อนมืด (อ้อ พกไฟฉายไปด้วยก็ดีนะ เพราะทางเดินลงค่อนข้างชัน และถ้าไปชมพระอาทิตย์ตกที่นั่น ตอนเดินลงก็ต้องมืดแล้ว นึกภาพออกปะ ? ฮ่า ๆ)
คืนนี้เรานอนที่เมือง Ella ในเมืองค่อนข้างมีร้านค้าและร้านอาหารที่เปิดให้บริการกลางคืนเยอะ แสงสีมีมากพอสมควร
14 JULY ตื่นเช้าแล้วรีบไปดูสะพานหิน สะพานที่สร้างมาโดยไม่ใช้เหล็กเป็นโครงสร้าง สร้างในสมัยที่อังกฤษเข้ามาล่าอาณานิคม สะพานที่ใช้ขนชาศรีลังกา ชาที่หลายคนยกให้เป็นชาอีกที่หนึ่งที่จัดว่าดีติดอันดับต้น ๆ ของโลก การเข้าไปยังสะพานเราจะเดินหรือนั่งรถตุ๊กตุ๊กก็ได้ ถ้าเดินเข้าไปจากถนนใหญ่ก็ไม่ไกลมาก แต่เราเลือกนั่งรถเข้าไป แล้วขากลับค่อยเดินออกมา ที่ต้องนั่งรถเพราะอยากไปให้ทันดูสะพานตอนที่รถไฟวิ่งผ่านในช่วงเช้า จำเวลาไม่ได้ น่าจะประมาณ 7 โมงมั้ง เช็กเวลาอีกทีนะ ถ้าใครจะไปดู
ตุ๊กตุ๊กจอดส่งเรา เดินอีกนิดเดียวก็จะถึงสะพาน
ถึงเวลานัดหมายรถตู้มารับเราที่ถนนใหญ่แล้วไปยังสถานีรถไฟ Ella Railway Station เพื่อซื้อตั๋วขึ้นรถไฟที่เขาว่า เป็นรถไฟสายหนึ่งที่สวยติดอันดับโลก วิวข้างทางจะผ่านเขาและไร่ชาสุดลูกหูลูกตา เรานั่งรถไฟมุ่งหน้าไปยังเมือง Ambewela Railway ซึ่งรถไฟจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง
เมือง KANDY : วันที่ 15 JULY
ระหว่างทางที่เราเดินไปวัดพระเขี้ยวแก้ว
ถนนหน้าวัดพระเขี้ยวแก้วจะมีตำรวจขี่ม้ามายืนอยู่ตรงสุดถนน ดู ๆ แล้วโคตรเท่ไปเลย ฮ่า ๆ ๆ
ประตูทางเข้าวัดพระเขี้ยวแก้วจะมีการตรวจสแกนกระเป๋าและสิ่งของต่าง ๆ แยกทางเข้าชาย-หญิง เมื่อเดินเข้าไปในวัดแล้วจะมีช่องให้ซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปในวัด เวลาในการกราบพระเขี้ยวแก้วจะมีเวลากำหนด ลองเช็กตารางดูก่อนได้ เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการเข้ามากราบ และที่สำคัญคือคนเยอะมาก ๆ แน่นมาก ๆ เฉพาะคนศรีลังกาเองก็แน่นวัดมากแล้ว
นี่คือช่องซื้อตั๋ว
อิ่มแล้วขอตัวไปนอนก่อน พรุ่งนี้เช้าจะพาขึ้นเขา Lion Rock หุบเขาคนบาปแห่งศรีลังกา !!
ต่อกันที่เมือง SIGIRIYA : วันที่ 16 JULY
เดินมาเรื่อย ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามขั้นบันได เราจะพบกับกรงเล็บใหญ่ ๆ บนเท้าของสิงห์ที่วางตระหง่าน 2 ข้างทางบันได Lion Rock ชวนให้จนลุกซู่ หากที่นี่ยังสมบูรณ์คงเป็นสถานที่ที่สวยน่าดูเลยทีเดียว
แต่อยู่มาวันหนึ่งพี่ชายยกทัพมาจากอินเดีย เจ้าชายผู้น้องตัดสินใจลงไปต่อสู้กับพี่ชายตนเอง ขณะที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นช้างของเจ้าชายผู้น้องเกิดตกใจและวิ่งหนี ทหารต่างพากันเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าชายผู้น้องยอมแพ้ จึงพากันยกทัพกลับเข้าเมือง ฝ่ายเจ้าชายผู้น้องจึงแพ้สงครามและฆ่าตัวตายที่ Lion Rock
เรื่องเล่าต่อ ๆ กันมา จนเวลาผ่านไปคนจึงเรียกที่นี่ว่า "หุบเขาคนบาป" เพราะเจ้าชายผู้น้องฆ่าพ่อตนเองสร้างเมืองใหม่ แย่งบัลลังก์จากพี่ และฆ่าตัวตายในที่แห่งนี้....ครับ พอหอมปากหอคอกับประวัติคร่าว ๆ ที่รู้มาตอนไปเที่ยวก็ทำให้เราเที่ยวสนุกขึ้น เมื่อเดินไปแล้วจินตนาการไปว่าเคยมีอะไรเกิดขึ้นกับที่นี่บ้าง
จบทริปศรีลังกาไว้เท่านี้ จริง ๆ ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ยังมีอีกหลายที่ หลายเมืองที่น่าสนใจ มี National park ทางตอนใต้ของศรีลังกาที่ให้เราไปส่องเสือดาว มีน้ำตกและเส้น Trekking อีกหลายแห่งที่เราอยากไปเดิน และใช่ครับ มีอีกหลายวัดที่เราไม่ได้กล่าวถึงที่คุณ ๆ คงรู้อยู่แล้ว
จบทริปนี้คงเปิดมุมมองการท่องเที่ยวศรีลังกาในมุมใหม่ ๆ บ้าง เพราะศรีลังกาไม่ได้มีแค่วัด
ค่าใช้จ่าย
- ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ประมาณ 6,256 บาท
- ค่าอาหาร ตกมื้อละ 40-60 บาท แล้วแต่ร้านที่เราเลือก
- ค่าที่พักคืนละไม่กี่ร้อย
- ค่าเช่ารถตู้สำหรับ 8 คน พร้อมคนขับ รวม 6 วัน ราคา 13,120 บาท หาร 8 คน ตกคนละ 1,640 บาท ตลอดทริป ถือว่าโคตรคุ้ม
- ค่า VISA ประมาณ 1,106 บาท
- ส่วนที่เหลืออื่น ๆ ยังประหยัดได้มากกว่านี้อีก ถ้าอยากเที่ยวแบบราคาถูก ๆ เน้นสบายกระเป๋า ก็สามารถทำได้น้อยกว่า 14,000 บาท
หวังว่าทุกคนจะสนุกกับทริปเข้าพรรษาที่ศรีลังกานะครับผม แล้วเจอกันใหม่ทริปต่อไป สวัสดีจ้า
ฝากติดตามรีวิวเก่า ๆ ใน Pantip ของเราด้วยนะ กดเข้าไปดูได้เลย
Contact me : IG : camppisoot






