ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีของญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่น่าท่องเที่ยว เพราะธรรมชาติจะสวยงามแปลกตา อากาศเย็นสบายกำลังดี เรียกได้ว่าบรรยากาศโรแมนติกมาก ๆ เลยล่ะ เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกจึงอยากไปสัมผัสประสบการณ์พิเศษ ๆ แบบนี้กันสักครั้ง เหมือนกับที่ คุณ *Kasalong_capture สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้ออกเดินทางไปสัมผัสความงดงามของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่เมืองโอซาก้าและเมืองเกียวโต ซึ่งเป็นการเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ระยะเวลา 7 วัน 6 คืน และยังได้แชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยวมาฝากกันด้วย เรื่องราวการเที่ยวโอซาก้าและเกียวโตในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีของ คุณ *Kasalong_capture จะสนุกสนานแค่ไหน เที่ยวด้วยตัวเองในญี่ปุ่นยากหรือไม่ ไปติดตามเรื่องราวของเขาด้วยกันเลยค่ะ
+++++++++++++++++
ครั้งแรกของผมกับการไปเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีที่โอซาก้าและเกียวโต ด้วยตัวเอง (7 วัน 6 คืน)"สวัสดีครับใบไม้เปลี่ยนสี"
วันนี้ผมจะพาทุกคนไปชมทริปใบไม้เปลี่ยนสีที่โอซาก้ากับเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ที่ผมไปเมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน วันที่ 13-19 2560 มาครับ
ก่อนอื่นเลยผมต้องขอออกตัวก่อนว่ากระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมเลยครับ เพราะผมไม่ค่อยได้ออกเดินทางไปเที่ยวไหนสักเท่าไร ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ
การเดินทางครั้งนี้พวกผมไปกันเองกับเพื่อน ๆ รวมกันทั้งหมด 5 ชีวิตครับ จากการเริ่มต้นที่ว่า "เอ้ย ไปญี่ปุ่นกันไหม" แค่นั้นล่ะครับ แล้วสักพักก็ชวนคนโน้นคนนี้มาจนได้ทั้งหมด 5 คน แล้วตกลงจองตั๋วเครื่องบินไปลงคันไซกันเลย ฮ่า ๆๆๆ
หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มมีการคุยกันในกรุ๊ป Line ถึงเรื่องการวางแผนว่าจะไปที่ไหนบ้าง เดินทางไปกันยังไง และที่สำคัญคือประหยัดให้ได้มากที่สุดครับ (แต่ไป ๆ มา ๆ เริ่มไม่ค่อยประหยัดเท่าไร T_T)
ช่วงที่ผมไปนั้นใบไม้ยังไม่ค่อยเปลี่ยนสีสักเท่าไรครับ เสียดายมาก ๆ อากาศหนาวมาก แล้วก็มีฝนตกตั้ง 2 วัน วันที่ฝนตกนี่เที่ยวไม่สนุกเลยครับ แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ว่าครั้งหน้าต้องเช็กพยากรณ์อากาศให้ดี
เอาละครับผมก็เกริ่นมาซะนานเลย ทีนี้ก็ได้เวลาบินไปชมใบไม้เปลี่ยนสีพร้อมกันเลย...Let\'s Go !
เริ่มต้นวันแรกของการเดินทาง : 13 พฤศจิกายน 2560
ผมออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง เวลา 14.15 น. ถึงสนามบินคันไซ เวลาประมาณ 21.35 น. (ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศญี่ปุ่นครับ) รวม ๆ แล้วก็บินประมาณ 5 ชั่วโมงกว่า ๆ ครับ แล้วก็กว่าจะผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง กว่าจะไปรับกระเป๋าเสร็จก็ 22.10 น. ครับ แล้วพวกเราก็รีบวิ่งไปที่ Office ของ Nankai ครับ เหตุผลที่ขึ้นรถไฟของ Nankai Limited Express rapi:t ก็เพราะใช้เวลาเดินทางแค่ 34 นาที ไปลงสถานี Namba ครับ (เพราะที่พักอยู่แถวนั้น) โดยผมซื้อตั๋วจากไทยมาเรียบร้อยแล้วครับ ราคา 620 บาท (แบบไป-กลับ) พอไปถึง Office ก็ต้องไปแลกตั๋วเพื่อขึ้นรถไฟแล้วก็จองที่นั่งครับ เจ้าหน้าที่ก็จะเลือกรถไฟรอบที่เร็วที่สุดให้ครับ ก็คือรอบเวลา 22.35 น. แต่กว่าจะเสร็จจากตรงนั้นมันก็เวลา 22.30 น. แล้วครับ พวกผมนี่รีบวิ่งกันตาแหกเลย ฮ่า ๆ คิดว่ารถไฟที่ขึ้นจะไกล แต่จริง ๆ ลงบันไดเลื่อนไปก็ถึงละครับ
Office ของ Nankai ที่สนามบินครับ ใครซื้อตั๋วมาแล้วไปช่องป้ายสีน้ำเงิน เพื่อทำการจองที่นั่ง ส่วนใครยังไม่มีตั๋วไปช่องป้ายสีส้มครับ
หน้าตาของตั๋วรถไฟ Nankai ที่ซื้อจากไทยครับ
ที่นั่งด้านในขบวนครับ พวกผมนั่งแบบ Regular ครับ ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเวลาจองที่นั่งครับ (รถไฟขบวนนี้มีห้องน้ำด้วยนะครับ)
...แล้วในที่สุดรถไฟก็ได้เดินทางมาถึงสถานี Namba เวลา 23.15 น. ครับ สภาพอากาศข้างนอกค่อนข้างเย็นนิดหน่อยครับ ประมาณ 13 องศา ชุดที่ผมแต่งมาจากกรุงเทพฯ ยังพอรับไหว ฮ่า ๆๆ
หน้าตาของรถไฟขบวนที่ผมนั่งมาครับ
พวกเราต้องขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีชมพู Sennichimae Line จากสถานี Namba เพื่อไปลงสถานี Sakuragawa ครับ พวกเราจองที่พักจาก Airbnb ครับ เน้นประหยัด แล้วก็ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้ามากเกินไปครับ ก็เลยได้ที่พักแถว Naniward พวกเราพักที่นี่ 3 คืน คือวันที่ 13-15 พฤศจิกายน ได้ราคา 10,000 กว่าบาท/5 คนครับ
หน้าตาตู้กดซื้อตั๋วรถไฟฟ้าใต้ดินครับ
นี่เป็นหน้าตาของตั๋วรถไฟที่ออกมาครับ จากสถานี Namba ไปสถานี Sakuragawa แค่ 1 สถานีครับ 180 เยน
การไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินก็ไม่ยากครับ ให้ดูป้ายอย่างเดียวเลยครับ เค้าจะแยกสีของสายชัดเจนมาก ๆ ไม่มีทางหลงแน่ ๆ แต่พอถึงชานชาลาก็จะงง ๆ หน่อย ต้องดูป้ายว่าเราขึ้นรถไปสุดสถานีไหนฝั่งไหนครับ
รถไฟขบวนที่ผมจะขึ้นมาแล้วครับ
ขนาดดึกแล้วคนยังขึ้นรถไฟเยอะอยู่เลยครับ
และในที่สุดก็ถึงสถานี Sakuragawa ครับ
ขนาดดึกแล้วคนยังขึ้นรถไฟเยอะอยู่เลยครับ
และในที่สุดก็ถึงสถานี Sakuragawa ครับ
หน้าตาห้องนอนที่เราพักครับ พวกผมจองจาก Airbnb เจ้าของเค้าจะให้รหัสมาเพื่อไปเอากุญแจที่ Locker ครับ ก็สะดวกดีครับ
เมื่อพวกผมจัดการเรื่องกระเป๋า จัดการธุระของตัวเองเสร็จพวกเราก็ออกไปหาอะไรกินกันครับ แต่แถวที่พักไม่ค่อยมีร้านค้าเท่าไร เลยต้องเดินออกมาแถวสถานีรถไฟฟ้าครับ ก็เจอร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่ง จำชื่อไม่ได้ครับ ก็จัดการเข้าไปหาอะไรกินในนั้นเลย พอซื้อเสร็จแล้วก็กลับห้องพักกันครับ อากาศข้างนอกหนาวกว่าเดิมอีก ฮ่า ๆ เพราะเวลานั้นมันตี 1 แล้วครับ ...เวลาผ่านไปพวกเรากินข้าวเสร็จ กว่าจะอาบน้ำกันอีก เวลาก็ล่วงเลยไปตี 2 และกว่าจะได้นอน เอ่อ...คืนแรกก็ปาไปตี 3 ได้ครับ
ก่อนจะนอนพวกเราได้เช็กพยากรณ์อากาศของวันพรุ่งนี้ ฝนดันตกตั้งแต่เช้าเลยครับ จากแพลนที่วางไว้ว่าจะไปเดินเล่น ถ่ายรูปแถวน้ำตก Minoo-o ก็ต้องตัดทิ้งออกไปเลยครับ เนื่องจากที่ผมเช็กมาช่วงวันที่ไปทางอุทยานเค้าไม่ให้เดินเท้าเข้าไปชมบริเวณน้ำตกได้ครับ เราเลยเปลี่ยนแผนไปแค่ปราสาทโอซาก้า, วัด Shitennoji และก็ไปเดินเล่น หาอะไรกินแถว Dotonbori ครับ
วันที่สอง : 14 พฤศจิกายน 2560
วันนี้สภาพอากาศไม่ค่อยเป็นใจครับ ฝนดันตกหนักตั้งแต่เช้า ออกไปไหนไม่ได้เลย บวกกับพวกเราก็ตื่นกันก็ไม่ได้สายมากนะครับ 08.30 น. แต่เพราะสภาพอากาศข้างนอกมันไม่ค่อยเป็นใจ เราเลยไม่ได้รีบอะไร เพราะอย่างที่บอกไว้ว่าแผนการเดินทางวันนี้ไม่ค่อยได้ไปไหนอยู่แล้วครับ
เมื่อฝนเริ่มเบาลง เราก็เริ่มออกจากห้องพักก็ประมาณ 10 โมงกว่าได้มั้งครับ ก็เอาร่ม 3 คัน จากที่พักติดตัวไปด้วยครับ ซึ่งก็ไม่พอสำหรับจำนวนคน แต่ก็ต้องออกไปก่อนครับ เดี๋ยวจะไม่ได้ไปไหนกันพอดี ฮ่า ๆ สำหรับวันนี้เราเดินทางด้วยบัตร Osaka 1 Day Pass ครับ ซื้อจากตู้กดตั๋วนั่นแหระครับ ราคา 800 เยน สามารถใช้ขึ้นรถไฟใต้ดิน, city buses และรถราง New Tram (ยกเว้น OTS Line) ได้โดยไม่จำกัดภายใน 1 วันครับ
เราออกเดินทางมาที่ปราสาทโอซาก้าเป็นที่แรกครับ การเดินทางไปปราสาทโอซาก้าของพวกเราก็คือนั่งรถไฟใต้ดินจากสถานี Sakuragawa ไปลงสถานี Osaka Business Park ครับ พอออกจากสถานีก็จะเจอกับห้าง I M P ครับ พวกเราแวะทางข้าวเช้า เวลา 11.30 น. กันที่ห้าง I M P ครับ (จริง ๆ ก็ข้าวกลางวันนั่นแหละ ประหยัดมื้อเช้าไปได้หนึ่งมื้อครับ อิอิ)
เมื่อกินข้าวเสร็จเราก็เดินไปปราสาทโอซาก้าเลยครับ วันนี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไรครับ อาจจะเพราะฝนตกด้วย บรรยากาศเลยไม่ค่อยน่าเดินเที่ยวเท่าไร
พวกผมไม่ได้เข้าไปชมข้างในปราสาทกันนะครับ เพราะเห็นเค้าบอกว่าข้างในไม่ค่อยมีอะไร ฮ่า ๆ ก็เลยเดินออกจากปราสาทไปรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานี Temmabashi ครับ ผมตั้งใจจะไปดูรองเท้าร้าน ABC Mart แถวห้าง Keihan City Mall ด้วย ก็เลยไปแวะทางอะไรอุ่น ๆ ที่ Starbucks ในห้างด้วยครับ
ABC Mart ในห้าง Keihan City Mall ครับ
...อ่อ พอกิน Starbucks เสร็จแล้ว พวกผมก็สังเกตเห็นว่าฝนมันเริ่มจะหยุดแล้ว ตอนนั้นเวลาก็ประมาณ 3 โมงเย็นครับ ก็เลยตัดสินใจ เดินทางไปวัด Shitennoji กันครับ โดยการเดินทางไปก็ขึ้นรถไฟใต้ดินดินจากสถานี Temmabashi ไปลงสถานี Shitennōji-mae Yuhigaoka แล้วเดินออกทางออก 4 ครับ พอออกจากสถานี โชคดีมาก ๆ ครับ ฝนหยุดแล้ว เหมือนจะมีบุญได้เข้าวัด ฮ่า ๆๆ อดทนเดินไปอีกนิดหน่อยก็จะถึงทางเข้าวัดครับ
บริเวณรอบ ๆ วัดครับ
แต่พอไปใกล้ ๆ วัด ปรากฏว่าวัดปิดแล้วครับ เสียดายมาก ๆ
ทางเข้าวัดที่แท้จริง วัดนี้เสียค่าเข้าด้วยนะครับ แต่ผมไม่ได้เข้าไปเลยไม่รู้ว่าเสียเท่าไร อะไรยังไง
แต่พอไปใกล้ ๆ วัด ปรากฏว่าวัดปิดแล้วครับ เสียดายมาก ๆ
ทางเข้าวัดที่แท้จริง วัดนี้เสียค่าเข้าด้วยนะครับ แต่ผมไม่ได้เข้าไปเลยไม่รู้ว่าเสียเท่าไร อะไรยังไง
หลังจากเที่ยวชมวัดนี้เสร็จแล้ว พวกเราก็จะไปเดินเล่นและหาอะไรกินแถว Dotonbori ครับ โดยต้องเดินไปขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินสถานี Tennoji ไปลงสถานี Shinsaibashi ครับ โดยขึ้นสายสีแดง Midosuji Line ครับ
ทางเดินไปสถานี Tennoji ครับ
ถึง Dotonbori แล้วครับ ผมไม่ค่อยได้ถ่ายรูปตรงสะพาน The Glico Running Man เท่าไรนะครับ
หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเราก็จะไปดูงานจัดแสดงไฟ Flower Festival ที่ Namba Parks กันครับ งานนี้ไม่ได้มีตลอดทั้งปีนะครับ เปิด 24 ชม.
ดูไฟเสร็จพวกเราก็กลับที่พักกันครับ แค่วันนี้ก็หมดแรงแล้วครับ เพราะเดินเยอะจริง ๆ
วันที่สาม : 15 พฤศจิกายน 2560
วันนี้พวกเราวางแผนกันไว้แล้วว่าจะไปเล่น USJ ครับ อิอิ ขอย้อนวัยนิดหนึ่ง อันนี้คือความต้องการของเพื่อน ๆ ล้วน ๆ เลยครับ วันนี้พวกเราตื่นกันค่อนข้างสายนะเอาจริง ๆ สายกว่าที่แพลนกันเอาไว้มาก คืออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ กว่าจะออกจากห้องก็ปาไป 08.30 น. ละครับ แล้วต้องไปถึงหน้าประตูทางเข้า USJ 09.00 น. ตามที่ตั้งใจไว้ เพราะพวกเราซื้อบัตร USJ+Express 4 เครื่องเล่น จากไทยมาเรียบร้อยแล้วครับ ราคาที่ซื้อตอนนั้นก็เกือบ 4 พันบาทครับ ในตั๋วก็จะมีเวลาระบุของเครื่องเล่นบางเครื่องครับ เช่น Harry Potter ครับ
การเดินทางไป USJ ของพวกเราวันนี้ก็คือเดินทางจากรถไฟสาย Hanshin Namba Line ลงสถานี Nishikujo แล้วต่อด้วย JR Sakurajima Line ไปลงสถานี Universal-City ครับ
มาถึงสถานี Nishikujo ก็เกือบ ๆ จะ 09.00 น. ละครับ
รถไฟที่จะขึ้นไปลงสถานี Universal-City ครับ
ถึง USJ ประมาณ 9 โมงกว่า ๆ ครับ อยู่หน้าทางเข้าแล้ว ผมพรินท์ตั๋วที่ซื้อจากไทยมา จะมี QR Code ไว้ scan ตอนเข้า USJ ครับ สะดวกมาก ๆ หรือจะ scan ในมือถือเลยก็ได้ครับ
เข้ามาข้างในแล้วครับ เดินตรงไปอีกนิดจะเจอทางแยกครับ เลี้ยวขวาจะไป Harry Potter ครับ พวกผมตรงไปทางนั้นกันก่อนเลย อิอิ
ตึกขาว ๆ สวย ๆ ด้านขวาคือ Hollywood Dream ครับ (ผมไม่ได้เข้าไปเล่นอะ คนเยอะอยู่ครับ)
มาถึงทางเข้าของโซน Harry Potter แล้วครับ
ผ่านทางเข้ามาเดินมาเรื่อย ๆ ครับ
ถึงหน้าปราสาทแล้วครับ
มาถึงทางเข้าของโซน Harry Potter แล้วครับ
ผ่านทางเข้ามาเดินมาเรื่อย ๆ ครับ
ถึงหน้าปราสาทแล้วครับ
พวกเราก็ถ่ายรูปรอเวลา 10 โมงครับ เพื่อจะเข้าไปเล่นเครื่องเล่น The Wizarding World of Harry Potter ครับ โดยที่ยังไม่ได้กินข้าวกันมาก่อนเลย เพราะคิดว่าคงไม่หวาดเสียวอะไรมาก แต่คิดผิด ฮ่า ๆ เพราะว่าไปเล่นจริง ๆ มันต้องใส่แว่น 3 มิติ แล้วก็ต้องนั่งบนเก้าอี้ แล้วเก้าอี้ก้จะค่อย ๆ เคลื่อนไปตาม movement ของภาพ 3 มิติ ที่ฉายในแว่นครับ เล่นเสร็จแล้วพอออกมาเท่านั้นแหละ มึน ๆ อึน ๆ ใช้ได้เลย ฮ่า ๆ
มีโซนขายไม้กายสิทธิ์ด้วยครับ
ทางเข้าสำหรับ Express Pass ครับ
ทางเข้าสำหรับ Express Pass ครับ
ระหว่างรอคิวเข้าครับ ก็ถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ พอเข้าไปข้างในแล้ว เค้าไม่ให้พกอะไรติดตัวไปเลยครับ ให้ฝากไว้ใน Locker เลย
เล่น Harry Potter เสร็จแล้ว พวกเราก็จะไปหาอะไรกินกันครับ เพราะหิวมาก ๆ เลยได้กิน Burger ราคาต่อเซตต่ำสุดอยู่ที่ 1,490 เยนครับ (มีหลายเซตนะครับ แบบอเมริกันจ๋าเลย)
หน้าตาหน้าร้านครับ
ด้านในของร้านครับ
รอคิวสั่งอาหาร
ด้านในของร้านครับ
รอคิวสั่งอาหาร
...มาต่อกันครับ หลังจากกินข้าวเสร็จพวกเราก็ไปเล่นเครื่องเล่น JAWS Ride ครับ อันนี้ตลกดี ขนาดผมต่อคิวแถว Express ยังต้องรอสักพักเลยครับ เพราะกว่าเรือจะมาก็ใช้เวลานานอยู่ครับกว่าจะเสร็จ 1 รอบ *เค้าไม่ให้ถ่ายรูปครับ ก็ต้องปฏิบัติตามกฏเค้าหน่อย
บรรยากาศระหว่างทางเดินเล่นใน USJ ครับ
หลังจากที่เล่น JAWS เสร็จ พวกผมก็ไปเล่น Flying with Dinosaur ต่อครับ ซึ่งเครื่องเล่นนี้คนเยอะมากกกกกกก เยอะจริง ๆ ครับ เป็นเครื่องเล่นยอดฮิตของที่นี่เลยก็ว่าได้ แต่โชคดีที่มีบัตร Express เลยไม่ต้องรอคิวนานครับ เครื่องเล่นนี้ต้องฝากของทุกอย่าง แม้กระทั่งของที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง ต้องเอาออกหมดครับ เพราะแรงเหวี่ยงของเครื่องเล่นอาจจะทำให้ของตกลงมาใส่คนข้างล่างได้ครับ
ถ้าถามว่าเครื่องเล่นไหนที่ผมชอบมากที่สุดใน USJ ก็ต้องบอกว่าเครื่องนี้แหระครับ ใครไปแนะนำเลย คุณจะได้รู้ว่าคว่ำตัว แล้วรถไฟดิ่งมันสนุกแค่ไหน ฮ่า ๆ อยากเล่นอีกสัก 10 รอบครับ แต่รอคิวไม่ไหวจริง ๆ
หลังจากเล่นเสร็จพวกเราก็ไปต่อคิวเล่น Jurassic Park The Ride กันต่อ คราวนี้พวกเราได้นั่งหน้านะสุดนะสิครับ ไม่มีเสื้อกันฝนด้วย ตายแน่ ๆ เปียกแน่ ๆ คิดไว้ในใจ ฮ่า ๆ นั่นแหละ ผลสุดท้ายก็เปียกครับ เปียกแบบไม่ใช่นิด ๆ หน่อย ๆ นะ ฮ่า ๆๆ
พอเล่น Jurassic Park The Ride เสร็จ ก็กลับไปโซน Harry Potter กันต่อครับ เพราะพวกผมจะรอดูการแสดงช่วงค่ำที่จะมีขึ้นเฉพาะช่วงนี้ครับ
ในโซน Harry Potter ยังมีจุดที่ให้เล่นที่ผมยังเก็บไม่หมด นั่นก็คือรถไฟเหาะครับ อันนี้ต้องไปต่อคิวเองครับ เพราะตอนที่ไปใช้ Express ไม่ได้ครับ
สำหรับใครที่ซื้อไม้กายสิทธิ์ใน USJ นะครับ ข้างในกล่องจะมีแผนที่มาให้ เพื่อให้เราเอาไปเล่นท่องคาถาและร่ายเวทย์ แล้วจะเกิด effect ต่าง ๆ ขึ้นตามจุดที่เค้ามีให้ครับ ผมก็ได้ลองเล่นบ้าง แต่ผมไม่ได้ซื้อไม้นะ เพื่อนเป็นคนซื้อครับ สนุกดีเหมือนกัน
แผนที่สำหรับไม้กายสิทธิ์ครับ
จุดที่สามารถท่องคาถาและร่ายเวทย์มนตร์ครับ เค้าก็จะมีเจ้าหน้าที่ประจำจุดต่าง ๆ เพื่อสอนวิธีเล่นครับ
และไฮไลท์ที่สำคัญเลยคือถ้าใครมา USJ พลาดไม่ได้ที่จะลิ้มลอง Butter Beer เลยนะครับ เพราะมันอร่อยมาก ๆ ผมขอเพื่อนชิมแล้ว มันออกหวาน ๆ หอมมากเลยครับ
บรรยากาศช่วงเวลาที่รอชมการแสดงช่วงค่ำครับ จะบอกว่าอากาศหนาวมาก ๆ แทบจะไม่ไหว ลมก็พัดอีก ทรมานมากเลยครับ
และนี่คือการแสดงช่วงค่ำครับ จะฉายบนปราสาทนั่นแหละ ผมคิดว่าจะมีพลุซะอีก แต่พลุไม่ได้แสดงตรงนี้ครับ เสียดาย
และที่เสียดายมากที่สุดคือพวกผมไม่ได้ถ่ายรูปกับลูกโลกด้านหน้าทางเข้า USJ เลยครับ เพราะรีบเข้ามาเล่นเครื่องเล่นกัน ฮ่า ๆ วันนี้ก็กลับห้องพักดึกอีกแล้วครับ น่าจะถึงห้องประมาณ 3 ทุ่มได้มั้ง ร้านอาหารก็ปิดหมดแล้ว พวกผมเลยต้องพึ่ง Lawson ครับ อิอิ
วันที่สี่ : 16 พฤศจิกายน 2560
วันนี้พวกเราตกลงกันว่าจะย้ายเมืองไปเที่ยวเกียวโตกันครับ พวกเราตื่นกันตั้งแต่ 09.30 น. แล้วก็ Check-out ออกจากที่พักเรียบร้อยก็ขนกระเป๋าออกเดินทางไปขึ้นรถไฟเพื่อจะต่อเข้าเมืองเกียวโตครับ
พวกเราจะเริ่มใช้บัตร Kansai Thru Pass 3 Day ซึ่งซื้อมาจากไทยครับ ราคา 1,515 บาท ก็จะได้บัตรตัวจริงมาเลย เอาไปขึ้นรถไฟได้เลยครับ สะดวกดี ไม่ต้องไปหาซื้อให้วุ่นวาย การเดินทางของเราคือขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินจากสถานี Sagurakawa ไปลงสถานี Umeda แล้วเปลี่ยนสายรถไฟเป็น Hankyu Kyoto Line รถสีเลือดหมูครับ ซื้อมีแบบ Local กับแบบ Express ต้องดูป้ายข้าง ๆ รถครับ ซึ่งเราสามารถใช้บัตร Kansai Thru Pass ขึ้นได้เลยครับ ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม แล้วไปลงสถานี Kawaramachi นั่งไปให้สุดสายเลยครับ ฮ่า ๆๆ
วันนั้นพอดีรถแบบ Local มาจอดทีหลัง เราเลยกระโดดขึ้นเลยครับ เพราะสายแล้ว แล้วถ้ารอรถแบบ Express ก็อีกสักพัก เราเลยตัดสินใจขึ้นขบวนนี้ ซึ่งรถออกตอน 11.30 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ก็ถึงเกียวโตแล้วครับ
หน้าตารถก็จะเป็นแบบนี้ครับ อันนี้เป็นขบวนก่อนหน้าผมครับ มาไม่ทัน
ข้างในขบวนรถครับ เริ่มเดินทางออกจากโอซาก้าแล้ว ตื่นเต้นครับ
หน้าตาของเจ้าบัตร Kansai Thru Pass ครับ
ถึงสถานี Kawaramachi แล้วครับ ข้างนอกวันนี้อากาศหนาวมาก ๆ ประมาณ 3 องศาครับ ไม่มีแดดเลย
หลังจากที่ออกจากสถานีรถไฟ Kawaramachi แล้ว พวกเราก็ต้องต่อรถบัสเพื่อไปฝากกระเป๋าไว้กับที่พักครับ โดยเราสามารถขึ้นรถบัสได้เลยโดยใช้บัตร Kansai Thru Pass นี่แหระครับ สะดวกมาก ๆ พวกเราต้องขึ้นรถบัสจากสถานี Shijo-Kawaramachi ไปลงสถานี Kawaramachi-Shomen ครับ ผมว่าขึ้นรถบัส ง่ายกว่าขึ้นรถไฟอีก
ภาพประกอบสถานีรถบัสหน้าตาจะประมาณนี้ครับ (แต่ไม่ใช้สถานีที่ผมจะขึ้นไปที่พักนะครับ ฮ่า ๆ)
แอบถ่ายบัตร Kansai Thru Pass ตอนยืนบนรถไฟ พร้อมทั้งกระเป๋า มันลำบากมากครับ เพราะรถบัสเล็กมาก ๆ
ลงจากรถบัส พวกเราต้องแบกกระเป๋าข้ามทางม้าลาย เพื่อเดินไปยังที่พักครับ เราเลือกพัก Hostel ที่เพิ่งเปิดใหม่ครับ ชื่อ Hostel Kyoto Kizuna กันครับ เพราะคงไม่ค่อยได้นอนอยู่โรงแรมสักเท่าไร ราคาก็ประหยัด อีกทั้งยังสะอาดมาก ๆ ครับ สะดวกสบายใช้ได้เลย พนักงานก็พูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน แล้วอีกอย่างก็ไม่ได้ไกลจากสถานีรถไฟเท่าไรครับ แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีคนไทยไปพักเท่าไร ผมเห็นแต่ต่างชาติซะส่วนใหญ่
ราคาที่พวกเราจองจาก Booking ตอนนั้นก็ถือว่าถูกกว่า Hostel เจ้าอื่น ๆ ครับ พวกเรานอนที่เกียวโตกัน 3 คืน (16-19 พฤศจิกายน) ราคาต่อคนก็อยู่ที่ 8,700 เยน นอนห้องรวม 6 คน คนละเตียงครับ เป็นเตียง 2 ชั้น แต่พวกผมไปกัน 5 คน เพราะฉะนั้นจะมีแขกคนหนึ่งที่เราไม่รู้จักมานอนด้วยครับ เลยเสียงดังไม่ได้เท่าไรตอนที่ไปพักครับ
ถึงที่พักแล้วครับ พวกเราก็ไปแจ้งว่าได้จองที่พักเอาไว้ แล้วจะฝากกระเป๋าไว้ที่นี่ แล้วจะกลับมา Check-in ตอนช่วงค่ำ ๆ ครับ
ที่พักมีแผนที่ขนาดใหญ่รอบเมืองเกียวโตให้ดูด้วย และมีจุดที่แนะนำด้วยครับ ดีมาก ๆ
พอฝากกระเป๋าเสร็จก็เดินออกไปจากที่พัก เพื่อไปหาร้านข้าวกินกันครับ เจอร้านไหนก่อนเข้าหมด เพราะตอนนี้หิวมาก ฮ่า ๆๆ
ร้านนี้เป็นร้านใหญ่ครับ อยู่กลางแยกเลย อีกทั้งมีเมนูให้เลือกเยอะด้วย แต่เราต้องกดสั่งอาหารจากตู้เองครับ ก็สะดวกดีนะ แต่ก็จะงง ๆ หน่อยช่วงแรก แล้วก็จ่ายเงินจากตู้เลยครับ แล้วเราจะได้ใบเสร็จสั่งอาหาร แล้วไปยื่นหน้าเคาน์เตอร์เลย
...หลังจากที่กินข้าวกันเสร็จแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางไปวัด Kiyomizu หรือที่รู้จักกันว่า "วัดน้ำใส" ครับ การเดินทางไปวัดครั้งนี้เราต้องขึ้นรถบัสไปครับ พวกเราขึ้นรถบัสจากสถานี Gion ครับ นั่งสาย 207 ไป แล้วลงสถานี Kiyomizu-michi
ระหว่างทางที่เดินไปขึ้นรถบัสครับ
เห็นวิวแม่น้ำ Kamo ด้วย ลมพัดหน้าตึง หนาวมากครับ ไม่อยากเดินผ่านอีกรอบเลย
เห็นวิวแม่น้ำ Kamo ด้วย ลมพัดหน้าตึง หนาวมากครับ ไม่อยากเดินผ่านอีกรอบเลย
รถบัสสาย 207 ที่จะขึ้นไปลงวัด Kiyomizu มาแล้วครับ คนเยอะมาก ๆ แน่นไปหมด ต้องยืนไป แต่ก็ไม่ได้ไกลเท่าไรครับ
ลงจากรถบัสป้ายสถานี Kiyomizu-michi ก็ต้องเดินต่อไปอีกไกลพอสมควรครับ กว่าจะถึงวัด Kiyomizu เล่นเอาหอบเลย ระหว่างทางเดินขึ้นไปก็จะผ่านร้านต่าง ๆ ทั้งข้างซ้าย ข้างขวาครับ มีร้านค้าเต็มไปหมด ถ้าเหนื่อยก็แวะซื้อขนมหรือของกินเล่นได้ครับ
และในที่สุดก็ถึงด้านหน้าวัดแล้วครับ
วัดนี้ถ้าจะเข้าไปชมต้องเสียค่าเข้า 400 เยนครับ พวกผมไหน ๆ ก็ไปถึงแล้ว แม้ว่าข้างในจะปิดปรับปรุงก็เถอะ ยังไงก็ต้องเข้าไปครับ
หลังจากที่เสียค่าเข้ามาแล้วก็เดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย ๆ ครับ จากที่วันนี้เกียวโตไม่มีแดดเลย แดดเริ่มออกมาแล้วครับ ดีใจมาก เพราะช่วยให้อุ่นได้เยอะเลยครับ ใบไม้ยังไม่ค่อยเปลี่ยนสีเท่าไรครับ น่าเสียดายนิด ๆ
บริเวณข้างในวัดครับ
มาช่วงที่ปิดปรับปรุงก็จะเซ็ง ๆ หน่อย
จุดนี้คนต่อคิวรอกินน้ำขอพรกันครับ คนไม่ค่อยเยอะเท่าไร แถวสั้นมาก ๆ ครับ
ออกจากวัดมาแล้วครับ เห็นแสงสวยดี เลยถ่ายซะหน่อย
ทางเดินกลับ คนเริ่มแน่นมาก ๆ ครับ
ระหว่างทางเดินกลับนั้น ผมหาข้อมูลมาว่าถ้าเราเดินกลับไปอีกทางหนึ่งที่เค้าเรียกกันว่าย่าน Higashiyama ช่วงเย็น เราจะได้ถ่ายรูปมุมสวย ๆ เพิ่มเติมช่วงที่กลับครับ
ตอนขากลับต้องเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ มาครับ ไม่กลับทางที่ลงรถบัส
เดินตามทางเดินไปเรื่อย ๆ จะเห็นวัด Hokan-ji เป็นวิวข้างหลังครับ แล้วเราก็จะได้ภาพถ่ายมุมนี้ ฮ่า ๆ อันนี้ไปเพื่อถ่ายภาพโดยเฉพาะเลย แต่มุมที่ถ่ายคนยืนรอถ่ายกันเยอะเลย มีถ่ายพรีเวดดิ้งด้วยครับ
และก็หมดภาระกิจของวันนี้ก็กลับไปหาไรกินแถวสถานีรถไฟ Kawaramachi เพื่อจะได้ต่อรถบัสกลับที่พักเพื่อไป Check-in และพักผ่อนครับ
วันที่ห้า : 17 พฤศจิกายน 2560
ตอนแรกเราวางแผนกันว่าจะไป Arashiyama วันที่ 18 ครับ แต่เพื่อนผมเช็กพยากรณ์อากาศที่ค่อนข้างแม่นแล้ว ปรากฏว่าวันที่ 18 ฝนตก เลยขยับเที่ยว Arashiyama มาเป็นวันนี้แทนครับ เพราะรู้ว่าการเที่ยว Arashiyama ต้องเดินเยอะแน่ ๆ
วันนี้เราออกจากที่พักก็สาย ๆ ครับ พวกเราไป Arashiyama โดยการขึ้นรถไฟจากสถานี Kawaramachi สาย Hankyu Kyoto Line for Umeda ลงสถานี Katsura เพื่อเปลี่ยนสายไปลงสถานี Arashiyama ครับ
รถไฟเดินทางมาถึงสถานี Arashiyama แล้วครับ คนขึ้นรถไฟมาที่นี่เยอะมาก ๆ ครับ เจอคนไทยบ้างแล้วครับ
และนี่เป็นขบวนรถไฟที่ขึ้นมาลงที่นี่ครับ
เมื่อออกจากสถานีพวกเราก็ตรงดิ่งไปตามหา Arashiyama ของเรากันครับ
แค่สะพานตรงนี้ก็สวยแล้ว แวะถ่ายรูปซะหน่อย
เราแวะทานข้าวกันแป๊บหนึ่งครับ เพราะหิวมาก ๆ ถ้าเดินไปอีกเป็นลมแน่ ๆ
มาถึงสะพาน Togetsukyo แล้วครับ สังเกตว่าใบไม้ยังไม่ค่อยเปลี่ยนสีเลยครับ
กำลังพาเดินไปทางที่เค้าล่องเรือกันครับ
เมื่อออกจากสถานีพวกเราก็ตรงดิ่งไปตามหา Arashiyama ของเรากันครับ
แค่สะพานตรงนี้ก็สวยแล้ว แวะถ่ายรูปซะหน่อย
เราแวะทานข้าวกันแป๊บหนึ่งครับ เพราะหิวมาก ๆ ถ้าเดินไปอีกเป็นลมแน่ ๆ
มาถึงสะพาน Togetsukyo แล้วครับ สังเกตว่าใบไม้ยังไม่ค่อยเปลี่ยนสีเลยครับ
กำลังพาเดินไปทางที่เค้าล่องเรือกันครับ
ผ่านร้านกาแฟ %Arabica คนต่อคิวเยอะมาก ข้างในร้านคนเพียบ ตอนแรกผมกะจะซื้อซะหน่อย แต่ไม่เอาดีกว่า
เดินเรียบริมแม่น้ำมาเรื่อย ๆ ก็จะเจอใบไม้เปลี่ยนสีบ้างแล้วครับ พวกเราแวะถ่ายรูปแถวนี้นานเลยครับ
...หลังจากที่เราเดินเรียบริมแม่น้ำจนสุดแล้ว พวกเราก็เดินไปชมวัด Tenryuji ต่อครับ เดินตามทางไปเรื่อย ๆ บางทีก็ต้องอาศัย Google Maps ครับ เพราะในบริเวณสวนแทบจะไม่มีป้ายภาษาอังกฤษบอกเลย จนกว่าจะถึงถนนหลักครับ
เดินมาเรื่อย ๆ ก็มาถึงทางเข้าวัด Tenryuji ครับ วัดนี้เสียค่าเข้านะครับ ถ้าจะชมสวนจ่าย 500 เยนครับ ส่วนชมวัด 800 เยนมั้ง แต่พวกผมเป็นพวกเข้าวัดไม่ได้ครับ (ล้อเล่น ๆ) ผมอยากชมแค่สวน เพราะจะได้รีบไปเดินชมป่าไผ่ครับ เพราะตอนนั้นก็เริ่มจะเย็นแล้วกลัวไปเที่ยวต่อไม่ทัน
สวนวัดนี้เป็นอะไรที่ผมประทับใจมากครับ มันสวยมาก ๆ เลย ชอบมาก
ทางออกจากวัด Tenryuji จะไปทะลุตรงป่าไผ่พอดีครับ แต่พวกเราเห็นคนแล้วก็เลยขอเดินเข้าไปชมนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ออกครับ แนะนำถ้าใครอยากมาตอนที่ไม่ค่อยมีคนเลย คงต้องเป็นช่วงเช้ามาก ๆ เลยครับ น่าจะดีถึงป่าไผ่แล้วครับ
แล้วพวกเราก็เดินกลับไปขึ้นรถไฟสาย Randen Arashiyama Line จากสถานี Arashiyama ไปลงสถานี Randen-Tenjingawa ใช้เวลาเดินทาง 11 นาทีครับ ซึ่งคนกลับเยอะมาก ๆ เจอคนไทยยืนใส่ชุดกิโมโนบนรถไฟด้วยนะครับ แต่ก็ไม่ได้ทักกัน ฮ่า ๆๆ เขิน พอถึงสถานี Randen-Tenjingawa พวกเราต้องเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟใต้ดินครับ โดยขึ้นจากสถานี Uzumasa Tenjingawa ไปลงสถานี Sanjo Keihan สาย Tozai Line ครับพอถึงสถานี Sanjo Keihan พวกเราก็ไม่รู้จะไปไหนกัน เลยพากันไปศาลเจ้า Fushimi-Inari ครับ ก็เดินเปลี่ยนสายรถไฟนิดหน่อย โดยต้องไปขึ้นรถไฟจากสถานี Sanjo ไปลงสถานี Fushimi-Inari โดยรถไฟสาย Keihan Main Line แต่ตอนที่พวกเราไปถึงมันเกือบจะมืดแล้วครับ น่าเสียดายมาก ๆ ผลสุดท้ายก็ได้เดินเล่นนิดหน่อย แล้วหาอะไรกินแถวนั้น หลังจากนั้นก็กลับมาที่แถว Gion ครับ แล้วก็เดินไปช้อปกันแถว Kawaramachi ครับ หลังจากนั้นก็กลับที่พักโดยรถบัสเหมือนเดิมครับ
วันที่หก : 18 พฤศจิกายน 2560
วันนี้เราตั้งใจออกเดินทางสายครับ เพราะว่าช่วงเช้ามีฝนตก เราออกจาก Hostel เกือบ ๆ จะเที่ยงครับ แล้วก็ไปทานข้าวร้านเดิม พอเสร็จแล้ว เราก็ออกเดินทางไปหมู่บ้าน Kibune เพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีนอกเมืองกันบ้างครับ
เราออกเดินทางโดยขึ้นรถไฟสาย Keihan Main Line จากสถานี Kiyomizu-Gojo ไปลงสถานี Denmachiyanagi ครับ แล้วเปลี่ยนสายเป็นสาย Eizan Electric Railway Kurama เพื่อไปลงสถานี Kibune-guchi ครับ ใช้เดินทางรวมเวลาราว ๆ เกือบ 1 ชั่วโมง
การเดินทางเข้าไปในหมู่บ้าน Kibune ต้องนั่งรถบัสเข้าไปครับ หรือใครจะเดินเข้าไปก็ได้แต่ระยะทางก็ไกลหน่อย แต่บรรยากาศดีมากครับ มีแต่ป่า แต่พวกผมเลือกขึ้นรถบัสครับ ต้องใช้บัตร Kansai Thru Pass ให้คุ้ม อิอิ (รถบัสจะมีสายเดียวครับ มาจอดรอทางออกจากสถานีรถไฟเลย)
รถบัสจะมาจอดรอตรงนี้ครับ
อากาศข้างนอกเย็นมากครับ อาจจะเพราะมีฝนตกด้วย
วิวตรงทางออกจากสถานีรถไฟครับ
นั่งรถบัสมาไม่กี่นาทีก็ถึงหมู่บ้าน Kibune แล้วครับ
เดินมาเรื่อย ๆ ก็จะเจอทางเข้าศาลเจ้า Kibune ครับ
ออกจากบริเวณศาลด้านบน เราก็จะเจอร้านค้าข้างทางและได้ยินเสียงน้ำไหลจากธารน้ำครับ ซึ่งบรรยากาศมันดีมากจริง ๆ สดชื่นมาก ๆอากาศข้างนอกเย็นมากครับ อาจจะเพราะมีฝนตกด้วย
วิวตรงทางออกจากสถานีรถไฟครับ
นั่งรถบัสมาไม่กี่นาทีก็ถึงหมู่บ้าน Kibune แล้วครับ
เดินมาเรื่อย ๆ ก็จะเจอทางเข้าศาลเจ้า Kibune ครับ
พวกเราต้องรีบออกจากหมู่บ้าน Kibune เพราะฝนเริ่มตกลงมาอีกรอบครับ คราวนี้ไม่ได้เอาร่มมาด้วย เราออกจากสถานี Kibune-guchi ประมาณ 15.00 น. ถึงสถานี Gion-Shijo ก็ประมาณ 16.00 น. ครับ
พอถึงแถว Gion เพื่อนผมก็อยากใส่ชุดกิโมโนครับ ก็เลยพาไปหาร้านเช่ากิโมโนแถวนั้น แต่วันนั้นฟ้ามืดเร็วมาก ๆ ครับ นี่ขนาดแค่ 4 โมงกว่า ๆ ก็มืดแล้ว เลยได้ถ่ายรูปกันมานิดหน่อยครับ แล้วก็แวะไปศาลเจ้า Yasaka กัน ได้ไปกินเนื้อโกเบย่าง ไม้ละ 500 เยน อร่อยมาก ๆ ครับ คนต่อคิวกันเต็มเลย
รอเพื่อนเช่าชุดกิโมโนก็ถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยครับ
ร้านเนื้อโกเบย่างครับ
ศาลเจ้า Yasaka ครับ วันนี้มืดเร็วมาก ๆ ถ่ายรูปไม่ค่อยได้เลย
ร้านเนื้อโกเบย่างครับ
ศาลเจ้า Yasaka ครับ วันนี้มืดเร็วมาก ๆ ถ่ายรูปไม่ค่อยได้เลย
หลังจากเพื่อนผมใส่ชุดกิโมโนเสร็จแล้ว ผมก็พาเพื่อนไปถ่ายรูปแถว ๆ Gion Shiragawa ครับ ซึ่งแถวนั้นจะมีคลองเล็ก ๆ ด้วยครับ แต่ไปถึงก็มืดแล้ว เลยได้ถ่ายรูปนิดหน่อยครับ พอหลังจากนั้นก็พาเพื่อนไปคืนชุดให้ทันเวลาที่เค้ากำหนดครับ คืนชุดเสร็จก็ไปหาเนื้อย่างกินกันแถว Kawaramachi ครับ รอคิวนานมาก ๆ เป็นชั่วโมง ๆ ครับ พอกินเสร็จก็กลับ Hostel นอนหลับยาว ๆ วันนี้เหนื่อยมาก ๆ ผมนี่เหมือนจะไม่สบาย เลยซัดยาไปก่อนเลย
วันที่เจ็ด (วันสุดท้าย) : 19 พฤศจิกายน 2560
วันนี้พวกเรากะจะไปเที่ยวที่เกียวโต 2 ที่ คือวัด Kinkakuji (วัดทอง) กับศาลเจ้า Fushimi-Inari กะจะเก็บตกซะหน่อยครับ การวางแผนของพวกเราในวันนี้ก็คือเนื่องจากบัตร Kansai Thru Pass ของพวกเราใช้ไปหมดแล้ว 3 วัน วันนี้พวกเราเลยต้องออกค่าเดินทางกันเอง โดยเมื่อคืนนี้พวกเราได้ไปซื้อบัตรรถบัส Kyoto Bus 1 Day Pass ที่ 7-11 ในราคา 500 เยนครับ ก็กะว่าจะขึ้นรถบัสเที่ยวรอบเมืองวันอาทิตย์ซะหน่อย แต่ไม่เป็นไปตามคาดครับ เพราะรถติด คนเยอะ เลยได้เที่ยวแค่วัด Kinkakuji ครับ ส่วนศาลเจ้า Fushimi-Inari พวกผมก็นั่งรถบัสต่อไปจนถึงศาลเจ้านะครับ แต่ก็ต้องเผื่อเวลากลับไปโอซาก้าอีก เลยไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปแถวศาลนี้ครับ เลยตัดสินใจกินราเมนกันก็แล้วกัน
ตอนเช้าพวกเรา Check-out ออกจากที่พัก แล้วก็ฝากกระเป๋าไว้กับที่พัก เพื่อออกไปเที่ยวกันครับ ที่แรกที่จะไปเลยคือวัด Kinkakuji ครับ ก็ไปขึ้นรถบัสผิดสถานี เพราะผมดูแผนที่ผิดนิดหน่อย ฮ่าๆ คนไปวัดทองกันเยอะมากครับ รถบัสคนแน่นเลย การเดินทางก็นั่งรถบัสสาย 12 หรือ 59 ไปลงสถานี Kinkakuji-mae นะครับ ไปไม่ยาก ...แต่วันอาทิตย์รถติดนิดหน่อย จากสถานีที่ผมไปขึ้นก็ถือว่าค่อนข้างไกลเลยครับ วางแผนผิดมาก ๆ
ได้ยืนตลอดสายครับ ฮ่า ๆ
แต่แล้วก็กว่าจะถึงครับ วัดนี้เสียค่าเข้าคนละ 400 เยนครับ (คนแน่นมาก ๆ แทบจะเหยียบเท้ากัน)
มุมนี้กว่าผมจะถ่ายได้ ผมรอมุดอย่างเดียวเลย ฮ่า ๆ
ผมชอบกดน้ำจากตู้กดน้ำที่โน่นครับ สนุกดี อันนี้เป็น Hot Mile Latte ได้แก้วมาเป็นแบบนี้เลย ชอบมาก อิอิแต่แล้วก็กว่าจะถึงครับ วัดนี้เสียค่าเข้าคนละ 400 เยนครับ (คนแน่นมาก ๆ แทบจะเหยียบเท้ากัน)
มุมนี้กว่าผมจะถ่ายได้ ผมรอมุดอย่างเดียวเลย ฮ่า ๆ
ตอนเดิน ๆ อยู่ในวัด Kinkakuji ดันมีฝนลงเม็ดซะงั้น พวกเราเลยรีบออก แล้วไปศาลเจ้า Fushimi-Inari กันต่อเลยครับ โดยเราขึ้นรถบัสจากสถานี Kinkakuji-mae ไปต่อรถที่สถานี Shijo-Kawaramachi เพื่อไปต่อรถบัสอีกทีที่สถานี Kyoto ครับ ซึ่งเป็นสถานีใหญ่ แล้วไปต่อสาย 5 เพื่อไปศาลเจ้า Fushimi-Inari ครับ แต่อย่างที่บอกว่าวันนี้คนเยอะ รถก็ติด วางแผนผิดมาก ๆ เลยทำให้ไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปในศาลเลย พวกเราเลยแวะกินราเมนแถวนั้นแล้วก็กลับครับ
พวกผมตัดสินใจไม่ขึ้นรถบัสแล้ว เพราะรถติด บวกกลับไกลด้วยครับ เลยตัดสินใจนั่งรถไฟเร็วกว่าครับ เลยต้องเสียค่ารถไฟ 210 เยนครับ ไปลงสถานี Kiyomizu-Gojo แล้วก็เดินไปที่พักครับ ซึ่งไม่ไกลมาก
อันนี้รูปตอนอยุ่สถานีรถไฟ Fushimi-Inari ครับ
ออกจากสถานีกำลังเดินกลับที่ Hostel เพื่อไปเอากระเป๋าเดินทางครับ
ผ่านแม่น้ำ Kamo แดดเพิ่งมาออกตอนที่เรากำลังจะกลับโอซาก้า
เมื่อเรากลับไปรับกระเป๋าที่ Hostel เรียบร้อยก็เดินไปขึ้นรถบัส ไปลงสถานี Shijo-Kawaramachi แล้วต่อรถไฟสาย Hankyu Kyoto Line for Umeda กลับโอซาก้าครับ โดยค่าโดยสารอยู่ที่ 400 เยนครับ
พอถึงสถานี Umeda พวกเราก็ต้องต่อรถไฟใต้ดินไป Namba เพื่อฝากกระเป๋าไว้กับ Locker ครับ เสียเงินอีก 600 เยน เพราะพวกเราจะ Shopping แถว Dotonbori กันครับ หลังจากช้อปเสร็จ เราก้ต้องออกจากโอซาก้า ไปสนามบินคันไซ ครับ โดยไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ก่อน แล้วก็ไปขึ้นรถไฟสถานี Nankai Namba สายที่เคยขึ้นมาตอนจะเข้ามาโอซาก้าครับ
ก็ถึงเวลากลับและจบทริปโอซาก้าและเกียวโต 7 วัน 6 คืนของผมครับ ยังเที่ยวไม่จุใจเลย ผมก็จะต้องกลับไปอีกให้ได้ครับ ยังไงผมฝากกระทู้นี้ไว้ด้วยนะครับ หวังว่าจะสนุกกับการท่องเที่ยวไปกับผม
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ
รายละเอียดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปเที่ยวครั้งนี้ครับ
ค่าเดินทาง
1. ค่าเครื่องบิน 17,100 บาท
พวกผมบินของ Airasia X นะครับ บินตรง 5 ชั่วโมงนิด ๆ ก็ถึงแล้ว ซื้อแบบไป-กลับเลย เป็นครั้งแรกที่ผมเดินทางไปต่างประเทศเลย ที่นั่งแบบปกติเลย ไม่ได้สบายมากเท่าไร เพราะยืดขามากไม่ได้ แต่ดีกว่ารถทัวร์ที่ผมเคยนั่งกลับบ้านนะ แต่ก็โอเคครับสำหรับ 5 ชั่วโมง
2. ค่าตั๋วรถไฟเข้าเมืองโอซาก้า Nankai Limited Express Rapi:t 620 บาท
พวกผมต้องเดินทางเข้าไปที่พักแถว Namba เลยเลือกใช้บริการของรถไฟ Nankai Limited Expredd Rapi:t เพราะว่าเร็วกว่ารถไฟปกติครับ ใช้เวลาเดินทางแค่ 34 นาที ก็ถึงสถานี Namba แล้ว อีกอย่างก็จองที่นั่งง่ายมาก ๆ สะดวกสบาย เบาะนุ่มมาก ๆ นั่งสบายกว่าเครื่องบินอีก มีที่เก็บกระเป๋าและก็มีห้องน้ำด้วยนะครับ มันดีมาก ๆ ผมแนะนำเลย อันนี้ผมซื้อคั๋วจากไทยไปนะครับ ซื้อตอนมีงานเที่ยวญี่ปุ่นจะได้ราคาที่ถูกกว่าไปซื้อที่สนามบินคันไซนะ
3. ค่าเดินทางในโอซาก้า วันที่ 13-15 พฤศจิกายน 510 บาท + บัตร Osaka 1 Day Pass 240 บาท
การเดินทางในโอซาก้าผมมีทั้งที่ซื้อบัตร Osaka 1 Day Pass โดยใช้วันที่ 14 พฤศจิกายน และแบบไม่ซื้อบัตรนะครับ กดตู้เอา เพราะไม่ค่อยได้เดินทางไปไหน รู้สึกว่าไม่คุ้ม ถ้าต้องซื้อบัตร
4. ค่าเดินทางในเกียวโต 16-18 พฤศจิกายน ใช้บัตร Kansai Thru Pass 3 Day 1,515 บาท
ส่วนค่าเดินทางในเกียวโต โดยเดินทางจากโอซาก้าตั้งแต่วันที่ 16 ไปเกียวโต พวกผมก็เริ่มใช้บัตร Kansai Thru Pass กันเลยครับ บัตรใช้ได้ 3 วัน (นับเป็นวันนะครับ) สะดวกตรงที่ขึ้นรถไฟสาย Hankyu Kyoto Line ไปเกียวโตก็ได้ และยังขึ้นรถบัสในเกียวโตได้อีกด้วย คุ้มมาก ๆ ครับ อันนี้ก็ซื้อมาจากไทยนะครับ
5. ค่าเดินทางของวันที่ 19 พฤศจิกายน ใช้บัตร Kyoto City Bus 1 Day 150 บาท + ค่ารถไฟ 252 บาท
พอดีวันสุดท้าย บัตร Kansai Thru Pass ของพวกเราที่ซื้อมาจากไทยหมดแล้ว พวกเราเลยเลือกที่จะซื้อบัตรรถบัส Kyoto City Bus 1 Day ในราคา 500 เยน (ซื้อได้ที่สถานีรถบัสใหญ่ ๆ ที่ Kyoto Station, 7-11, ซื้อกับคนขับรถบัสก็ได้ครับ) บัตรนี้ใช้ได้เฉพาะรถบัสในเกียวโตเท่านั้น แล้วก็มีขึ้นรถไฟกลับโอซาก้า และขึ้นไปสถานี Namba ด้วยครับ
6. ค่าฝากกระเป๋าที่ Locker สถานี Namba 180 บาท
อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเป็นวันหรือว่าอะไร แต่มันราคา 600 เยน ใช้ง่ายมาก ๆ แค่แลกเงินเป็นเหรียญ 100 เยน แล้วก็เอามาหยอดที่ตู้ Locker ที่เราจะฝากครับ
ค่าที่พัก
1. ค่าที่พักที่โอซาก้า 3 คืน 2,193 บาท/คน (Airbnb)
เราเลือกจองจาก Airbnb ครับ เพราะนอนได้หลายคน เอาไว้นอนกับเก็บกระเป๋า เลยไม่ซีเรียสว่าจะต้องดี ขอแค่สะดวกในการเดินทางก็พอ กับราคาที่ถูกครับ เพราะช่วงที่ไปรู้สึกที่พักพวก Hotel กับ Hostel จะราคาแพงอยู่ครับ
2. ค่าที่พักที่เกียวโต 3 คืน 2,610 บาท/คน (Booking)
ตอนแรกก็ดู Airbnb ไว้ครับ แต่ราคาช่วงที่ไปค่อนจ้างดีดใช้ได้เลย เราเลยเลือกนอน Hostel กันครับ ก็เลือกหลายที่อยู่ แต่ละที่ก็ราคาแพงมากครับ สำหรับที่เกียวโตบางที่ที่อยากพักก็เต็ม แต่มาเจอที่พักชื่อ Hostel Kyoto Kizuna เพิ่งเปิดใหม่ ๆ เลย ทำเลก็ไม่ได้ใกล้รถไฟฟ้ามากครับ แต่ดูใหม่ สะอาดดี ราคาไม่แรง อันนี้ผมจองใน Booking นะครับ เค้าให้จองก่อนแล้วไปจ่ายเงินที่โน่นเอา (จ่ายเงินเยนครับ) ก็ไม่ต้องกังวลเลย เพราะไม่มีชาร์จอะไรเพิ่ม และไม่ต้องติดต่อห้องพักล่วงหน้าด้วย สะดวกมาก ๆ ครับ (ตอนแรกผมก็กังวลนะ ไม่เคยไปจ่ายที่โน่น)
ค่าเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ + USJ
1. บัตรเข้าUSJ+Express 4 เครื่องเล่น รวมแล้ว 3,827 บาท
2. ค่าเข้าวัด Kiyomizu-Dera 120 บาท
3. ค่าเข้าวัด Kinkakuji 120 บาท
4. ค่าเข้าชมสวนในวัด Tenryuji 150 บาท
(จริง ๆ แพลนจะไปวัดเยอะกว่านี้ครับ แต่ก็เก็บไม่ครบ เพราะตื่นกันสาย ฮ่า ๆๆ)
ที่สำคัญและขาดไม่ได้ในการติดต่อสื่อสารเลยคืออินเทอร์เน็ตครับ ผมเลือกใช้ net sim ของ AIS sim2fly 4gb 8 วัน 399 บาท/2 คน
รายละเอียดทั้งหมดครับ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ *Kasalong_capture สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม