ตะลอนเที่ยวโออิตะ จังหวัดที่ได้ฉายาว่าเป็นเกียวโตน้อยแห่งคิวชู มีกิจกรรมเจ๋ง ๆ อาหารอร่อย ๆ และสถานที่ท่องเที่ยวสวย ๆ มากมายให้ไปสัมผัส
โออิตะ (Oita) จังหวัดที่มีชื่อเสียงในเรื่องออนเซ็น ตั้งอยู่ในภูมิภาคคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะใช้เป็นเมืองทางผ่านไปยังสถานที่ท่องเที่ยวฮอตฮิตอย่างเมืองเบปปุ (Beppu) หรือยูฟูอิน (Yufuin) แต่จริง ๆ แล้วกลับมีเสน่ห์ซุกซ่อนเอาไว้เพียบ ทั้งธรรมชาติ อาหาร และวิถีชีวิตที่แสนจะเรียบง่ายของผู้คน วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวญี่ปุ่นและทำความรู้จักโออิตะในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งกระปุกดอทคอมได้มีโอกาสเดินทางไปสัมผัสกับดินแดนมากด้วยมนตร์เสน่ห์แห่งนี้ เลยจะชวนเพื่อน ๆ ตามเราไปเที่ยวโออิตะกันค่ะ
1. ทักทายโลมาที่ Tsukumi Dolphin Island
เริ่มด้วยการไปชมความน่ารักของโลมากันที่ Tsukumi Dolphin Island ตั้งอยู่ริมทะเลที่เมืองสึคุมิ ที่นี่เพื่อน ๆ จะเพลิดเพลินกับการแสดงโชว์โลมาสุดน่ารัก โดยมีกิจกรรมสนุก ๆ ให้ร่วมทำเพียบ เช่น ชมโชว์โลมาแสนรู้ ดูพวกเขากระโดดสูงขึ้นไปในอากาศ รอบการแสดง 11.00 น., 13.00 น. และ 15.00 น. ประมาณ 10 นาที ในแต่ละครั้ง, ปั่นเรือให้อาหารโลมากลางทะเล, ว่ายน้ำกับโลมา (เฉพาะหน้าร้อน) หรือถ่ายรูปใกล้ชิดและสัมผัสความแสนรู้ของโลมาอย่างใกล้ชิด ^^ ทั้งจับมือทักทายหรือหอมแก้ม (อยู่ในการดูแลของผู้ฝึกสอน) เป็นต้น
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ภายใน Dolphin Island ยังมีร้านอาหารที่เสิร์ฟฮิวกะด้ง (ข้าวหน้าปลามากุโระ อาหารขึ้นชื่อสุด ๆ ของที่นี่) สด ๆ จากทะเลอีกด้วย หรือใครจะซื้อของที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับบ้านด้วยก็ไม่ว่ากันค่ะ
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-16.00 น. (เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ปิดปรับปรุง)
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ ราคา 870 เยน (ตั้งแต่มีนาคม 2019 ผู้ใหญ่ ราคา 1,000 เยน), เด็กนักเรียนระดับประถม/มัธยมต้น) ราคา 540 เยน และเด็กอายุ 4 ขวบขึ้นไป ราคา 430 เยน
เว็บไซต์ : www.tsukumi-irukajima.jp
การเดินทาง : 15 นาที จากสถานี JR Tsukumi โดยรสบัสสาย Youra Line
2. ใส่ชุดกิโมโนเดินเที่ยวเมืองซามูไรที่คิซึกิ
ตามรอยประวัติศาสตร์ซามูไร เที่ยวเมืองคิซึกิ เกียวโตน้อยแห่งคิวชู อีกหนึ่งแลนด์มาร์กของโออิตะที่ต้องไปเยือน อ๊ะ ๆ จะใส่ชุดธรรมดาเดินเที่ยวก็ดูธรรมดาไปนิด ก็แหม...ไปเยือนเมืองซามูไรทั้งทีก็ต้องแปลงโฉมให้เข้ากับยุคสมัยใส่ชุดกิโมโนสวย ๆ เดินชมเมืองกันค่ะ
ก่อนอื่นเราขอแนะนำให้เช่าชุดกิโมโนที่ร้าน Warakuan (วาระกุอัน) เพราะมีชุดกิโมโนกว่า 300 ชุด ทั้งของผู้หญิง-ผู้ชาย ให้ได้เลือกตามความชอบ พร้อมกับมีบริการแต่งตัวให้เสร็จสรรพ … ดีงามมาก ๆ
ค่าบริการ : 3,000 เยน (ค่าเช่า/บริการใส่ชุด)
เวลาเปิด-ปิด : 10.00-16.00 น. (รับจองก่อนเวลา 14.00 น. และให้บริการกับผู้ที่จองก่อน โดยสามารถจองได้ที่อีเมล kimono@kit-suki.com ใช้ภาษาญี่ปุ่นหรือภาษาอังกฤษ)
แต่งตัวสวย-หล่อเรียบร้อยก็ได้เวลาเดินเล่นชมเมืองคิซึกิกันแล้ว ตลอดสองข้างทางเราจะเห็นร่องรอยความเจริญของเมืองเก่าแห่งนี้ ที่ผสมผสานกับความสมัยใหม่ได้อย่างลงตัว ผ่านย่านการค้าที่ยังมีกลิ่นอายสมัยเอโดะให้ได้ชมกัน เอาล่ะ...เดินไปเรื่อย ๆ ก็ถึงจุดไฮไลต์ที่ต้องไปแชะภาพเป็นที่ระลึก นั่นก็คือ "เนินสุยะโนะซากะ" ซึ่งเป็นทางขึ้นไปเยือนบ้านซามูไรอันเก่าแก่
เดินขึ้นเนินไปเรื่อย ๆ สุดทางบันไดแล้วเลี้ยวขวา ก็จะพบกับถนนสายเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ ค่อย ๆ เลาะข้างทางมาเรื่อย ๆ จะพบกับ "บ้านตระกูลโอฮาระ" ซึ่งเป็นตระกูลซามูไรชั้นนำในสมัยเอโดะ เป็นบ้านสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่ข้างในยังมีข้าวของเครื่องใช้ในสมัยก่อนให้ได้เรียนรู้กันด้วย นอกจากนี้ยังมีสวนแบบญี่ปุ่นให้ได้เก็บภาพเป็นที่ระลึก แถมภายในบริเวณบ้านยังสามารถมองเห็นวิวของเมืองคิซึกิได้ด้วย
ตรงข้ามกับเนินสุยะโนะซากะจะเป็น "เนินชิโอยะโนะสะคะ" สามารถเดินขึ้นไปชมวิวเมืองได้เช่นกัน
จากนั้นแวะไปเยือน "ปราสาทคิซึกึ" (Kitsuki Castle Town) ปราสาทที่เล็กที่สุดในญี่ปุ่น แต่ถึงจะมีขนาดเล็กแต่ความงดงามไม่ได้เล็กตามเลย ที่สำคัญสามารถชมวิวทะเลได้จากหอคอยของปราสาทอีกด้วยนะ
หมายเหตุ : มีสถานที่ท่องเที่ยวสาธารณะทางวัฒนธรรม ยกเว้นค่าเข้าชมสำหรับผู้ที่สวมใส่ชุดกิโมโนด้วยนะ
เว็บไซต์ : www.kit-suki.com
วิธีการเดินทางไปเมืองคิซึกิ
++ ท่ารถเบปปุคิตาฮามะ : โดยรถบัสประมาณ 50 นาที ถึงท่ารถเมืองคิซึกิ
++ สถานี JR เบปปุ : โดยรถไฟด่วนประมาณ 15 นาที หรือโดยรถไฟจอดทุกสถานี ประมาณ 27 นาที ถึงสถานี JR คิซึกิ จากนั้นโดยสารรถบัสประมาณ 10 นาที ถึงท่ารถเมืองคิซึกิ
++ สถานี JR ฮากะตา : โดยรถไฟด่วนประมาณ 2 ชั่วโมง ถึงสถานี JR คิซึกิ จากนั้นโดยสารรถบัสประมาณ 10 นาที ถึงท่ารถเมืองคิซึกิ
++ สถานี JR โอกุระ : โดยรถไฟด่วนประมาณ 1 ชั่วโมง ถึงสถานี JR คิซึกิ จากนั้นโดยสารรถบัสประมาณ 10 นาที ถึงท่ารถเมืองคิซึกิ
++ สถานบินฟุกุโอกะ : โดยรถยนต์ประมาณ 2 ชั่วโมง 15 นาที ถึงสถานี JR คิสึกิ ถึงท่ารถเมืองคิซึกิ
++ ท่าเรือชิโมโนเซกิ : โดยรถยนต์ประมาณ 2 ชั่วโมง ถึงท่ารถเมืองคิซึกิ
++ สนามบินโออิตะ : โดยรถบัสประมาณ 30 นาที ถึงท่ารถเมืองคิซึกิ
3. กินอาหารเจที่ Seigetu-an
ไปจังหวัดโออิตะไม่ควรพลาดลิ้มลองอาหารเจที่การันตรีโดยมิชลินสตาร์ 1 ดาว สัญลักษณ์แห่งความอร่อย ณ ร้าน Seigetu-an ภายในเมืองปราสาทเก่าของวัดนิกายเซน เมืองอูซุกิ (Usuki) เป็นร้านอาหารเก่าแก่ที่เสิร์ฟเฉพาะอาหารเจเท่านั้น เพราะอาหารทั้งหมดผ่านฝีมือการปรุงจากพระที่อยู่ในวัด โดยผักที่นำมาทำอาหารก็คือผักจากท้องถิ่นตามฤดูกาลนั้น ๆ
มื้อนี้เราได้ลิ้มลองอาหารเจ Shokado Set อาหารทุกเมนูถูกประณีตลงบนจานขนาดกะทัดรัด ค่อย ๆ ละเลียดแต่ละเมนู จิบชาร้อนพลาง ๆ แหม...ช่างเข้ากันดี โดยเฉพาะเมนู "เต้าหู้งา" บอกเลยว่ามันละมุนมากกกกกก … อิ่มแล้วก็ไปเดินเล่นรอบ ๆ เมืองกันได้นะคะ เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่สวยงามและเงียบสงบไม่น้อย
เวลาเปิด-ปิด : 10.00-16.00 น. ปิดทุกวันอังคาร-พุธ
เว็บไซต์ : kenshouzi.jp/seigetsu
การเดินทาง : จาก Usuki Station เดินไปตาม Nioza Street ประมาณ 10 นาที
4. ไปศาลเจ้าอุสะ ขอพรเทพเจ้า
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดโออิตะที่เราอยากแนะนำให้ไปเที่ยวชมกัน นั่นก็คือ "ศาลเจ้าอุสะ" (Usa Shrine) ตั้งอยู่ในเมืองอุสะ โดยศาลเจ้าแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 725 ที่นี่ถือเป็นศาลเจ้าหลักของศาลเจ้าฮาจิมัง (เทพแห่งสงคราม) กว่า 40,000 แห่งทั่วญี่ปุ่น ทุก ๆ ปีจะมีผู้คนจากทั่วสารทิศเดินทางมาเคารพเทพเจ้า ณ ที่แห่งนี้
ทันทีที่เราไปถึงจะเห็นประตูโทริอิอันสูงใหญ่ ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่น มีพื้นที่กว้างขวาง และรายล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ มองไปทางไหนก็มีแต่สีเขียวสบายตา เอ้า ! สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดกันก่อน เพราะจากประตูโทริอิก็ต้องเดินเข้าไปสักพักกว่าจะถึงตัวศาลเจ้า ที่ปัจจุบันตัววิหารหลักเป็นสมบัติแห่งชาติ
การเคารพเทพเจ้าที่ศาลเจ้าอุสะ คือ โยนเหรียญลงในกล่องไม้ ก้มหัว 2 ครั้ง ตบมือ 4 ครั้ง ก้มหัวอีก 1 ครั้ง แล้วอธิษฐาน ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย และหลังจากไหว้เรียบร้อยแล้วใกล้ ๆ กันจะเป็นที่ตั้งของต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่มีอายุกว่า 800 ปี เราขอแนะนำให้คุณสัมผัสเพื่อรับพลังอันยิ่งใหญ่กลับบ้านกันด้วย
เกร็ดความรู้ : ก่อนเข้าศาลเจ้าจะมีประตูโทริอิ ให้โค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพต่อเทพเจ้า และเดินเลียบเข้าไปทางซ้ายหรือทางขวา ไม่ควรเดินตรงกลาง เพราะทางเข้าประตูตรงกลางเป็นทางเดินของเทพเจ้า จากนั้นก่อนเข้าไปในศาลเจ้าควรล้างมือและบ้วนปากเพื่อชำระล้างร่างกายและจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์
ค่าเข้าชม : ฟรี
เวลาเปิด-ปิด : 05.30-21.00 น. (ฤดูหนาวเปิด 06.00 น.)
การเดินทาง : จากสถานี JR Usa โดยรสบัส 8 นาที
5. นอนฟาร์มสเตย์ ใช้ชีวิตแบบคนญี่ปุ่น อิ่มอร่อยกับอาหารท้องถิ่น
ปิดท้ายทริปด้วยการไปนอนฟาร์มสเตย์ของคนญี่ปุ่น ซึบซับความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างเต็มที่ พร้อมสัมผัสกับวิถีชีวิตอันน่ารักกันที่เมืองอาจิมุ (Ajimu) โดยสามารถสอบถามและติดต่อจองที่พักได้ที่ www.ajimu-gt.jp ซึ่งเป็นกลุ่มสมาคมการท่องเที่ยวสีเขียวอาจิมุ (NPO Ajimumachi Green Tourism Society) คอยดูแลการท่องเที่ยวเชิงเกษตรของญี่ปุ่น พร้อมกับจัดว่านักท่องเที่ยวจะได้ไปพักที่บ้านหลังไหน แต่ถ้าเคยไปพักมาแล้วก็สามารถสอบถามกับทางเจ้าของบ้านเองได้เลยค่ะ
และในครั้งนี้เราได้พักกันที่บ้าน คุณป้าไซโต้ ทามากะ ทันทีที่ไปถึงคุณป้าออกมาต้อนรับเราด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา ถึงแม้ว่าเราจะสื่อสารกันด้วยท่าทางหรือภาษามือบ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาในการพูดคุยเลยล่ะ
คุณป้าได้แสดงฝีมือทำอาหารเช้าและเย็นให้ลิ้มลองความอร่อยแบบจัดเต็ม ทุก ๆ เมนูถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยความตั้งใจ อยากให้เราได้ลิ้มลองความอร่อยแบบฉบับญี่ปุ่นอย่างแท้จริง อาหารธรรมดา แต่วัตถุดิบที่สด ใหม่ และความใส่ใจเอาไปเลยค่ะ 5 ดาว ^^
อ๊ะ ๆ จะมาแค่ค้างคืน กินอาหารอร่อย ๆ เท่านั้นได้อย่างไร คุณป้ายังพาเราไปเก็บผักจากสวนหน้าบ้านอีกด้วย กระซิบนิดว่า...ผักที่เรากินส่วนใหญ่คุณป้าเก็บมาจากสวนนี้ทั้งนั้น นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมท่องเที่ยวธรรมชาติเชิงอนุรักษ์ให้ไปเที่ยวชมอีกด้วย ใครพอมีเวลาก็จัดได้เลย
บอกเลยว่าเป็น 1 คืน ที่แสนประทับใจ ธรรมชาติที่สวยงามเหมือนภาพวาด ความเงียบสงบ อาหารรสอร่อย และมิตรไมตรีที่ดีจากเจ้าของบ้าน เป็นอีกเสน่ห์ที่เราอยากให้เพื่อน ๆ ได้ไปสัมผัสกันดูนะคะ
ราคาที่พัก : คนละ 9,000 เยน (2 วัน 1 คืน) อาหาร 2 มื้อ (เย็น-เช้า)
เว็บไซต์ : www.ajimu-gt.jp
การเดินทาง : เมื่อทำการสำรองห้องพักเรียบร้อยแล้ว โปรดสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเจ้าของบ้าน
นั่นแน่ ! เริ่มอยากตามรอยเราไปเที่ยวโออิตะกันแล้วใช่ไหมล่ะ อ๊ะ ๆ เปิดสมุดแล้วลิสต์โออิตะให้อยู่ในแผนการเดินทางของคุณได้เลย ^^ ทั้งนี้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.welcomekyushu.com
และ www.discover-oita.com ที่สำคัญขอขอบคุณกรมการขนส่งคิวชู และจังหวัดโออิตะ ผู้ใหญ่ใจดีที่สนับสนุนการเดินทางในครั้งนี้ด้วยนะคะ ^^