ตะลอนเที่ยวศรีลังกา ประเทศที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจให้คนตกหลุมรัก

          พาเที่ยวศรีลังกา ประเทศที่แอบซ่อนความสวยงามและความมหัศจรรย์เอาไว้เพียบ ทั้งเส้นทางรถไฟอันโด่งดัง ไร่ชาสีเขียวตระการตา หรือพระราชวังสุดลึกลับบนยอดเขา

          หลังจากที่ "ประเทศศรีลังกา" ประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียมวีซ่าท่องเที่ยวให้กับนักเดินทางจาก 40 กว่าประเทศทั่วโลก โดยทดลองใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2562 ไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2563 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 6 เดือนนั้น เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนก็เริ่มวางแผนไปเที่ยวศรีลังกาเพื่อสัมผัสมนตร์เสน่ห์ของประเทศที่มีวิถีชีวิตเรียบง่ายและความเป็นมิตรของผู้คน อีกทั้งยังโดดเด่นเรื่องพระพุทธศาสนา รวมถึงมีสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่งดงามมากมาย

          เอาเป็นว่าไปทำความรู้จักกับเกาะเล็ก ๆ ในคาบมหาสมุทรอินเดีย แต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดใจใครหลายคนให้ตกหลุมรักอย่างแข็งแกร่ง ผ่านบันทึกการเดินทางของ คุณสมาชิกหมายเลข 2552156 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ไปเที่ยวศรีลังกาและถ่ายทอดความน่าสนใจมาให้ได้ชมเพื่อเป็นน้ำจิ้มกันก่อน

ศรีลังกา หยุดยาวเข้าพรรษาจะพาไปลุย
กับราคาเพียง 14,000 บาท
          ศรีลังกา ประเทศที่หลายคนต่างสงสัยกันว่าไปทำไม ? … ไปศรีลังกาทำไม ? ไปไหว้พระเหรอ ? หรือไปแสวงบุญ ? ไปทำไรอะ ? … ครับ !! ศรีลังกาเป็นเมืองพุทธครับ แต่ก็ใช่ว่าจะมีแค่วัดวาอารามเท่านั้น ที่จริงแล้วศรีลังกายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่มากกว่าวัด !!

          ทริปนี้เราเดินทางกันวันที่ 12-17 กรกฎาคม 2562 เป็นช่วงวันหยุดยาวเข้าพรรษา ลาเพิ่มนิดหน่อยได้ทริป 5 วัน สบาย ๆ เราตัดสินใจจองตั๋วไปกับสายการบิน Thai Lion Air บินตรงจากกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) – โคลอมโบ (ประเทศศรีลังกา) เราบินเวลา 07.20 น. ถึง Colombo เวลาประมาณ 09.20 น. (เวลาในไทยเร็วกว่าประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง)

          ทริปนี้เราเลือกเดินทางโดยรถตู้เหมาบริการจากศรีลังกา ด้วยเหตุผลที่ว่าเราต้องการเที่ยวหลายที่ในเวลาที่มีจำกัด การเลือกใช้รถตู้เช่าพร้อมคนขับจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเรา (ทริปนี้เราติดต่อรถจากบริษัทนี้ สำหรับผู้ที่สนใจรถเช่าติดต่อได้ที่ chanaka@thetravellanka.com) ลองไปคุย เราว่าเขาให้ราคาไม่แพงมาก หาร ๆ กันแลกกับการซื้อเวลาก็คุ้ม !!

          12 JULY เมื่อถึงสนามบิน รถตู้ก็รอรับเราอยู่ที่นั่น ตอนแรกตั้งใจจะซื้อ SIM Card จากสนามบิน เพราะกลัวว่าจะขาด internet ไม่ได้ ฮ่า ๆ ๆ แต่ความโชคดีที่ทำให้ไม่ซื้อ SIM Card คือรถตู้ที่เช่าเหมา มี Wi-Fi ฟรีให้บริการตลอดเวลาที่นั่งรถ ด้วยความขี้งกของพวกเราทั้งแก๊ง จึงเลือกใช้ Wi-Fi ฟรี จากพี่รถตู้ของเรา !!

          (แต่สำหรับคนที่สนใจอยากใช้ internet ส่วนตัว/จะเลือกซื้อ SIM Card ก็ได้ หรือจะเลือก SIM2Fly มาจากไทยก็ได้ แล้วแต่ความสะดวกครับผม)

          ส่วนเรื่องการแลกเงินบางคนก็แลกจากสนามบินไปเลย บางคนก็เข้าไปแลกในเมือง ส่วนทีมเราเลือกเข้าไปแลกในเมืองครับ (แต่ข้อเสียของการแลกในเมือง คือแต่ละร้านจะให้เรตราคาไม่เท่ากัน ถ้าเราไปเองแบบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เตรียมโดนขูดรีดได้เลยครับ เพราะเราแลกมา 3 ร้าน ให้ราคาไม่เท่ากันสักร้าน !! จึงคงต้องอ้อนวอนให้พี่คนขับรถตู้เดินลงไปแลกด้วยกัน จึงได้ราคาที่คุ้มค่าขึ้นมาหน่อย)

          สถานที่แรกที่เราไปชมเมื่อถึงศรีลังกาแล้ว คือ มัสยิดแดง (Jami UI-Alfar Mosque) พี่รถตู้ขับรถมาจอดไว้ไม่ไกลจากตัวมัสยิดมากนัก พวกเราลงจากรถ แล้วเดินเท้าไปมัสยิด ชมความงามและบรรยากาศของเมืองไปพร้อม ๆ กัน

เมือง Colombo

          บรรยากาศของท้องถนน และรถตุ๊กตุ๊กเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด

          ภาพตลาดที่ยังคงกลิ่นไอของความวุ่นวายในช่วงสาย ๆ ของวัน ผู้คนเดินสวนกันไป-มา บรรยากาศของแม่ค้าพ่อค้าต่างพากันทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นกับศรีลังกาในมุมมองใหม่ ๆ

          คนศรีลังกาชอบกินน้ำมะพร้าว จะเห็นได้จากรถเข็นขายน้ำมะพร้าวเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด มะพร้าวสีส้ม ดื่มแล้วสดชื่น

          ดูจากสีหน้าของลูกค้าร้านนี้ได้ สดชื่นจริงเชียว เดินมาสักพักก็จะเห็นมัสยิดสีแดงอยู่ริมถนน สีโดดเด่นกว่าอาคารอื่น ๆ ที่อยู่ข้าง ๆ

          มัสยิดแห่งนี้สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1909 อยู่ในย่านเมืองเก่า Pettah ปัจจุบันมัสยิดแห่งนี้ยังคงใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอยู่ เราสามารถถ่ายรูปได้จากภายนอกของมัสยิดเท่านั้น

          ภาพจากด้านข้างของมัสยิด ผู้คนเดินไป-มาในช่วงเวลาประมาณเที่ยงของวัน

          เราใช้เวลากับที่นี่ไม่นานมากนักเพราะนอกจากถ่ายรูปแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้เราทำ ฮ่า ๆ ๆ เราไปต่อกันที่วัดคงคาราม มาถึงศรีลังกาทั้งทียังไงก็ต้องเข้าวัดไหว้พระขอพรกันบ้าง

          บรรยากาศภายนอกของวัด ค่อนข้างสงบ ร่มรื่น และสะอาดมาก ๆ

พระพุทธรูปภายในวัด

          ตรงจุดนี้จะมีพระสงฆ์คอยผูกข้อมือให้เรา เราสามารถต่อแถวเข้าไปกราบท่านได้

          หลังจากไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท้องเริ่มหิว ตั้งแต่มาถึงศรีลังกายังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย จึงขอจัดอาหารพื้นเมืองก่อน พี่รถตู้รุ่นใหญ่ใจดีของเราจึงพาไปร้านอาหารตามที่เราต้องการ เราอยากได้ร้านพื้นเมืองแบบที่คนพื้นเมืองนิยมรับประทาน แต่ขอราคาแบบไม่แพงมากนะ เพราะเราเป็นนักท่องเที่ยวชั้นประหยัด หน้าตาของอาหาร ก็จะเน้นพวกผักซะส่วนใหญ่ มีเนื้อสัตว์แค่ชิ้นสองชิ้น แต่ผักนี่เต็มจานกันเลยทีเดียวเชียว !

          เมนูที่เห็น ๆ ส่วนมากเป็นผักที่เอามาปรุงรส โดยรวมถ้าให้กินแบบชิม ๆ แค่มื้อสองมื้อพอทนได้ แต่ถ้าให้กินนาน ๆ สงสารฉันเถอะนะ ขอร้องล่ะ !!! กลิ่นเครื่องเทศแรงมากจ้ะพี่จ๋าาาา อิ่มท้องแล้วเราจึงรีบมุ่งหน้าไปยังเมือง Galle และคืนนี้เราจะนอนที่เมือง Unawatuna

เมือง Galle

          ช่วงเย็น ๆ เราก็จะถึงเมือง Galle เป็นเมืองท่า เมืองโบราณริมทะเล โดยรวมเราชอบบรรยากาศของเมืองมาก ๆ เพราะยังคงความคลาสสิก ตึกรามบ้านช่อง อาคารต่าง ๆ ยังมีความโรเมนติก และมีกลิ่นไอของยุคล่าอาณานิคม

          บรรยากาศของเมืองยามเย็นก่อนตะวันจะลาลับขอบฟ้า

          คลื่นลมค่อนข้างแรง แต่ก็พอให้เดินเล่นคลายร้อนได้ ผู้คนในเมืองนี้จะออกมาเดินเล่น ออกกำลังกาย เล่นกีฬาที่สนามหญ้าแถว ๆ ป้อมปราการริมทะเล เดินชมบรรยากาศสักพักฟ้าเริ่มมืด เราจึงเข้าไปเดินเล่นโซนในเมืองเก่าสักแป๊บ ก่อนไปหามื้อค่ำและเข้าที่พัก

          บรรยากาศของท้องถนนในซอยเล็ก ๆ ของเมือง เป็นถนนที่ปูด้วยอิฐบล็อก กำแพงของอาคารบ้านช่องยังคงมีโทนสีของปูนเก่า ๆ สลับกับการประดับไฟแบบใหม่ ๆ ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

          ในเมือง Galle ยามค่ำคืนพอจะมีร้านค้าขายของที่ระลึกอยู่บ้าง มีร้านอาหารที่น่าลิ้มลองหลายร้าน ซุกซ่อนอยู่ทุกซอกซอยของเมืองเก่าแห่งนี้

          หลังจากดื่มด่ำกับวันแรกของศรีลังกามาพอสมควร มื้อค่ำเริ่มถามหาว่าเราควรแวะกินร้านไหน จึงลองเปิดดูใน internet เปิดแผนที่หาร้านค้าที่ไม่แพงมาก แล้วขับรถตู้ไปตาม map เราทุกคนหิ้วท้องไปด้วยความหิวโหย เพราะอาหารพื้นเมืองมื้อเที่ยงถูกกระเพาะอาหารย่อยไปหมดแล้ว แต่พอไปถึงร้านสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น....ร้านปิด !! เฮ้ย !! ร้านปิด !!! ทำไงละทีนี้ มองไปทางไหนก็มีแต่บ้านคน ไม่มีร้านอาหารเลย พวกเรามาถึงหน้าร้านแล้ว หิ้วท้องกันมา 8 คน จะทำยังไงงงงง

         ความหิวเริ่มส่งผลให้เกิดความหงุดหงิดใจ แต่ทันใดนั้นประตูของร้านก็ถูกเปิดออก เจ้าของร้านเห็นรถตู้จึงเข้ามาคุยกับเรา แล้วบอกกับเราว่าวันนี้ร้านปิด แต่ถ้าเราทั้ง 8 คน อยากกินเขาจะเปิดร้านและทำอาหารให้ โอ้โห...ใจดีศรีลังกาสุดฤทธิ์ เราจึงรีบลงจากรถตู้ นั่งรออาหารอย่างใจจดจ่อ ขอข้าวผัดไก่มาเลยละกัน ง่ายดี หน้าตาประมาณนี้แหละครับ

          มื้อนี้กินได้ ฮ่า ๆ ถึงแม้ข้าวผัดจะดูชุ่มน้ำมันไปหน่อย แต่ก็ดีกว่ามื้อเที่ยงเห็น ๆ หลังจากอิ่มแล้วก็เริ่มคอแห้ง ก่อนเข้าที่พัก (เราเลือกพักที่บ้านเช่า 1 หลัง สำหรับ 8 คน) เราขอให้พี่รถตู้แวะจอดซื้อเครื่องดื่มกันสักนิดหน่อย ร้านขายเบียร์ เหล้า ของศรีลังกาจะหน้าตาประมาณนี้

          เราเลือก LION BEER จัดไป !! ซื้อเบียร์เสร็จแล้วเข้าบ้านพัก อาบน้ำ จิบเบียร์ และเข้านอน ตอนเช้าต้องรีบตื่นเพื่อไปเที่ยวต่อ...ฝันดีพวก
          รุ่งเช้าของวันที่ 13 JULY เราตื่นมาพร้อมกับเสียงฝนตก ทุกคนลุกจากที่นอน แปรงฟัน อาบน้ำ และรอรถตู้มารับ เช้าวันนี้ เราจะไปชมทะเลที่หาด Unawatuna และวิวต้นมะพร้าว Coconut Hill รถตู้มารับเราที่บ้านเช่าและมุ่งหน้าไปยังหาด Unawatuna ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านพักนัก

          บรรยากาศของทะเลในตอนเช้าค่อนข้างเงียบ สงบ ชวนให้เราเดินเล่นเพลิน ๆ ได้ แต่น่าเสียดายตรงที่ครึ้มฝนหน่อย ๆ

          เราแวะถ่ายรูปกับหินที่เป็นเสมือนจุดเช็กอินของที่นี่ ถ่ายเสร็จเดินเล่นรับลมชั่วครู่ก็ขับรถต่อไปยัง Coconut Hill ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เช่นกัน จุดทางเดินเข้าไปยัง Coconut Hill เราสามารถปักหมุด GPS แถว ๆ โรงแรม Mirissa Seastar แล้วเดินเข้าไปได้ หรือถ้าคนขับรถตู้เรารู้จักสถานที่อยู่แล้วก็สบาย ๆ ชิล ๆ

          เป็นโดมต้นมะพร้าวตัดกับน้ำทะเลและคลื่นลมแรง ๆ ของศรีลังกา

          ถ่ายรูปกันเรียบร้อย ฝนก็เริ่มเทลงมา เทลงมา เทลงมา ให้เสื้อตัวเปียก เสื้อตัวเปียก เสื้อตัวเปียก เฮ้ย !! ครับ ฝนตกละครับ เราต้องรีบวิ่งขึ้นรถตู้ ก่อนจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เพราะเปียกไปมากกว่านี้ เรากำลังมุ่งหน้าไปเมือง Ella เพื่อจะไปน้ำตก Diyaluma Waterfalls ระหว่างทาง ฝนก็ตก ๆ หยุด ๆ ให้เราหวั่นใจเล่น ๆ ว่าจะต้องเดินขึ้นเขาไปดูน้ำตกแบบเปียก ๆ กันหรือเปล่า แต่แล้วโชคก็เข้าข้างเราครับ พอมาถึงจุดเริ่มเดินขึ้นน้ำตกฝนก็หยุดพอดี (น้ำตกแห่งนี้ต้องจ้างไกด์พาเดินขึ้นไป ซึ่งโดยส่วนตัวเราว่าราคาแอบแรงไปหน่อย น้ำตกก็สวยแค่มุมเดียว เอ๊ย !! สวยครับ ไปดูเอาเอง)

          Diyaluma Waterfalls

          นี่คือด้านบนของน้ำตก ถ้ามองจากมุมไกล ๆ จะสวยกว่านี้มากครับ เพราะน้ำตกเป็นน้ำตกสูงที่ตกลงสู่หน้าผา และสามารถมองได้จากบนถนนที่เราขับรถผ่าน ชาวศรีลังกาก็มาเล่นน้ำกันสบายใจ

          วิวจากน้ำตกและหน้าผาสูง

          เสร็จจากที่นี่ก็เดินลงและนั่งรถต่อไปยัง Little Adam's Peak เพื่อขึ้นเขาไปชมพระอาทิตย์ตกและไร่ชาแห่งเมือง Ella ระหว่างทางที่ขับรถตู้ผ่านก็จะมีร้านค้าของชาวศรีลังกา ขายขนม ผลไม้ เลยแวะอุดหนุนสักหน่อย

          หิวมากครับ ขอกินกล้วยหน่อยเถอะ !!

          ระหว่างทางไป  Little Adam's Peak เราจะผ่านน้ำตกที่สามารถแวะถ่ายรูปเล่นได้ เมืองต่าง ๆ ยังคงอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างลงตัว เขียวไปทั้งป่า เย็นตาไปทั้งเมือง และจะมีร้านค้าขายข้าวโพด มะม่วงริมทาง

          เป็นไงล่ะ ที่ใส่มะม่วง no พลาสติกนะ no no !!

          ช่วงนี้เป็นวันหยุดของชาวศรีลังกาเหมือนกัน เพราะเป็นวันพระใหญ่ ชาวศรีลังกาก็เที่ยวเหมือนกับเราเที่ยวนั่นแหละ

          มาเป็นรถ ๆ เสร็จสรรพรีบไปต่อกันที่  Little Adam's Peak ที่นี่เราต้องเดินขึ้น ระยะทางเท่าไรจำไม่ได้ แต่เดินนานพอสมควร ชันพอสมควร แต่ก็สมควรไป

          วิวเขาก่อนขึ้น Little Adam's Peak และไร่ชาระหว่างทาง

          บนยอดเขาจะมีพระพุทธรูป

          กราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล แล้วรีบเดินลงก่อนมืด (อ้อ พกไฟฉายไปด้วยก็ดีนะ เพราะทางเดินลงค่อนข้างชัน และถ้าไปชมพระอาทิตย์ตกที่นั่น ตอนเดินลงก็ต้องมืดแล้ว นึกภาพออกปะ ? ฮ่า ๆ)

          คืนนี้เรานอนที่เมือง Ella ในเมืองค่อนข้างมีร้านค้าและร้านอาหารที่เปิดให้บริการกลางคืนเยอะ แสงสีมีมากพอสมควร

          ร้านอาหารจริง ๆ มีหลายร้าน เต็มถนนเลย และเมนูอาหารของเราในคืนนี้ก็ไม่พ้น....ข้าวผัด พร้อมดับกระหายด้วย Lion Beer นุ่มคอ

          อิ่มแล้วเข้าที่พัก อย่าลืมชาร์จแบตเตอรี่กล้อง แบตเตอรี่มือถือให้เรียบร้อย และเอาปลั๊ก Universal ไปด้วยนะ เพราะศรีลังกาใช้ปลั๊กไฟไม่เหมือนบ้านเรา ฝันดี เจอกันตอนเช้า

          14 JULY ตื่นเช้าแล้วรีบไปดูสะพานหิน สะพานที่สร้างมาโดยไม่ใช้เหล็กเป็นโครงสร้าง สร้างในสมัยที่อังกฤษเข้ามาล่าอาณานิคม สะพานที่ใช้ขนชาศรีลังกา ชาที่หลายคนยกให้เป็นชาอีกที่หนึ่งที่จัดว่าดีติดอันดับต้น ๆ ของโลก การเข้าไปยังสะพานเราจะเดินหรือนั่งรถตุ๊กตุ๊กก็ได้ ถ้าเดินเข้าไปจากถนนใหญ่ก็ไม่ไกลมาก แต่เราเลือกนั่งรถเข้าไป แล้วขากลับค่อยเดินออกมา ที่ต้องนั่งรถเพราะอยากไปให้ทันดูสะพานตอนที่รถไฟวิ่งผ่านในช่วงเช้า จำเวลาไม่ได้ น่าจะประมาณ 7 โมงมั้ง เช็กเวลาอีกทีนะ ถ้าใครจะไปดู

         ตุ๊กตุ๊กจอดส่งเรา เดินอีกนิดเดียวก็จะถึงสะพาน

          และนี่คือสะพาน Nine Arches Bridge

          ภาพนี้ถ่ายจากกล้องฟิล์ม ดูเก่า น่าค้นหา ฮ่า ๆ

          บรรยากาศของสะพานในมุมต่าง ๆ

          มาทันดูรถไฟขับผ่านพอดีเลย ถ่ายรูปกับอุโมงค์ก็สวยนะ ลองเดินเข้าไปดู

          ถึงเวลานัดหมายรถตู้มารับเราที่ถนนใหญ่แล้วไปยังสถานีรถไฟ Ella Railway Station เพื่อซื้อตั๋วขึ้นรถไฟที่เขาว่า เป็นรถไฟสายหนึ่งที่สวยติดอันดับโลก วิวข้างทางจะผ่านเขาและไร่ชาสุดลูกหูลูกตา เรานั่งรถไฟมุ่งหน้าไปยังเมือง Ambewela Railway ซึ่งรถไฟจะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง

          สถานีรถไฟ Ella Railway Station

          บรรยากาศภายในรถไฟและวิวดอกไม้ข้างทาง นั่งรถไปสักพักวิวระหว่างทางก็จะเริ่มสวยขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านเมืองต่าง ๆ ผ่านทิวเขาและธรรมชาติ จนถึง....ประมาณนี้

          ตามสถานีก็พอมีของขายบ้าง

          นี่คืออะไรไม่รู้อร่อยดี ฮ่า ๆ

          นี่คือผลไม้อะไรไม่รู้ ก็อร่อยดี

          นี่วิวระหว่างทาง ชาวบ้านส่วนมากทำการเกษตร

          เราลงรถไฟที่สถานี  Ambewela Railway แวะเที่ยวที่เมือง Nuwara Eliya บรรยากาศของเมืองนี้ ดีมาก ๆ สวย เขียว ชอบ โอ๊ยดี !

          ร้านขายผลไม้ ดอกไม้ข้างทาง

          สวยมาก ดอกไม้อะไรไม่รู้เอามารวม ๆ กัน เออเข้ากันดี แล้วเราก็ไปต่อที่น้ำตก ระหว่างทางจะเจอน้ำตกเยอะมากแล้วแต่จะเลือกแวะ วันนี้เราแวะน้ำตก Ramboda ซึ่งต้องเข้าไปชมจากในรีสอร์ตแห่งหนึ่ง คนขับรถตู้แนะนำและพาเข้าไป

          แล้วเราก็รีบเดินทางไปยังเมือง Kandy เมืองที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วอันศักดิ์สิทธิ์ และเมืองที่เป็นเมืองหลวงเก่าของศรีลังกา คืนนี้เราจะนอนกันที่เมือง Kandy พรุ่งนี้เช้าจะเที่ยวเมืองนี้กัน ฝันดีครับ...

เมือง KANDY : วันที่ 15 JULY

          ตื่นเช้ามาล้างหน้าแปรงฟัน ทำจิตใจให้ผ่องใส ในวันนี้เราจะไปกราบพระเขี้ยวแก้วกัน (พระเขี้ยวแก้ว คือ ฟันของพระพุทธเจ้า) เราเดินจากที่พัก Hostel ของเรา ชื่อ Elephant Shed - Tourist Hostel ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัดพระเขี้ยวแก้วมากนักและราคาไม่แพง สภาพของโรงแรม ก็เป็นเตียงสองชั้นแบบ Hostel ทั่ว ๆ ไป

          ระหว่างทางที่เราเดินไปวัดพระเขี้ยวแก้ว

          บรรยากาศของเมืองในยามเช้าตรู่ ผู้คนกำลังออกมาทำกิจวัตรประจำวัน เมืองกำลังจะเริ่มคึกคักขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ชาวศรีลังกาส่วนใหญ่นิยมใส่เสื้อสีขาวเข้าวัด

          ก่อนเข้าวัดเราเลือกหาร้านอาหารอร่อย ๆ ในยามเช้า จึงเข้าร้านนี้ อยู่ที่ถนนแถว ๆ หน้าวัดพอดี เดิน ๆ ดูมีหลายร้านเหมือนกัน

          หน้าตาของมื้อเช้า

          ถนนหน้าวัดพระเขี้ยวแก้วจะมีตำรวจขี่ม้ามายืนอยู่ตรงสุดถนน ดู ๆ แล้วโคตรเท่ไปเลย ฮ่า ๆ ๆ

          ก่อนเข้าวัดจะมีร้านขายดอกไม้ เราซื้อจากตรงนี้ไปเลย

          ที่สำคัญเน้น ๆ ***การแต่งกายเข้าวัดต้องสุภาพมาก ๆ ใส่กางเกงขายาว เสื้อสุภาพห้ามแขนสั้น ห้ามแขนกุด กางเกงยีนส์แบบขาด ๆ ก็ไม่ได้นะ แนะนำให้เตรียมชุดมาดี ๆ ถ้าใครชอบใส่ขาสั้นก็เอาผ้านุ่งติดกระเป๋ามาด้วยก่อนเข้าวัดก็ได้ อย่ามาหวังเช่าที่หน้าวัดเพราะราคาแพงมาก และเขาจะเลือกขายให้เราแทนที่จะให้เช่า !

          ประตูทางเข้าวัดพระเขี้ยวแก้วจะมีการตรวจสแกนกระเป๋าและสิ่งของต่าง ๆ แยกทางเข้าชาย-หญิง เมื่อเดินเข้าไปในวัดแล้วจะมีช่องให้ซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปในวัด เวลาในการกราบพระเขี้ยวแก้วจะมีเวลากำหนด ลองเช็กตารางดูก่อนได้ เพื่อไม่ให้เสียเวลาในการเข้ามากราบ และที่สำคัญคือคนเยอะมาก ๆ แน่นมาก ๆ เฉพาะคนศรีลังกาเองก็แน่นวัดมากแล้ว

          นี่คือช่องซื้อตั๋ว

          ถ้าเป็นคนไทยจะลดราคาจาก 1,500 รูปีศรีลังกา เหลือเพียง 1,000 รูปีศรีลังกา

          ดูได้จากแถบสีน้ำเงินมุมล่างซ้ายของตู้จำหน่ายตั๋ว ราคาของเราจะถูกกว่าเพียงแค่แสดง Passport Thailand ซื้อตั๋วเสร็จก็เดินเข้าชมในวัด เราจะเดินเองก็ได้ หรือจะให้ไกด์นำเดินก็ได้ แล้วค่อยให้ทิปเขาทีหลัง บรรยากาศในวัดดูขลังมาก ๆ เห็นถึงศรัทธาอันแรงกล้าของชาวพุทธศรีลังกาที่มีต่อศาสนาและพระเขี้ยวแก้ว คนมารอเข้ากราบพระเขี้ยวแก้วกันเยอะมาก ๆ บางมุมของวัดก็มีคนมานั่งสมาธิสงบจิตใจกันเป็นมุม ๆ ไป เห็นแล้วรู้สึกสงบใจไปด้วยเลย

          บรรยากาศโดยรอบของบริเวณวัด

          ภาพเขียนตรงอุโมงค์ทางเข้าในวัด

          คนที่เข้ามานั่งสมาธิในวัดจะนั่งอย่างสงบเป็นมุม ๆ ของตนเอง

          เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ให้กราบพระเขี้ยวแก้ว ในวัดจะมีการทำพิธี มีคนเป่าปี่ ตีกลอง พิธีต่าง ๆ ชวนให้ขนลุก สัมผัสได้ถึงศรัทธาที่มีต่อพุทธศาสนา

          ผู้คนมารอต่อคิวกันแน่น เบียดเสียดตั้งแต่ชั้นสองลงมาถึงชั้นหนึ่ง

          หลังจากได้เข้าไปกราบเป็นที่เรียบร้อยก็เดินออกจากวัดเพื่อไปดูความคึกคักในตลาดของเมือง Kandy

          และนี่คือสีสันของ Kandy

          ตลาดเริ่มคึกคัก คนออกมาจับจ่ายใช้สอย ใครอยากได้ของฝากแบบพื้นเมือง ราคาไม่แพง แนะนำให้หาซื้อจากตลาดที่นี่เลย ของถูก

          รถจอดกันเต็มถนน ... นี่คือลอตเตอรี่ของศรีลังกา

          เดินชมเมืองไปเรื่อย ๆ

          ตลาดสดขายผลไม้เยอะมาก ๆ มองไปทางไหนสีสันสดใสไปหมด

          กล้วย กล้วย กล้วย

          ผักก็มีมากหลาย

          เที่ยวชมเมืองกันพอสมควรก็เก็บกระเป๋าแล้วมุ่งหน้าไปยังเมือง Sigiriya ไปชมพระอาทิตย์ตกที่ Pidurangala Rock เดินขึ้นเขาเพื่อไปชมพระอาทิตย์ตก และที่สำคัญพกไฟฉายไปด้วย !! เพราะต้องเดินขึ้นเขา เข้าป่า

          นี่คือบรรยากาศระหว่างทางเดิน ด้านบนจะมีพระพุทธรูปหิน วิวบน Pidurangala Rock จะมองเห็น Lion Rock อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างสวยงาม ประมาณนี้

          ปิดท้ายด้วยแสงยามเย็นแบบนี้

          ชมพระอาทิตย์ตกเสร็จแล้วก็เข้าที่พัก คืนนี้เรานอนที่พักชื่อ Kashyapa Kingdom View ประทับใจที่นี่ ห้องพักดี คนใจดี และมีวิว Rion Rock แบบใกล้ชิดเลยทีเดียว ส่วนนี้คือมื้อดึกของที่พัก ที่เขาเตรียมไว้ให้ (ไม่ฟรีแต่ไม่แพง คุ้มสุด ๆ)

          อิ่มแล้วขอตัวไปนอนก่อน พรุ่งนี้เช้าจะพาขึ้นเขา Lion Rock หุบเขาคนบาปแห่งศรีลังกา !!

ต่อกันที่เมือง SIGIRIYA : วันที่ 16 JULY

         ตื่นเช้า อาบน้ำแต่งตัวและกินอาหารเช้าที่ที่พักเตรียมไว้

          มีไข่ดาว แป้งคล้าย ๆ โรตีเป็นแผ่น ๆ แล้วแป้งที่ห่อไส้อะไรสักอย่าง แตงโม และชา-กาแฟร้อน ๆ นั่งกินพร้อมกับดูวิว Lion rock ที่ดูไม่ไกลจากที่พักของเรามาก กินมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยก็มุ่งหน้าไปที่ Lion Rock หุบเขาคนบาป ที่นี่ค่าเข้าชมค่อนข้างแพงมาก ๆ เมื่อเทียบกับที่อื่น ๆ ที่เคยไปมาจากประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก ค่าเข้า Lion Rock ราคาอยู่ที่ 30 USD (ประมาณ 900 บาทไทย ณ เวลานั้น) เข้าได้แค่วันเดียว ครั้งเดียว กับโบราณสถานแห่งนี้ ส่วนตัวเรามองว่าแพงไปนิด แต่ไหน ๆ ก็บินลัดฟ้ามาถึงนี่ ก็ยินดีจ่าย ๆ และเข้าไปชมสักที

          พื้นที่ค่อนข้างใหญ่และอลังการพอสมควร ถ้าเราลองจินตนาการถึงครั้งในอดีต หากที่นี่ยังสมบูรณ์อยู่คงสวยไม่น้อย ทางเดินเข้าไปจะมีแอ่งน้ำและซากอิฐหินดินทรายมากมาย เห็นร่องรอยของการมีอยู่ของเมืองแห่งนี้

          Lion Rock ถูกสร้างขึ้นในทำเลที่ถือว่าเป็นต่อกับการทำสงคราม เพราะยากที่จะให้ศัตรูเข้าถึงตัว ด้วยทำเลที่สูงชันและสร้างเมืองบนหินผา จึงทำให้จินตนาการว่าเมื่อก่อนเขาสร้างกันได้อย่างไร

          ยิ่งไปช้าคนก็จะยิ่งเยอะขึ้นเรื่อย ๆ บวกกับแดดที่ร้อนขึ้นด้วยเช่นกัน ฉะนั้นหากแพลนจะเที่ยวที่นี่แนะนำให้ไปเช้า ๆ เลยพี่ ! นอกจากความอลังการของ Lion Rock ที่ดึงดูดให้คนมาดู ก็ยังมีภาพเขียนนางอัปสรที่ยังคงความสดใหม่ทะลุกาลเวลา ที่คนต้องต่อแถวเข้าชมกันนานแสนนาน เสียดายที่เขาไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพมา ถ้าอยากเห็นคงต้องไปดูเองที่ศรีลังกาแล้วล่ะ

          เดินมาเรื่อย ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามขั้นบันได เราจะพบกับกรงเล็บใหญ่ ๆ บนเท้าของสิงห์ที่วางตระหง่าน 2 ข้างทางบันได Lion Rock ชวนให้จนลุกซู่ หากที่นี่ยังสมบูรณ์คงเป็นสถานที่ที่สวยน่าดูเลยทีเดียว

          ส่วนตำนานของ Lion Rock มีอยู่ว่าย้อนไปในอดีต กล่าวถึงเจ้าเมืองผู้มีลูกชาย 2 คน ลูกชายคนน้องกลัวว่าบัลลังก์จะตกเป็นของพี่ชาย จึงฆ่าพ่อตัวเองทิ้ง เพราะต้องการยึดอำนาจ พี่ชายรู้ข่าวจึงตัดสินใจลี้ภัยหนีไปอยู่อินเดีย เจ้าชายคนน้องรู้ว่าพี่ชายหนีไปได้ หวั่นใจว่าสักวันพี่ชายต้องกลับมารบเพื่อทวงบัลลังก์จากตน เจ้าชายผู้น้องจึงสร้าง Lion Rock อยู่บนยอดเขาอันสูงชัน ณ ที่แห่งนี้ มีทางขึ้นเป็นเท้าสิงห์ มีหัวสิงห์ มีระบบจัดการน้ำที่ดี Lion Rock จึงเป็นทำเลที่ดี ยากที่คู่ต่อสู้จะเข้าถึงที่ตั้งของตน ทุกครั้งของการทำสงคราม ไม่มีผู้ใดสามารถตี Lion Rock ได้

          แต่อยู่มาวันหนึ่งพี่ชายยกทัพมาจากอินเดีย เจ้าชายผู้น้องตัดสินใจลงไปต่อสู้กับพี่ชายตนเอง ขณะที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นช้างของเจ้าชายผู้น้องเกิดตกใจและวิ่งหนี ทหารต่างพากันเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าชายผู้น้องยอมแพ้ จึงพากันยกทัพกลับเข้าเมือง ฝ่ายเจ้าชายผู้น้องจึงแพ้สงครามและฆ่าตัวตายที่ Lion Rock
         
          เรื่องเล่าต่อ ๆ กันมา จนเวลาผ่านไปคนจึงเรียกที่นี่ว่า "หุบเขาคนบาป" เพราะเจ้าชายผู้น้องฆ่าพ่อตนเองสร้างเมืองใหม่ แย่งบัลลังก์จากพี่ และฆ่าตัวตายในที่แห่งนี้....ครับ พอหอมปากหอคอกับประวัติคร่าว ๆ ที่รู้มาตอนไปเที่ยวก็ทำให้เราเที่ยวสนุกขึ้น เมื่อเดินไปแล้วจินตนาการไปว่าเคยมีอะไรเกิดขึ้นกับที่นี่บ้าง

          บรรยากาศด้านบนประมาณนี้ ร้อนมาก ๆ พกหมวกมาด้วยนะ ! เดินชมกันเสร็จถึงทีเดินลงก็ยังคงเห็นคนต่อแถวเยอะแยะเหมือนเดิม

          ที่ Sigiriya ยังมีวัดอีกหลายวัดที่คนนิยมไปกัน แต่เราไม่ได้ไป เสร็จจาก Lion Rock เราก็มุ่งหน้าเข้าเมืองหลวง Colombo เข้าที่พักที่ Colombo วันนี้เป็นวันหยุดของประเทศศรีลังกา เนื่องจากเป็นวันพระใหญ่ คนจะเข้าวัดไปสวดมนต์ ร้านค้าต่าง ๆ พากันปิดหนีเราไปหมด เลยต้องเงียบเหงา เปล่าเปลี่ยวที่ศรีลังกา บรรยากาศของเมือง Colombo ในยามค่ำคืน ก่อนรุ่งเช้าจะบินกลับไทย

          มีพระพุทธรูปอยู่ตรงทางแยกที่ถนน มีผู้คนแวะเวียนมาไหว้ตลอด ส่วนคืนเงียบเหงาคืนนี้ เราจึงเลือกร้านอาหารเล็ก ๆ ริมถนน เพื่อลิ้มรสชาติความอร่อยตามแบบฉบับของศรีลังกาอีกครั้ง

          ร้านเล็ก ๆ ของคนศรีลังกาที่เต็มไปด้วยมิตรภาพและรอยยิ้มจากการต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเรา ประทับใจมาก ๆ และวันนี้ก็กินข้าวผัดไก่อีกตามเคย ฮ่า ๆ

          เดินเล่นซื้อขนมและของฝากเล็กน้อยก่อนเข้าที่พัก และเตรียมตัวบินกลับไทยในรุ่งเช้าของวันที่ 17 JULY

          จบทริปศรีลังกาไว้เท่านี้ จริง ๆ ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ยังมีอีกหลายที่ หลายเมืองที่น่าสนใจ มี National park ทางตอนใต้ของศรีลังกาที่ให้เราไปส่องเสือดาว มีน้ำตกและเส้น Trekking อีกหลายแห่งที่เราอยากไปเดิน และใช่ครับ มีอีกหลายวัดที่เราไม่ได้กล่าวถึงที่คุณ ๆ คงรู้อยู่แล้ว

          จบทริปนี้คงเปิดมุมมองการท่องเที่ยวศรีลังกาในมุมใหม่ ๆ บ้าง เพราะศรีลังกาไม่ได้มีแค่วัด

ค่าใช้จ่าย
 

  • ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ประมาณ 6,256 บาท
  • ค่าอาหาร ตกมื้อละ 40-60 บาท แล้วแต่ร้านที่เราเลือก
  • ค่าที่พักคืนละไม่กี่ร้อย
  • ค่าเช่ารถตู้สำหรับ 8 คน พร้อมคนขับ รวม 6 วัน ราคา 13,120 บาท หาร 8 คน ตกคนละ 1,640 บาท ตลอดทริป ถือว่าโคตรคุ้ม
  • ค่า VISA ประมาณ 1,106 บาท
  • ส่วนที่เหลืออื่น ๆ ยังประหยัดได้มากกว่านี้อีก ถ้าอยากเที่ยวแบบราคาถูก ๆ เน้นสบายกระเป๋า ก็สามารถทำได้น้อยกว่า 14,000 บาท

    หวังว่าทุกคนจะสนุกกับทริปเข้าพรรษาที่ศรีลังกานะครับผม แล้วเจอกันใหม่ทริปต่อไป สวัสดีจ้า

    ฝากติดตามรีวิวเก่า ๆ ใน Pantip ของเราด้วยนะ กดเข้าไปดูได้เลย

    Contact me : IG : camppisoot
เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ตะลอนเที่ยวศรีลังกา ประเทศที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจให้คนตกหลุมรัก อัปเดตล่าสุด 5 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 14:55:13 38,107 อ่าน
TOP
x close