
สำหรับจังหวัดที่มีจุดชมทะเลหมอกที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามของเมืองไทย คงต้องมีชื่อของ "เชียงราย" ติดเป็นอันดับต้น ๆ ในดวงใจใครหลายคนอย่างแน่นอน เหมือนอย่างความประทับที่เกิดขึ้นกับ คุณม่วงมหากาฬ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ขึ้นไปสัมผัสกับความงามของธรรมชาติบนยอดดอยอย่าง "ภูชี้ดาว"..."ภูชี้ฟ้า" และ "ภูหลงถัง" มาแล้ว ภูทั้งสามเป็นที่ร่ำลือในความสวยงามของจุดชมวิวทิวทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชื่นชมทะเลหมอกในมุมกว้างแบบ 360 องศา เป็นเหมือนเมืองสวรรค์บนยอดดอย แหม !!! พูดมาขนาดนี้แล้วมีใครบ้างจะไม่อยากไป อย่ารอช้ารีบตามเราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ












บทบันทึกการเดินทางฉบับนี้เป็นการเรียงร้อยเอาความงดงามของ 3 ภู มารวมไว้ด้วยกัน ดินแดนแห่งดอกไม้ สายหมอก และขุนเขาเหนือสุดในสยาม "เชียงราย"
อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางในแบบฉบับของผม ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL
ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะมีโอกาสได้เชยชมความงดงามของที่นี่ ผมมาเยือนที่นี่หลายครั้งเพื่อให้ได้สัมผัสภาพในจินตนาการใบนี้ แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะใกล้เคียงภาพในความฝัน

การเดินทางในทริปนี้เริ่มต้นที่ไร่บุญรอด ดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าใครมาเชียงรายต้องมาเยี่ยมเยือน

ยามเย็นของที่นี่บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุขจากผู้คนที่มาจากต่างที่ เมื่อรวมกับดอกไม้ในสายลมหนาว ช่างเป็นบรรยากาศที่โรแมนติกทีเดียว

เป็นอีกครั้งที่ผมมายืนที่เดิมกับบรรยากาศที่คุ้นเคย แต่ที่แตกต่างไปจากเมื่อครั้งวันวานคือบอลลูนยักษ์หลากสีที่ลอยไปมาอยู่เบื้องหลัง

ช่วงเวลานี้ของที่นี่เค้ากำลังจัดงานที่มีชื่อว่า ฟาร์ม เฟสติวัล ออน เดอะฮิลล์ ครั้งที่ 4 มีการแสดงดนตรีคอนเสิร์ตในช่วงค่ำคืนท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น

ดอกไม้หลากสีสันเป็นบรรยากาศของการพักผ่อนอย่างแท้จริง จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ยามเย็นแบบนี้จะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน

บ้างก็มาขี่จักรยานออกกำลังกาย บ้างก็มานั่งเล่นบนสนามหญ้า บ้างก็มาเก็บภาพความประทับใจเหมือนกับผม

บางครั้งความสวยงามก็มีอยู่ในทุกที่ เพียงแต่เราเปิดใจมองก็จะเห็นความงดงามนั้น

นอกจากดอกไม้ที่สวยงามเหล่านี้ สิ่งหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบหลักคงเป็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะปนความสุขจากผู้คนโดยรอบที่หาได้ไม่ยากจากที่นี่

ในส่วนของไร่ชายามนี้โอบล้อมไปด้วยดอกคอสมอสหลากสีสันเมื่อเข้ามาด้านใน

มีทางเดินเล็ก ๆ ที่ทำเอาไว้ให้ได้สัมผัสกับความสวยงามของดอกคอสมอสอย่างใกล้ชิด

เป็นความงามที่ดูแปลกตาไปจากครั้งก่อนที่ได้มาเยือน ทุ่งดอกคอสมอสที่ปลูกบนเนินเขาเล็ก ๆ ทำให้มองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามน่าประทับใจ

และยิ่งเมื่อรวมเข้ากับบรรยากาศของแสงสุดท้ายสีทอง ภาพถ่ายหนึ่งใบคงจะบรรยายความงดงามได้ไม่เหมือนกับการสัมผัสด้วยสองตา

จากไร่บุญรอดผมใช้เส้นทางไปยังอำเภอเทิง เพื่อขึ้นสู่ "ภูชี้ฟ้า" นี่เป็นแผนที่การเดินทางทั้งหมด เริ่มจากภูชี้ฟ้า ภูชี้ดาว และสุดท้ายที่ภูหลงถัง (วนอุทยานพญาพิภักดิ์)

เวลาราวตี 5 ผมเริ่มเดินเท้าขึ้นสู่ยอดภู วันนี้ลมค่อนข้างแรง อากาศหนาวเย็น และยังมืดสนิท แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเริ่มทยอยเดินขึ้นไปบ้างแล้ว

ความรู้สึกในตอนนี้ผมเริ่มวิตกกังวล กังวลในเรื่องลมที่ค่อนข้างแรงอาจพัดพาเอาสายหมอกให้จางหาย และผมไม่อยากพลาดมันอีกครั้ง

แต่แล้วความกังวลก็พลันเปลี่ยนเป็นความสุข เมื่อแสงแรกเริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า มองเห็นอะไรชัดเจนขึ้น

ทะเลหมอกสีขาวนวลที่นอนสงบนิ่งอยู่เบื้องล่าง มันช่างสวยงามจับใจเหลือเกิน

นักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่จะอยู่ด้านบนยอดภู แต่สำหรับผมขออยู่ในมุมนี้ดีกว่า มุมที่มองเห็นได้เด่นชัดกับคำว่า "ภูชี้ฟ้า"

เพื่อนของผมมักจะถามผมบ่อย ๆ ว่าทำไมถึงชอบมาที่นี่ กับการมาเยือน 4 ครั้ง ในรอบปีที่ผมคิดว่ามันยังมาไม่ถึงที่สุด

ผมไม่เคยเจอทะเลหมอก เจอแสงที่สวยเท่าวันนี้เลย ถ้าเพื่อนคนนั้นถามผมอีกว่าเจอแล้วจะยังอยากมาอีกไหม

คำตอบสำหรับผมคือยังอยากมาเสมอ เพราะผมหลงรักที่นี่

ภูชี้ฟ้าในวันนี้ที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาเยอะพอสมควรจนดูเบียดเสียดและอันตราย

ได้มองเห็นรอยยิ้มจากผู้คนอย่างมีความสุข เราก็พลอยมีความสุขไปด้วย

บรรยากาศโดยรอบที่เปลี่ยนไปมากจากที่ได้เคยมาเยี่ยมเยือน ราคาที่พักที่ปรับตัวสูงขึ้น ร้านขายของที่ระลึก ของฝากมีเพิ่มมากขึ้น แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่มนตร์เสน่ห์จะลดน้อยลง

อากาศที่หนาวเหน็บแต่ผมกลับรู้สึกอบอุ่นไปด้วยความสุข

คงเหมือนกับหลาย ๆ คนที่กำลังมีความสุข เดินขึ้น-ลงไปมาอยู่หลายรอบเพื่อเก็บภาพความประทับใจให้มากที่สุด

ถ้ามีสักภาพที่เป็นธรรมชาติที่สุดก็คงต้องเป็นภาพนี้ ภาพที่ผู้คนแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ

แม้ฤดูกาลนี้จะเป็นฤดูกาลที่งดงามที่สุด แต่ผมยังรู้สึกลึก ๆ ว่าทุกฤดูกาลมีความสวยงามซ่อนอยู่ในตัวของมันเอง

ผมมาที่นี่ในทุกฤดูกาลที่ผ่านมา ในฤดูร้อนผมไม่เจอทะเลหมอก แต่อากาศก็หนาวเย็นไม่แตกต่างมากและฟ้าค่อนข้างใส

ฤดูฝนผมมาที่นี่แต่เจอหมอกที่ฟุ้งจนมองไม่เห็นอะไรเลย และนั่นก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่สวยงาม

ผมใช้เวลาอยู่ที่นี่ร่วม 3 ชั่วโมง มันเป็น 3 ชั่วโมง ที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ทางลงยังคงใช้เส้นทางเดิมระยะทางราว 700 เมตร แม้จะมีคนเริ่มทยอยลงบ้าง แต่ก็ยังมีคนเริ่มเดินขึ้นสวนมาอยู่เป็นระยะ ๆ

เด็กน้อยชาวเขายืนร้องเพลงเพื่อหารายได้พิเศษมีให้เห็นเป็นระยะ ๆ บนพื้นฐานของความสุจริตและน่าเอ็นดู น่ายกย่องในสิ่งที่พวกเธอทำ

จากลาภูชี้ฟ้า ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ๆ ไม่ว่ากาลเวลาจะหมุนเวียนเปลี่ยนไป อะไร ๆ จะเปลี่ยนแปลง แต่ภูชี้ฟ้าก็ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวลำดับต้น ๆ เสมอ

จากภูชี้ฟ้าผมมุ่งหน้าไปยัง "ภูชี้ดาว" ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 10 กิโลเมตร เส้นทางที่ลัดเลาะไปตามไหล่เขา ยามนี้ยังคงมีดอกบัวตองให้เห็นเป็นระยะ ๆ

ปลายเดือนพฤศจิกายนล่วงเข้าสู่ธันวาคมแล้ว ดอกบัวตองก็ยังไม่ร่วงโรย แต่กลับมีเยอะมากมายจนต้องแวะเก็บภาพความประทับใจ

บ้านร่มโพธิ์เงินคือจุดหมายปลายทางที่พวกเราต้องจอดรถทิ้งเอาไว้ สำหรับภูชี้ดาวการเดินทางขึ้นไปต้องใช้รถโฟร์วีลเท่านั้น บริเวณปากทางแห่งนี้จะมีรถบริการให้เช่าโดยชาวบ้านคนท้องถิ่นที่ชำนาญทาง ข้อแนะนำควรเช่ารถขึ้นไปดีกว่าครับ เพราะทางค่อนข้างลำบากมากและลื่นบางจุด สูงชันมาก

เส้นทางที่ลัดเลาะผ่านป่าเขาที่อุดมสมบูรณ์ ระยะทางราว 3 กิโลเมตร รถจะมาจอดที่บริเวณจุดจอดด้านบนและต้องเริ่มต้นเดินเท้าอีกราว 400 เมตร ขึ้นไปยังจุดชมวิวภูชี้ดาวที่อยู่ด้านบน ควรเตรียมน้ำดื่ม รองเท้าที่กระชับและร่างกายให้พร้อมครับ

ด้านบนของภูชี้ดาวในวันนี้ยังคงมีทะเลหมอกให้ได้ชมแม้จะเป็นเวลาร่วม 8 โมงแล้ว หลักเขตบ่งบอกเขตแดนอย่างชัดเจน จุดที่พวกเรายืนคือสยาม ส่วนทะเลหมอกด้านล่างคือประเทศลาว

ทิวเขาที่สลับซับซ้อนปูพรมไปด้วยทะเลหมอกสีขาวนวล ช่างสวยงามไม่แพ้ภูชี้ฟ้าจริง ๆ

ภูชี้ดาว...แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดเชียงราย และกำลังได้รับการจับตามอง

ด้วยวิวทิวทัศน์และทะเลหมอกที่สวยงาม แม้การเดินทางขึ้นมาจะค่อนข้างลำบากสักนิด แต่เมื่อมายืนตรงจุดนี้แล้วทำให้รู้สึกหายเหนื่อยขึ้นมาทันที

สำหรับทะเลหมอกและดินแดนของที่นี่ เชื่อมต่อไปยังภูชี้ฟ้ายังคงเป็นผืนเดียวกัน ด้วยเหตุนี้การมาเยือนภูชี้ฟ้าต่อด้วยการขึ้นมาที่ภูชี้ดาวจึงไม่ไกลกันนัก

ดวงตะวันสาดแสงส่องกระทบผืนหมอก แม้แสงแดดจะแรงกล้าแค่ไหนแต่ด้านบนก็ยังคงหนาวเย็น และไม่มีทีท่าที่จะเหือดหายของสายหมอก

ภาพบางมุมที่ดูอลังการและสวยงาม ขุนเขาที่ยิ่งใหญ่โดยไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงต่างแดน

จากจุดนี้ยังมีเส้นทางเดินให้ขึ้นไปยังจุดสูงสุดของภูชี้ดาวด้านบนได้อีก เป็นเส้นทางเล็ก ๆ ที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินเป็นพิเศษ

เมื่อขึ้นมาด้านบนจะมีรั้วไม้ไผ่เล็ก ๆ กั้น แต่ไม่แข็งแรงมากนัก มีหลักเขตบอกดินแดน และมีความสุขอยู่รอบตัวเรา 360 องศา

มองไปทางด้านซ้าย

มองไปทางด้านขวา

และมองลงไปด้านล่าง

ผมแน่ใจว่ามุมมองผ่านเลนส์ไม่ได้งดงามเทียบเท่าการมองด้วยสองตา

และผมยังแน่ใจอีกว่าที่นี่งดงามไม่แพ้ที่ไหน ๆ อย่างแน่นอน

ผมลงมาสู่ด้านล่างตรงที่เราจอดรถทิ้งเอาไว้ ตรงนี้จะมีบ้านอยู่ 2-3 หลัง และมีร้านขายก๋วยเตี๋ยวแบบบ้าน ๆ คุณยายกำลังง่วนกับการเป่าเตาไฟต้มน้ำก๋วยเตี๋ยวอยู่พอดี

ชุมชนแถบนี้ยังเป็นชุมชนชาวจีนที่พูดไทยไม่ชัดนัก ผมแอบดูทีวีที่เปิดทิ้งเอาไว้ก็ยังเป็นช่องสัญญาณเป็นภาษาจีน และก๋วยเตี๋ยวของคุณยายที่ดูธรรมดาแต่ผมกลับรู้สึกอร่อยอย่างบอกไม่ถูก

จากภูชี้ดาวผมเดินทางมายัง "ภูหลงถัง" ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 30 กว่ากิโลเมตร ในเขตอำเภอขุนตาล จังหวัดเชียงราย เส้นทางที่ลัดเลาะไต่ไปตามสันเขา ทำให้คิดถึงเส้นทางลอยฟ้าของจังหวัดน่านขึ้นมาทันที

แม้ถนนจะลาดยางค่อนข้างดีแต่ก็สูงชันพอสมควร ควรระมัดระวังในการเดินทางเป็นพิเศษ

ถนนบางช่วงสวยงามทีเดียวก่อนถึงภูหลงถัง

"ภูหลงถัง สระมังกร ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์" ซุ้มประตูตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นเมื่อก้าวเข้ามาในดินแดนแห่งนี้

ในอดีตดินแดนแถบนี้มีการสู้รบกันอย่างยาวนานระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับรัฐบาลไทย ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงเสด็จเยี่ยมราษฎรในปี 2525 และทรงประทับรอยพระบาทเอาไว้ ณ ฐานปฏิบัติการพญาพิภักดิ์แห่งนี้ ทำให้ฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์แสดงความจงรักภักดีด้วยการเชิญธงชาติไทยขึ้นเหนือฐานที่มั่นของตนทุกแห่ง และส่งมอบอาวุธยินยอมพร้อมเข้าร่วมพัฒนาชาติไทยในการต่อมา

"สระน้ำมังกร" เป็นสระน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ชาวเขาเผ่าม้งเชื่อว่าเป็นที่อยู่ของมังกร และให้ความเคารพเป็นอย่างสูง

"ดอยพญาพิภักดิ์" เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในการสู้รบในอดีต

ปัจจุบันได้จัดตั้งเป็นวนอุทยานแห่งชาติพญาพิภักดิ์ โดยมีศาลาประทับรอยพระบาทตั้งอยู่บริเวณนี้รวมไปถึงอาคารพิพิธภัณฑ์รูปภาพประวัติศาสตร์ เป็นการรวบรวมรูปภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในอดีต ตลอดจนภาพถ่ายทางประวัติศาสตร์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงเสด็จฯ เยี่ยมเยียนเหล่าทหารหาญและพสกนิกร ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2525

โดยรอบบริเวณสามารถชมวิวทิวทัศน์ในมุมสูงได้อย่างงดงามตระการตา

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมเดินทางไปเที่ยวกับบันทึกการเดินทางในชุดนี้ของผม แล้วพบกันใหม่ในทริปต่อไป สวัสดีครับ
อีกหนึ่งพื้นที่การเดินทางในแบบฉบับของผม ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณม่วงมหากาฬ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก ม่วงมหากาฬ LIFE FOR TRAVEL