พาเที่ยวอินเดียที่เมืองชัยปุระ (Jaipur) และเมืองอัครา (Agra) เมืองท่องเที่ยวที่กำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั่วทุกมุมโลก เหมาะสำหรับใครก็ตามที่อยากมาสัมผัสอินเดียในมุมที่ต่างออกไป
เมื่อเอ่ยถึง "อินเดีย" หลายคนมักชอบคิดว่าไปเที่ยวอินเดียต้องลำบาก กินยาก อยู่ยาก...ใช่ไหมคะ ? แต่ในความเป็นจริง อินเดียอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป เดี๋ยวนี้เราจะเห็นรีวิวท่องเที่ยวอินเดียอยู่เต็มไปหมด เหล่านี้ได้เปิดมุมมองการท่องเที่ยวของอินเดียเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย เหมือนกับ คุณสมาชิกหมายเลข 4474220 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม หญิงสาวที่จะพาเราตะลุยอินเดียไปด้วยกันกับเธอ ณ เมืองชัยปุระ (Jaipur) และเมืองอัครา (Agra) ซึ่งสองเมืองนี้กำลังเนื้อหอมเป็นที่หมายตาของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก แต่ละที่สวยทำเอาคุณต้องอึ้ง จนต้องแอบคิดว่า "อินเดียมีที่เที่ยวแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ ?" ใครที่พร้อมแล้ว เตรียมตัวตามไปเที่ยวอินเดียจากบันทึกการเดินทางนี้กันเลยค่ะ
เมื่อเอ่ยถึง "อินเดีย" หลายคนมักชอบคิดว่าไปเที่ยวอินเดียต้องลำบาก กินยาก อยู่ยาก...ใช่ไหมคะ ? แต่ในความเป็นจริง อินเดียอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป เดี๋ยวนี้เราจะเห็นรีวิวท่องเที่ยวอินเดียอยู่เต็มไปหมด เหล่านี้ได้เปิดมุมมองการท่องเที่ยวของอินเดียเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย เหมือนกับ คุณสมาชิกหมายเลข 4474220 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม หญิงสาวที่จะพาเราตะลุยอินเดียไปด้วยกันกับเธอ ณ เมืองชัยปุระ (Jaipur) และเมืองอัครา (Agra) ซึ่งสองเมืองนี้กำลังเนื้อหอมเป็นที่หมายตาของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก แต่ละที่สวยทำเอาคุณต้องอึ้ง จนต้องแอบคิดว่า "อินเดียมีที่เที่ยวแบบนี้อยู่ด้วยเหรอ ?" ใครที่พร้อมแล้ว เตรียมตัวตามไปเที่ยวอินเดียจากบันทึกการเดินทางนี้กันเลยค่ะ
+++++++++++++
อินเดีย
คงเป็นประเทศที่ใครหลายคนไม่คิดที่จะมา
เพราะในตอนแรกโบเองก็ไม่ได้มีประเทศนี้ ไว้ในแพลนเที่ยวเหมือนกัน 5555
แต่แล้ว...อินเดียก็กระโดดแทรกเข้ามาในแพลนซะงั้น
พอเริ่มบอกใครหรือชวนใครไป ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่กลัวเหรอ
อันตรายนะ สกปรกนะ ข่าวไม่ดีเยอะแยะเลย ไม่มีประเทศนี้ในหัวเลยย่ะอินตะระเดีย เที่ยวให้สุด จะไม่ยอมหยุดแค่ชัยปุระและอัครา
ไม่เป็นไร ยังไงเราต้องไปลอง ทริปนี้ตะลุยกับเพื่อนผู้หญิงกันแค่ 2 คนเท่านั้นค่ะ แนะนำให้ไปเยอะ ๆ จะได้รู้สึกอุ่นใจดี 55555
สิ่งของที่เตรียมไป
- อาหารที่เตรียมไป "มาม่า" นั่นเอง ขอบอกว่ากลับมาไม่เหลือสักอย่าง 55555
- ทิชชูเปียก-แห้ง จำเป็นมากค่ะ
- อย่าลืมยาสามัญประจำบ้านนะ
วีซ่า
- สำหรับประเทศอินเดียต้องใช้วีซ่าค่ะ ซึ่งก็ใช้เวลาอนุมัติแค่ 72 ชั่วโมงเท่านั้นค่ะ ตามที่แจ้งไว้ในเว็บ แต่สำหรับพวกเราประมาณ 24 ชั่วโมง ทั้ง ๆ ที่เป็นวันเสาร์-อาทิตย์ด้วยนะ ก็ได้วีซ่ามาครอบครอง รวดเร็วจริงๆ
- การได้วีซ่ามาก็ไม่ยากค่ะ ขอได้จากเว็บไซต์ ซึ่งประเภทของวีซ่าคือ E-Visa เมื่อได้มาแล้ว มีอายุ 60 วัน สามารถเดินทางได้ 2 ครั้ง มีค่าใช้จ่าย 51 USD ชำระผ่านบัตรเครดิต ซึ่งช่วงที่โบไปเป็นเดือนเมษายน 2561 คูณค่าเงินแล้วอยู่ที่ประมาณ 1,600 บาทค่ะ
ตั๋วเครื่องบิน
- สายการบินที่ราคาตรงใจเรา ได้แก่ Air Asia เนื่องจากเราจองล่วงหน้าเพียงแค่ 2 อาทิตย์ เลยได้ราคามา 9,355 บาท รวมน้ำหนัก 20 กิโลกรัม ลองเช็กราคาดูแล้ว ยิ่งจองไว้นานยิ่งได้ถูกกว่านี้เด้อ
เงิน
- โบแลกเป็นดอลลาร์ไปส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้ใช้เลยค่ะ เพราะตอนไปถึงไม่ได้แลกที่สนามบินชัยปุระ โรงแรมก็ไม่รับดอลลาร์
- ส่วนใหญ่พวกเราใช้บัตรเครดิตและเงินรูปีที่แลกไปค่ะ โบก็พยายามแลกเป็นแบงค์ย่อยด้วย เพราะได้ข้อมูลมาว่าคนอินเดียส่วนใหญ่ไม่ทอนเงินกัน แต่ แต่ แต่...พอไปถึงเค้าก็ทอนกันนะคะ เห็นไหมยังมีอะไรดี ๆ ให้ได้เจออยู่นะ
- สำหรับเงินรูปีไม่ได้มีให้แลกทุกร้านแลกในไทยค่ะ ใครสะดวกแลกที่ไหนแนะนำโทร. ไปสอบถามกันก่อนนะ ตัวอย่างกรณีโบต้องการแลกซุปเปอร์ริชสีเขียวที่ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต เลยสอบถามทางเพจของ Superrich เจ้าหน้าที่แจ้งว่าสาขานี้ต้องจองล่วงหน้าก่อน 1 วัน ถ้ามีพร้อมแลกแนะนำให้ไปสาขาราชดำริค่ะ แต่พวกเราไม่สะดวกไป เพราะกลัวไปไม่ทันไฟล์ท เนื่องจากเวลากระชั้นชิดและขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง เลยเปลี่ยนใจไปแลกที่ร้านลินดา แถวสะพานควายค่ะ ก็มีรูปีพร้อมให้แลกเลย
- ค่าใช้จ่ายสำหรับทริปนี้ อยู่ที่ประมาณ 17,000 บาท รวมช้อปปิ้ง ทุกสิ่งอย่าง ถ้าใครชอบที่พักประหยัด ไม่ช้อปปิ้งและจองตั๋วเครื่องบินได้ล่วงหน้านานกว่าพวกเรา ก็จะเซฟลงไปได้อีกเยอะเลยค่ะ
รถเช่าพร้อมคนขับ
- เรื่องการเดินทางในอินเดีย พวกเราตัดสินใจหารถเช่าพร้อมคนขับค่ะ ซึ่งหาข้อมูลกันเยอะมาก ทั้งจาก Blogger กระทู้ Pantip แอป TripAdvisor ดูรีวิว เปรียบเทียบราคา จนเป็นที่น่าพอใจแล้ว ก็ได้รถของบริษัท Ranthambore Tour Cab สนนราคาที่ 10,000 รูปี หรือ 5,000 บาท สำหรับ 2 คน ก็เหลือแค่ 2,500 บาทต่อคนเท่านั้น ระยะเวลา 5 วัน ซึ่งเป็นราคาที่สมเหตุสมผล
ในส่วนของยี่ห้อของรถยนต์เป็น Etios ค่ะ หรือ Vios บ้านเรานี่เอง เช่าเหมาทั้งทริปเลย ตั้งแต่ Jaipur ถึง Agra ค่ะ
- ส่วนคนขับดีมากค่ะ เป็นไกด์ไปในตัว อยากได้อะไรหรือไม่อยากได้อะไร ตกลงกันได้ ทั้งแนะนำพวกเราในสิ่งที่พวกเราควรทำหรือไม่ควรทำ เช่น เรื่องขอทาน "ยูไม่ต้องให้เงินนะเดี๋ยวยูโดนรุมนะ" "เรื่องการต่อราคาให้ยูต่อเกินครึ่งเลยนะ" และพาไปร้าน Himalaya (เค้าบอกคนไทยที่ใช้บริการรถเค้า นี่ชอบซื้อกันทุกคน 5555) เค้าจัดแพลนให้พวกเราแน่นเอี๊ยด คอยดูแลเราเป็นอย่างดี ตอนแรกพวกเราวางแพลนมา แต่เค้าเปลี่ยนแพลนพวกเรา ซึ่งโบคิดว่าไปตามแพลนเค้าแหละถูกต้องแล้ว เพราะเค้าจะรู้สถานที่ ที่ควรไปในเวลาที่เหมาะสมค่ะ
- หากใครอยากใช้บริการ ก็สามารถติดต่อได้ที่อีเมล ranthamboretourcab@gmail.com หรือ What’s app +918426887669 เลยค่ะ ตอบไวเว่อร์
ซิมการ์ด
- เรื่องซิมการ์ด โบเลือกใช้ของ Ais One2Call ค่ะ Sim2fly นั่นเอง เลือกใช้โปร 299 บาท เพราะมีซิมอยู่แล้ว ได้อินเทอร์เน็ต 4GB ก่อนกลับมายังไม่หมดเลยค่ะ สัญญาณดี บางที่ไม่มีสัญญาญก็จะเป็นสถานที่ที่เราผ่านไปบนเขา หรือหุบเขาค่ะ
แพลนการเดินทาง
วันที่ 1 พักผ่อน เนื่องจากถึงชัยปุระช่วงดึกค่ะ ไฟล์ท 18.00-21.15 น. เดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง
วันที่ 2 เที่ยวในชัยปุระ นอนที่ชัยปุระ
วันที่ 3 เดินทางไปอัคราแวะเที่ยวระหว่าง เที่ยวในอัครา พักที่อัครา
วันที่ 4 ไปทัชมาฮาล เดินทางกลับชัยปุระ และพักที่ชัยปุระ
วันที่ 5 เที่ยวในชัยปุระต่อถึงช่วงเย็น และเดินทางกลับกรุงเทพฯ ค่ะ
รายละเอียดที่พักและสถานที่ท่องเที่ยว ก็ตามไปดูกันเลย
ทริปนี้ได้ภาพสวย ๆ โดย
- กล้อง Fuji XA-3 มี Lens คู่ใจ Fujinon XF 23mm F2 ค่ะ
มาดูโรงแรมคืนที่ 1, 2 และ 4 พวกเราได้
- Ibis Jaipur Hotel จากแอป Traveloka
ในราคา 984 บาท/คืน เพียง 492 บาท/คน เท่านั้นค่ะ รวมอาหารเช้าอีก อื้อหือออออ...ยิ้มกรุ้มกริ่มในใจ
วันที่ 2
คนขับรถนัดมารับพวกเรา 09.00 น. ตื่นเช้ามาพวกเราก็กินอาหารเช้ากันก่อนเลย ที่ Ibis Jaipur Hotel มีอาหารเช้าของอินเดียอยู่เยอะเหมือนกัน ซึ่งก็บอกตรง ๆ กันเลยว่าพวกเรากินไม่ได้ 5555 คนอื่นอาจถูกปากแต่มันไม่ถูกปากพวกเราเลย ก็เลยเลือกอะไรที่เป็นสากล เช่น คอร์นเฟล็ก ขนมปัง และที่ขาดไม่ได้คือมาม่าที่เอาไปเอง
ระหว่างทางคนขับรถขอแวะซื้อองุ่นเพื่อใช้ล่อลิงให้ถ่ายรูปกับเรา อืมมม..ดูมีความใส่ใจ
บ้านเรือนแถวนั้นก็จะประมาณนี้
ถึงแล้ว Galta Ji Temple หรือวัดลิง ที่นี่ไม่ได้อยู่ในแพลนพวกเราค่ะ ไม่ใช่ไม่รู้จักว่าที่นี่คือที่ไหน แต่เราคิดกันเอาเองว่าไม่เห็นมีอะไรเลย แต่...ที่นี่เป็นที่ที่ประทับใจที่หนึ่งเลยค่ะ
ที่นี่ลิงเยอะมาก แต่เค้าไม่ทำร้ายเรานะคะ เค้าก็อยู่ของเค้า ไม่น่ากลัวค่ะ
คนเฝ้าประตูทางเข้า เค้าจะเก็บ 50 รูปี สำหรับกล้อง 1 ตัว ก่อนเข้าไปคนขับรถบอกว่า "ยูต้องบอกยูมีกล้องตัวเดียวนะ" พอเราเข้ามาคนเฝ้าประตูเค้าเห็นเราถือโทรศัพท์ เค้าก็ชี้เพื่อจะเก็บเราเพิ่ม เราก็บอกว่าไม่ใช้ถ่ายรูปค่ะ ก็เก็บเข้ากระเป๋าไป ก็ได้จ่ายเพียง 50 รูปี ตามนั้น เมื่อเข้าไปข้างในแล้วมันไม่ได้อลังการอะไรมากมาย แต่มันได้ฟีลความขลัง ยังไงบอกไม่ถูก 5555
ที่อินเดียเนี่ย บางคนเค้าชอบเสนอทำอะไรเพื่อเรา โดยเรียกเงินจากเราทีหลัง เช่น ขอถ่ายรูปให้เรา หาได้จากสถานที่ท่องเที่ยวใหญ่ แต่สำหรับน้องผู้ชายคนนี้พอโบยื่นให้น้อง น้องไม่รับค่ะ พวกเราให้ด้วยความเต็มใจ เพราะเห็นถึงความตั้งใจความพยายาม ที่เค้าช่วยให้เราได้มีภาพน่ารัก ๆ น้องต้อนรับนักท่องเที่ยวคนอื่นแบบที่ทำกับพวกเราเช่นกัน ทำให้รู้สึกประทับใจน้องมาก แต่เสียดายที่ไม่ได้เก็บภาพน้องมา ก็เลยยื่นให้แม่ของน้องค่ะ แม่น้องก็รับไปทันที
ไปกันต่อค่ะ ที่ Hawa Mahal พระราชวังสายลม
มีลักษณะประกอบด้วยหน้าต่างขนาดเล็กจำนวน 953 บาน เพื่อให้นางในวัง สามารถมองทะลุออกมาเห็นชีวิตภายนอกบนท้องถนนได้ มีลวดลายฉลุตกแต่งเพื่อไม่มีใครสังเกตเห็นนางจากด้านนอก พระราชวังแห่งนี้สร้างโดยหินทรายสีชมพู และสีแดง ตั้งอยู่ใจกลางเมืองชัยปุระค่ะ ที่นี่พวกเราไม่เสียค่าเข้า เพราะถ่ายรูปแค่ด้านนอกค่ะ
พวกเราแชะภาพกันด้านหน้าแล้ว ก็ข้ามถนนไปยังฝั่งตรงข้าม ขึ้นไปยังร้าน Wind View Cafe เพื่อเก็บภาพในมุมที่กว้างขึ้น
พักดื่มน้ำสักแป๊บ ราคาก็ไม่แพง พวกเราดื่มน้ำอัดลมกันก็ประมาณ 25 บาท สามารถนั่งได้นาน เก็บภาพได้จนกว่าจะพอใจ
ที่ต่อมา City Palace พระราชวังสีชมพู
ที่นี่มีค่าเข้าชม 500 รูปี แต่ถ้าอยากเข้าชมแบบ Exclusive ต้องจ่าย 2500 รูปี ซึ่งพวกเราคิดไตร่ตรองกันมาตั้งแต่อยู่ไทยว่าพวกเราจะยอมจ่าย เพราะมาทั้งทีอ่ะเนอะ เมื่อเราจ่ายเรียบร้อย จะมีไกด์นำพวกเราเข้าไป
ไกด์ก็จะเล่าประวัติของพระราชวังให้เราฟัง จะมีห้องต่าง ๆ สำหรับมหาราชา ในนั้นจะมีทั้งหมด 7 ชั้น ไกด์พาเดินไล่กันตั้งแต่ขึ้นชั้นดาดฟ้าแล้วเดินลงมาทีละห้อง ทีละชั้น เล่นเอาหอบกันเลยทีเดียว
งานมโนก็มานะคะ 5555
และก็พาเราไปพบกับ Artists ผู้วาดภาพให้มหาราชา ซึ่งเค้าก็ได้วาดภาพให้พวกเราเป็นของที่ระลึกด้วย
โดยสีที่ใช้ เป็นสีจากธรรมชาติล้วน
จุดสุดท้ายไกด์พาพวกเราลงมาที่ห้องดินเนอร์ ไกด์บอกว่าห้องนี้ยังใช้งานอยู่ ซึ่งก็ไม่อนุญาตให้พวกเราถ่ายภาพห้องนั้นมา ไกด์พานั่งพักหน้าห้องนี้ค่ะ พร้อมเครื่องดื่ม ชากาแฟ น้ำอัดลม น้ำเปล่า ขนม ซึ่งทั้งหมดนี้รวมอยู่ในราคา 2,500 รูปี เรียบร้อย
จากนั้นก็ออกมาถ่ายรูปบริเวณรอบ ๆ City Palace
จากที่เหนื่อยกันมาครึ่งค่อนวัน ก็มาทานอาหารกันที่ Cafe Palradio
ร้านอาหารตกแต่งได้อย่างน่ารัก รสชาติอาหารดีค่ะ อาหารหลากหลายสไตล์
ทุกเมนูที่เราสั่งถึงแม้จะเป็นสไตล์ฝรั่งแต่รสชาติ Include ความเป็นแขกนิด ๆ 5555 พวกเราสั่ง 2 อย่าง
รวมเครื่องดื่มก็จ่ายไป 940 รูปี หรือ 470 บาท
คนที่มาใช้บริการเป็นชาวต่างชาติก็เยอะค่ะ คนอินเดียที่ดูภูมิฐานก็มี ในส่วนของห้องน้ำสะอาดมาก ถ่ายรูปกันได้ตามอัธยาศัย
หลังจากทานอาหารกันเสร็จ คนขับรถพาพวกเราไปซื้อ Himalaya ถูกใจฉันนัก ผลิตภัณฑ์ของเค้าประกอบด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติเกือบทั้งหมดค่ะ โบใช้เองก็รู้สึกได้ว่าของเค้าก็ดีนะ Eye cream, Lip balm, Face wash สุดฮิต
ต่อมาพวกเราแวะกันที่ Albert Hall ตรงนี้ไม่เสียค่าเข้าชม เพราะไม่ได้เข้าไปด้านในค่ะ ก็ถ่ายรูปกันด้านหน้า คนขับรถของเรา ก็ไล่นกพิราบเข้ากล้องให้พวกเราถ่ายรูปอีก ลงทุนจริง ๆ
พวกเราไปต่อกันที่ Jai Mahal พระราชวังกลางน้ำ มีภูเขาเป็นฉากด้านหลัง ไม่เสียค่าเข้าชม เพราะเข้าไปไม่ได้ ที่นี่ตั้งแต่พวกเราจอดรถ จะมีพ่อค้าแม่ค้าชาวอินเดียฮาร์ดเซลล์หนักมาก ไม่ต้องสบตานะคะ คนขับรถบอกมา ต้อง No ! อย่างเดียวเลยค่ะ เพราะเค้าจะตื้อมาก ๆ
ที่สุดท้ายของวันนี้นั่นคือ Nahagrah Fort สร้างขึ้นเพื่อช่วยคุ้มครองพระนครจากการรุกรานของข้าศึก สถานที่แห่งนี้อยู่บนภูเขา ระหว่างทางขึ้นจะมีนกยูงออกมาเดินตามข้างทางให้เห็นกันบ่อย ๆ อยู่ที่ไทยจำได้ว่าเคยเห็นที่สวนสัตว์ แต่ที่นี่คือเดินกันเหมือนมาเดินเล่น 5555 ที่นี่จ่ายค่าเข้าคนละ 200 รูปี และค่านำรถเข้าอีก 40 รูปีค่ะ ราคานี้รวมเครื่องดื่ม 1 ขวด ก็มีให้เลือกหลายอย่างนะ พวกเราเลือกดื่มน้ำอัดลม
คือมันใหญ่มาก เป็นป้อมที่เห็นวิวเมือง Jaipur ได้ทั้งเมืองเลยค่ะ มันดีมากกกกกก วิวสวย นั่งดูพระอาทิตย์ตก แสงสวย เหมาะแก่การถ่ายรูปอย่างยิ่ง
พระอาทิตย์ตกแล้ว กลับไปพักผ่อนที่โรงแรมกันค่ะ กินมาม่า อร่อยที่สุดแล้วจังหวะนี้ 5555
วันที่ 3 พวกเราจัดเตรียมกระเป๋า เดินทางไป Agra กันตั้งแต่เช้า ก่อนออกจากJaipur คนขับรถพาเราไปลองชิมชา Chai กัน ใครมาต้องลองนะ ไม่ลองคือมาไม่ถึงชัยปุระ คนขับรถบอกว่า "ที่นี่ Famous นะยู"
สังเกตไหมว่าไม่ค่อยมีผู้หญิง ไปที่ไหน ผู้ชายบ้านเค้าเยอะมาก
เห็นสถานที่ทำชาไอ้เราก็กล้า ๆ กลัว ๆ จะกินดีไหม
พอได้กิน อื้อหือ...อร่อย เข้มข้น อาการท้องไส้ปกติ ถือว่าผ่านค่ะ
เราเดินทางกันต่อค่ะ จอดรถติดไฟแดงก็อาจเจอเคาะกระจกขอกันแบบนี้ ไม่ต้องตกใจ
เส้นทางการเดินทาง ในส่วนของถนนเค้าดีค่ะ จ่ายเงินค่าทางด่วนกันตลอด ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้รวมอยู่ในค่าเช่ารถพร้อมคนขับแล้ว ซึ่งโบจ่ายให้คนขับรถไปในวันที่ 2 ของการเดินทาง จอดรถจ่ายค่าทางด่วนทีก็โดนขายของที
- ห้องน้ำระหว่างทาง ระหว่างทางเพื่อนดันอยากเข้าห้องน้ำปวดหนักกลางทาง เลยขอให้คนขับแวะเข้าห้องน้ำ จอดที่แรกเพื่อนบอกว่ามันเข้าไม่ได้ มันไม่มีน้ำ ทำไมเค้าไม่ใช้น้ำกัน มันไม่มีถังขยะ ห้องน้ำก็เลยมีแต่ขยะ มันบอกไม่มีที่จะยืน สภาพแบบส่ายหัวหนักมาก เลยบอกให้คนขับรถแวะที่ต่อไป คือปั๊มน้ำมันใหม่ ย้ำว่าใหม่ ซึ่งที่นี่ก็รับไม่ได้อีกเช่นกัน มีชักโครก มีน้ำ แต่ไม่กด เลยสันนิษฐานกันเอาเองว่าเค้าใช้ชักโครกกันไม่เป็น ส่วนห้องข้าง ๆ เป็นส้วมซึม มองเข้าไปก็บึ้ม ๆๆ ก็หายปวดไปเลยทันที ลืมไปเลยว่าปวด
เลยอยากแนะนำว่าให้ทำธุระให้เสร็จกันตั้งแต่ที่โรงแรมนะคะ ภาพอันชวนอึ้งในห้องน้ำระหว่างทางนั้น ใครก็คงไม่อยากเจอกันใช่ไหม 5555
นั่งรถไปสัก 1-2 ชั่วโมง ประมาณ 95 กิโลเมตร ก็แวะเที่ยวกันที่ Chand Baori Stepwell มีลักษณะเป็นบ่อน้ำขั้นบันไดที่ลึกที่สุดในอินเดีย
ในสมัยก่อนพระมหาราชาสร้างขึ้นเพื่อกักเก็บน้ำเพื่อประชาชน เนื่องจากราชาสถานเป็นเขตที่ค่อนข้างแห้งแล้ง
สถาปัตยกรรมการก่อสร้างของที่อินเดียนี่ เค้าสร้างได้อลังการงานสร้างจริงจัง ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งในถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Batman ค่ะ
เก็บรูปเสร็จแล้วเราก็ออกมา โดนเรียกให้มานั่งดูการทำกำไลข้อมือสไตล์อินเดีย ดูเสร็จถ้าไม่ซื้อก็บอกเลยนะคะว่าไม่ซื้อ พูดตรง ๆ ไปเลย อ้อมค้อมนี่โดนตื้อแน่นอน
เดินทางกันต่อค่ะ ไป Agra กัน แต่เดี๋ยวก่อน.. คนขับรถพาแวะอีกแล้ว ก่อนถึง Agra 30 กิโลเมตร เราก็ไม่ค่อยอยากแวะเท่าไร เพราะเดินทางกัน 4-5 ชั่วโมง ค่อนข้างเพลียกัน และเป้าหมายของเราในวันนี้ก็คือ Agra Fort ที่เมืองอัครา แต่คนขับรถบอก "แป๊บเดียว ๆ" อ่ะโอเค แป๊บก็แป๊บ เค้าพาเราขึ้นรถตุ๊กตุ๊กหรือที่เรียกกันว่า Rickshaw เพราะเอารถยนต์เข้าไปไม่ได้ ก่อนเดินทางมาอินเดีย พวกเราคิดว่าเช่ารถพร้อมคนขับแล้ว คงจะไม่ได้นั่งหรอก ใจก็อยากลองนั่งบ้างเนอะ
Rickshaw พาเข้ามาสถานที่ที่ชื่อว่า Bhulan darwaja คือประตูชัยขนาดใหญ่มาก อลังการอีกแล้ว พวกเราไม่ได้เข้าไปด้านใน ยืนถ่ายรูปเฉพาะด้านนอกเท่านั้นค่ะ
สภาพแวดล้อมแถวนั้น ทั้งไกด์ท้องถิ่น ทั้งพ่อค้าแม่ค้าเร่ เดินมาตื้อกันอยู่นาน ทั้งเดินตาม ทั้งขอถ่ายรูปให้พวกเรา พวกเราก็ตามสไตล์ No No No !! ลูกเดียว เด็กขอทานแถวนั้น วิ่งมาแตะตัวก็มีนะคะ เพราะฉะนั้นก็ระวังกันนิดหนึ่งเด้อ ก็ไม่เข้าใจ เค้าเห็นพวกเราเป็นของแปลกหรืออะไร 55555
ถ่ายรูปเสร็จก็เดินทางกันต่อ ไปที่เป้าหมายของเรา Agra fort ถึงแล้วค่ะ
Unesco จัดตั้งให้เป็นมรดกโลก ในนั้นเป็นเมืองขนาดเล็กที่ล้อมรอบด้วยป้อมปราการขนาดใหญ่ ประวัติศาสตร์ว่ากันว่าหลังจากที่กษัตริย์ชาห์ จาฮาล สร้างทัชมาฮาล สำหรับฝังศพพระมเหสีเรียบร้อยแล้ว จึงมีพระประสงค์จะสร้างหอคอยหินอ่อนสีดำ เพื่อฝังพระศพพระองค์เอง แต่พระโอรสไม่เห็นด้วย ประกอบกับมองเห็นว่าพระบิดามัวแต่ทุ่มเทเงินและเวลาสร้างสุสาน (ทัชมาฮาล)ให้พระมารดา ทรงโศกเคร้าจนไม่มีเวลาทำงานให้กับบ้านเมือง จึงจับพระบิดาขังไว้ที่ป้อมอัคราแห่งนี้ จนสิ้นพระชนม์ในท่านั่งมองทัชมาฮาล
ที่นี่พวกเราจ่ายค่าเข้าแค่ 30 รูปี หรือ 15 บาท เพราะโชว์ Passport ไทยได้ลดราคา ประหยัดไปได้เยอะทีเดียว ตอนเข้าไปก็โชว์ Passport พร้อมตั๋วเข้า ให้กับคนตรวจสอบตั๋วนะคะ ว่าเราได้รับส่วนลดจาก Passport ไทยจริง
ตามมา ๆ ค่ะ
ในป้อมอัคราบอกได้เลยว่าเก็บรูปได้ทุกมุมแม้แต่ประตู คือสวยทุกมุมจริง ๆ
ใน Agra Fort นี่กระรอกเค้าวิ่งกันให้ทั่ว ไม่กลัวคนเลยแม้แต่น้อย
เราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 16.30 น. ก็ขอตัวกลับโรงแรมกัน เนื่องจากร้อนมาก ๆ เดินทางกันมาไกล แถมแวะเที่ยวอีกหลายที่อีกต่างหาก ด้านหน้าของ Agra Fort ก็ระวังลูกตื้อของรถม้า รถตุ๊กตุ๊กกันนิดหนึ่ง แทบสะกิดกันเลยทีเดียว
พวกเรายืนรอคนขับรถมารับ ก็ยืมดมกลิ่นฉี่ตามกำแพงกันไป เป็นเรื่องปกติของอินเดียค่ะ
ถึงโรงแรมแล้ว เข้าสู่คืนที่ 3 เราพักที่ Redisson Blu Agra จองได้จากเว็บ Agoda ที่นี่อยู่ในวลีที่ว่า กินดีอยู่สบายของจริง
ได้ห้องพัก Business Class ในราคา 1,380 บาท/คืน เท่านั้นค่ะ หาร 2 แล้ว คนละ 690 บาท บริการดี ห้องดีมาก ระดับ 5 ดาว สะอาด อยู่ใกล้ทัชมาฮาลเพียงเดินแค่ 300 เมตร ได้ของดีและถูกแบบนี้ น้ำตาจะไหล
เช้าวันที่ 4 ไปทัชมาฮาลกันค่ะ
จากจุดที่จอดรถรับ-ส่งนักท่องเที่ยวด้านนอกมาจนถึงจุดขายตั๋วเข้าทัชมาฮาล จะมีรถ Shuttle bus บริการฟรีนะคะ หน้าตาแบบนี้
ถ้ารถสามล้อ รถม้า หรืออะไรก็แล้วแต่ จะมารุมตื้อ พวกเค้าจะบอกเราว่า "จ้างเค้าเถอะ ยูเดินไกลนะ แค่ 20 รูปี" บลา บลา บลา ไม่ต้องสนใจนะคะ ยืนรอรถฟรีเงียบ ๆ เท่านั้น คนขับรถของเราบอกเราว่ามันมีรถฟรีเด้อ ไม่ต้องไปฟัง 5555
ได้เวลา 06.30 น. โปรดจงชำระเงินค่าเข้าเพียงใช้ Passport ไทย ลดค่าเข้าเหลือแค่ 530 รูปี หรือ 265 บาทเท่านั้น จะได้ถุงคลุมรองเท้าและน้ำ 1 ขวด
แล้วรีบเข้าไปอย่างไม่รีรอ
แนะนำให้ทุกคนนำแค่ Passport เงินและกล้องมาเท่านั้นนะคะ เพราะที่นี่ค่อนข้างตรวจสัมภาระอย่างละเอียดมาก ไม่นำลิปสติก ไม้เซลฟี่ ปากกา ขาตั้งกล้องมานะคะ มีการค้นตัวด้วยเด้อ
พวกเราผ่านกันง่าย หาข้อมูลกันมาพอสมควร เลยไม่นำสิ่งต้องห้ามมาสักอย่างก่อนถึงตัวทัชมาฮาลจะมีไกด์ท้องถิ่นตื้ออีกนั่นแหละ พวกเราก็ No No !! กันตามเคย
Taj Mahal สุสานหินอ่อน เป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ซะฮัน ผู้มีรักมั่นคงต่อพระมเหสีของพระองค์ พระองค์หลงใหลและหลงรักนางตั้งแต่พระชนมายุ 14 พรรษา หลังจากพิธีอภิเษกสมรส พระองค์ไม่เคยอยู่ห่างกันอีกเลย ครั้นในปี พ.ศ. 2174 พระมเหสีสิ้นพระชนม์หลังจากให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14 ทำให้พระจักรพรรดิโศกเศร้าอยู่ถึง 20 ปี ราชสมบัติส่วนใหญ่สูญเสียไปเพื่อการสร้างทัชมาฮาล หลังจากนั้นพระองค์ถูกกักขังอยู่ 8 ปี ใน Agra Fort ใช้เวลาจ้องมองเศษกระจกที่สะท้อนภาพของทัชมาฮาล และสิ้นพระชนม์ด้วยเศษกระจกในกำมือ พระองค์ถูกฝังในทัชมาฮาล เคียงข้างพระมเหสีที่พระองค์ไม่เคยลืม
แค่เรื่องราวก็ขลังแล้ว...วันนี้อากาศดี ฟ้าเป็นใจ เมื่อคืนฝนตก ตอนเช้ามาอากาศเย็น เดินเที่ยวสบายมาก ตั้งใจไว้ว่ารอบหน้าจะมาช่วงหน้าหนาวแน่นอน
ปะ ไปดูความสวยงามกันเลย
มุมมหาชน
ด้านในจะให้ใช้ถุงคลุมที่แจกไว้ตอนแรกคลุมรองเท้าก่อนเดินเข้าค่ะ
เสียดายที่เข้าไปด้านในตัวทัชมาฮาลแล้วไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปค่ะ ขอตัวเข้าไปก่อนจะออกมาเล่าให้ฟังนะคะ
ออกมาแล้ว คือด้านในมีแท่นมีลักษณะคล้ายโรงศพ สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหมด 2 แท่น ตั้งที่พื้น และมีที่กั้นไว้ไม่ต้องกลัวนะคะ คนเยอะมาก จริง ๆ แล้วพวกเราก็ไม่รู้หรอกว่าพระศพถูกฝังลึกลงไปมากกว่านั้นหรือไม่
หันหลังให้ทัชมาฮาลก็จะเจอนี่
ออกจากข้างในมาก็เก็บภาพรอบ ๆ มุมไหนก็สวยไปหมด
กลับจากทัชมาฮาลเราก็เดินทางกลับชัยปุระกันค่ะ พอถึงชัยปุระก็พักผ่อนที่ Ibis Jaipur Hotel ที่เดิม พรุ่งนี้เช้าเราจะไปต่อกันค่ะ
หลังจากทานอาหารเช้าที่โรงแรมกันเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินทางกัน 09.00 น. วันนี้เก็บกระเป๋าขึ้นรถเพราะเที่ยวเสร็จเราจะกลับไทยกันแล้ว
ที่แรกของวันสุดท้าย Amber Fort ป้อมปราการ Amber Fort เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของชัยปุระ เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันระหว่างศิลปะฮินดูและศิลปะราชปุต สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล เนื่องจากมีขนาดกำแพงปราการที่ใหญ่และแน่นหนา พวกเราร้องโอ้โหกันตั้งแต่ทางขึ้น จะขึ้นยังไงไหววะเนี่ย ประหลาดใจ
ต้องบอกก่อนว่าพวกเราไม่อยากขี่ช้าง ถ้าใครอยากขึ้นช้างต้องจ่าย 1,100 รูปี หรือ 550 บาทต่อ 2 คน แต่ไม่รวมทิปที่ควาญช้างตื้อเอากับเรานะคะ ถ้าไม่ให้ตามที่เค้าอยากได้ ก็ประมาณ 100 รูปี ก็จะประมาณว่า "ไอไม่ปล่อยยูลงนะ" 5555 แต่จริง ๆ แล้วมีป้ายบอกนะว่าห้ามให้ทิป
พวกเราตัดสินใจเดิน ก็อยากถ่ายรูประหว่างทางด้วย
แต่เอาเข้าจริง ๆ เดินแป๊บเดียวเองนะคะ 10-15 นาที ก็ถึงละ มีขั้นบันได ให้เดินได้แบบสะดวก เดินขึ้นได้ไม่ยากค่ะ มองดูอาจจะไกล แต่เดินจริง ๆ ไม่ไกลนะ
ระหว่างทางก็มีขอทาน ขอตามสเต็ปสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ก็เดินตื้อบ้าง สะกิดบ้าง ก็ไม่ได้ให้ตามเคยค่ะ จะเจอทุก 50 เมตร เลยจริง ๆ
พอเดินไปถึงก็ไปซื้อตั๋วกันค่ะ
ตรงนี้ Passport ไทยไม่ลด ส่วนใหญ่ที่ลดคือที่เมืองอัคราค่ะ ก็จ่ายกันไป คนละ 500 รูปี หรือ 250 บาท เดินออกมาได้ 5 ก้าว เอ๊ะ !! มาดูตั๋วทำไมใบหนึ่ง 500 รูปี แต่อีกใบ 100 รูปี อ้าวว เกิดอะไรขึ้น ?? เลยรีบเดินเอาเข้าไปให้คนขายตั๋วดู "นี่ยูให้มา ใบหนึ่งมัน 100 รูปี สำหรับบัตรนักเรียนนะ เราไม่ได้ยื่นบัตรนักเรียน เราต้องได้บัตรสำหรับผู้ใหญ่สิ" ฮีก็จัดการตั๋วใบใหม่มาให้เราทันที
ได้ของถูกไม่ได้ดีเสมอไปนะคะ ตรงนี้จะเกิดปัญหา เพราะตอนเข้าไปด้านใน และตอนกลับออกมาจะมีคนเช็กตั๋ว ถ้าเราไม่มีบัตรนักเรียนยืนยันพร้อมตั๋ว คงต้องไล่ให้เราไปซื้อตั๋วใหม่ หรืออาจเรียกเงินเพิ่มหรือเปล่า ตรงนี้เราไม่อาจรู้ได้ และเราก็คงไปเรียกร้องไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ทักท้วงตั้งแต่ตอนซื้อตั๋ว เพราะฉะนั้นตรวจสอบให้ดีนะคะ
ขึ้นไปกันเถอะ
ได้เข้ามาสักที ลมเย็นดี จะได้เดินถ่ายรูปสบาย ๆ กันหน่อย ด้านในใหญ่มาก
ตรอกซอกซอย หลายชั้นมาก อาจหลงทางเอาได้เลยแหละ พวกเราก็พยายามเกาะกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นไปด้วย
ตรงนี้แหละเราจะขึ้นไป
ในจังหวะที่เราจะเดินขึ้นชั้นบน แต่ลักษณะทางขึ้นแคบและซับซ้อนมาก ก็มีคนดูแลด้านในใส่เครื่องแบบ เดินมาถามเราว่าเราจะไปไหน เราตอบไปว่าเราจะไปเดินถ่ายรูป
เค้าก็เดินนำเราไปเลย บอก "เดี๋ยวไอจะพายูไปด้านบนสุดนะ" ไอ้เราก็จะไปอยู่แล้วไง เค้าก็เดินนำไป วกวนมาก
ตอนนั้นเริ่มกลัว พอมาถึงด้านบน แม่เจ้า ! ไม่มีใครเลย เค้าก็เฝ้าเรา ไม่ไปไหน พยายามจะถ่ายรูปให้เราสองคน พวกเราก็บอก No No !! เราถ่ายเองดีกว่านะ ถ่ายไปสักพัก ดื่มด่ำแดดไป
สักพักมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย ผู้ชายล้วนเดินขึ้นมา เรารีบปลีกตัวลงไปเลย ผู้คุมเค้าก็เดินตามพวกเราอีกนะ พอพวกเราเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติคนอื่น พวกเราก็เดินตามกลุ่มทัวร์นั้นไปทันที ไม่รู้ทำไม เห็นชาวต่างชาติที่นี่จะอุ่นใจที่สุด ผู้คุมเดินตามพวกเรามาทัน ก็ยังชี้ให้เราไปทางที่เค้าจะพาเราไปอีกอ่ะ เรารีบเดินออกทันทีเลย ไม่รู้เค้าต้องการทิปจากพวกเราไหม หรือเค้าต้องการบริการเราจริง ๆ แต่พวกเรากลัวค่ะ เพราะบางจุดในนั้นมันมืด มันแคบ มันซับซ้อน เลยไม่ไปด้วยดีกว่า ไม่รู้คิดมากไปไหม แต่เป็นผู้หญิง 2 คน ก็ต้องกลัวไว้ก่อน
ออกมาได้เราก็รีบเดินออกเลยค่ะ ก้าวแทบไม่ทัน 55555
ขากลับเล่นเอาซะเที่ยงเลย แดดไม่ต้องพูดถึง อาจุมม่าก็มา ครีมกันแดดและผ้าคลุม นี่ The best นะคะ 55555
Panna Meena ซึ่งอยู่ใกล้กับ Amber Fort นั่นเอง จริง ๆ ที่นี่โบหาข้อมูลมา เค้าไม่ให้ลงไปข้างล่างนะคะ แต่ผู้คุมสถานที่จะเรียกจากเรา 100 รูปีต่อคนก็เชิญลงได้
พอมาถึงคนขับรถเราก็ไปคุยอะไรกับคนคุมที่นั่นก็ไม่รู้ สักพักคนขับรถก็ไล่เราลงไปถ่ายรูปเลย เราก็อ่ะ ลงก็ลง จนกระทั่งมีคนเริ่มมาเยอะ คนคุมก็ตะโกนบอกเรา "ขึ้นมาสิ ลงไปทำไม" อ่าาาา.. 55555 โอเคขึ้นก็ขึ้น เงินก็ไม่ได้ให้ เพราะคนเยอะ เค้าได้แต่มอง แต่ไม่รับค่ะ
เข้าใจนะว่าทำไมไม่ให้ลง เพราะมันค่อนข้างสูง อาจเกิดอันตรายได้ค่ะ แต่ถ้าคนน้อยแล้วจ่าย 100 รูปี ก็ลงไปถ่ายรูปได้ 555
แพะก็มา
ปากบ่อน้ำ ทางเดินแคบ ระวังแพะมันจะวิ่งเบียดเราตกนะคะ เพราะชาวบ้านนำแพะมากินอาหารที่นี่ค่ะ
นี่ก็บ่ายแล้ว ไปทานข้าวกันที่ Fort Restaurant
คุณพระ !! อาหารอร่อยมากกกกกก มีอาหารหลากหลายชาติ รวมทั้งอาหารไทยด้วยนะคะ ร้านอาหารหรูค่ะ แต่ราคาดีงาม เราสั่ง 3 อย่างรวมเครื่องดื่ม หมดไป 600 บาท เท่านั้น ห้องน้ำดี คนมาทานอาหารก็ดูดีนะคะ โดยรวมเลิศ แนะนำค่ะ
อะไรไม่รู้เสิรฟ์ฟรีหลังอาหาร รสชาติแปลก ๆ
เปิดเพลงดี พึ่งได้ยินเพลงสากลก็ที่นี่ล่ะค่ะ 5555 นั่งฟังเพลง นั่งพักกันไป
ที่สุดท้ายที่เราจะไปก่อนไปสนามบินคือ Patrika Gate ตั้งอยู่วงเวียน Jawahar ใกล้สนามบินเลยค่ะ
ประตูซุ้มสวยมาก จะมีภาพวาดแต่ละซุ้ม
ตอนที่มาถ่ายรูปที่นี่ มีกลุ่มผู้ชายอินเดียอยู่ราว ๆ 10 คน ไม่มีผู้หญิงเลย แล้วเค้าก็มองโบเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอม 5555 สงสัยถ่ายรูปเยอะไป ถ่าย 100 ได้ 10 รูป ตามสไตล์ชะนี โปรดจงเข้าใจ
จะบอกว่าอย่าสนใจนะคะ คนที่นี่เค้าชอบมอง บางคนหยุดยืนมองก็มี เดินแซงมามองหน้าเฉย ๆ ก็มี เพื่อนโบเห็นนี่ขำกันใหญ่ มาที่นี่ต้องไม่สนใจ 55555
ป.ล. เล็ก ๆ น้อย ๆ ผ้าสำหรับโบเป็นสิ่งสำคัญมาก ช่วยปกปิดใบหน้าจากแสงแดด และจากผู้ชายอินเดียค่ะคุณ ไม่ใช่เพราะสวยนะ เพราะคนอินเดียเค้าชอบถ่ายรูปค่ะ บางคนตั้งกล้องถ่ายด้านหน้าเราเลย บางคนก็จะขอเข้ามาถ่ายรูปด้วย บางทีเค้ามากันเป็นกลุ่มใหญ่แซวเรามั่ง ก็แอบกลัวค่ะ ได้ยินข่าวมาเยอะ เลยพยายามพรางตัวสุด ๆ 5555 ทำถึงขนาดนี้ไม่ใช่เล่น ๆ นะคะพี่น้อง เค้ามาขอถ่ายจนเหนื่อยเลยนะคะ บ้ากล้องมาก ขอเตือน
ไม่ใช่แค่อินเดียที่ต้องระวังตัวนะคะ อันตรายเกิดขึ้นได้ทุกที เซฟตัวเองตามวัตนธรรมของเค้าไว้ ดีที่สุดค่ะ ส่วนตัวโบเองจะให้เฉพาะผู้หญิง เด็ก หรือคนที่มาเป็นครอบครัวถ่ายเท่านั้นค่ะ
ช่วงพบปะประชาชนก็มา
สัตว์ทั้งหลายจะมารวมที่ถนน ไม่ต้องแปลกใจ ช้าง ม้า วัว กระรอก งู อูฐ แพะ สุนัข ลิง
รวมทั้งนกพิราบ ในห้องรับรองผู้โดยสารที่สนามบิน แบบนี้ก็ได้เหรออออ 5555
ได้เวลากลับกันแล้ว
เค้าว่ากันว่ามาอินเดียไม่รักก็เกลียดเลย ไม่ต้องบอกนะว่ารักหรือเกลียด จะไปทำวีซ่า Multiply เข้าได้หลาย ๆ ครั้งใน 1 ปี เอาไว้เลยแหละ
ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ หวังว่าจะรีวิวนี้จะเป็นประโยชน์ให้กับหลาย ๆ คนได้
หากสงสัยก็สอบถามกันเข้ามาได้ค่ะ ทางเฟซบุ๊กก็ได้นะ เฟซบุ๊ก bo.khaimuk
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 4474220 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก bo.khaimuk