เที่ยวญี่ปุ่นเก๋ไก๋กว่าใคร กับ 10 ที่เที่ยวเปิดมุมมองใหม่ ๆ

เที่ยวญี่ปุ่น

          ประเทศญี่ปุ่น มีภูมิประเทศอันเป็นเอกลักษณ์ ด้วยเป็นหมู่เกาะกลางทะเลที่ทอดยาวอยู่บนมหาสมุทรแปซิฟิก ประกอบไปด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยประมาณ 6,800 เกาะ แต่ละด้านของประเทศมีภูมิอากาศและลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกันไป จึงทำให้แต่ละเมืองนั้นมีความสวยงามไม่เหมือนกัน และยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจซ่อนตัวอยู่อีกมากมายในญี่ปุ่น วันนี้กระปุกดอทคอมจะขออาสาพาไปเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวยังสถานที่ท่องเที่ยวสุดอันซีนของญี่ปุ่น ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวมีมุมมองในการเที่ยวญี่ปุ่นที่แตกต่างออกไป จะมีที่เที่ยวที่ไหนที่น่าสนใจบ้างนั้นตามเรามาเลยค่ะ

1. แช่อนเซ็นท่ามกลางป่าไม้หลากสีสัน ที่คุโรยุอนเซ็น (KuroyuOnsen) จังหวัดอาคิตะ

เที่ยวญี่ปุ่น

          ท่ามกลางป่าไม้และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์บนเชิงเขา Nyuto-zan ในอุทยานแห่งชาติโทวาดะ ฮาจิมันไท (Towada-Hachimantai National Park)  คุโรยุอนเซ็น ได้ซ่อนตัวอยู่อย่างกลมกลืน ด้วยอาคารไม้เก่าแก่ดั้งเดิมที่เปิดบริการมาอย่างยาวนานมากกว่า 340 ปี สัมผัสกับการใช้ชีวิตช้า ๆ เหมือนย้อนเวลากลับไปในอดีต ใส่ยูกาตะเดินชมความงดงามของดินแดนแห่งนี้ แล้วลงไปแช่อนเซ็นสีเมฆหมอกที่ส่องสะท้อนแสงไฟรำไรระยิบระยับในบ่อที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่กำลังผลัดใบเปลี่ยนสีเป็นสีสันต่าง ๆ ทั้งสีเหลือง สีส้ม สีแดง ภายใต้ไอหมอกของผืนป่าและไอร้อนจากบ่ออนเซ็น พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์รอบข้าง แต่ถ้าหากใครชอบความเป็นส่วนตัวที่มีก็มีบ่ออนเซ็นในที่ร่มไว้บริการเช่นกัน

เที่ยวญี่ปุ่น

          คุโรยุอนเซ็น ไม่ได้สวยเพียงแค่ฤดูกาลใบไม้เปลี่ยนสีเท่านั้น เพราะที่นี่อากาศเย็นตลอดทั้งปี ยิ่งในหน้าหนาว หิมะขาวโพลนจะปกคลุมไปทั่ว แต่บ่ออนเซ็นเหล่านี้จะช่วยคลายความหนาวได้เป็นอย่างดี และไม่ควรพลาดการจิบชาอุ่น ๆ แบบต้นตำรับชาวญี่ปุ่น พร้อมทั้งอาหารพื้นเมืองของคนท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้จะทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิตแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้สัมผัส หากได้ลองไปเยือนสักครั้งจะไม่ร้องกลับบ้านแน่นอน

          การเดินทาง

          1. จากสถานี JR Tokyo หรือสถานี JR Ueno ไปยังสถานี JR Tazawako โดยขึ้นรถไฟสาย JR Akita Shinkansen (Komachi) ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง จากนั้นต่อรถบัสที่จะไป Nyuto Onsen-kyo อีกประมาณ 50 นาที

          2. จากสนามบิน Akita ไปยังหมู่บ้านนิวโตอนเซ็น นั่งรถ Akita Airport Liner ใช้เวลา 2 ชั่วโมง (ต้องจองรถล่วงหน้า)

          ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Japanstory

2. ยลโฉมศิลปะบนนาข้าวสุดอลังการ (Tanbo Art) หมู่บ้านอินาคะดาเตะ จังหวัดอาโอโมริ

เที่ยวญี่ปุ่น

          ชวนมาตื่นตะลึงกับความคิดสร้างสรรค์ของคนญี่ปุ่น ที่เนรมิตนาข้าวธรรมดาให้กลายเป็นกระดาษผืนใหญ่ยักษ์ เพื่อนำต้นข้าวมาปลูกจินตนาการให้เติบโต จนเป็นงานศิลปะสุดอะเมซิ่ง บนผืนนาข้าวภายในหมู่บ้านอินาคะดาเตะ จังหวัดอาโอโมริ ในทุก ๆ ปี ชาวบ้านกว่าพันคนจะค่อย ๆ ช่วยกันบรรจงปลูกข้าวลงบนผืนนา โดยใช้พันธุ์ข้าวที่แตกต่างกัน ทั้งเขียว เหลือง ม่วง แดง มาปลูกลงบนนาข้าวเพื่อสร้างสีสัน แล้วใส่ปุ๋ย ให้น้ำต้นข้าวกินอย่างเต็มที่ จนมันเติบโตสมบูรณ์แล้วกลายเป็นภาพต่าง ๆ ตามคอนเซ็ปต์ในแต่ละปี โดยเรียกงานศิลปะนี้ว่า Tanbo Art

          ซึ่งในปีแรก (1990) ก็ทำเอาโลกตื่นตะลึงไปเลยทีเดียวกับภาพของภูเขาไฟอิวากิ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพื้นที่แห่งนี้ก็สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือนทุกปี หากต้องการชมความอลังการของนาข้าวเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องไปเช่าเฮลิคอปเตอร์ที่ไหน เพราะนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมนาข้าวได้จากด้านบนของหอคอย ที่อยู่ด้านหน้าของแปลงข้าว ช่วงที่ดีที่สุดในการไปชมศิลปะแห่งนาข้าว คือระหว่างเดือนกรกฎาคม-เดือนกันยายน เที่ยวแบบนี้สิถึงจะเรียกว่าเที่ยวญี่ปุ่นแบบหลุดกรอบ

          การเดินทาง

          1. จุดชมศิลปะบนนาข้าวใกล้ที่ทำการหมู่บ้าน : จากสถานี JR Hirosaki เดิน 1 นาที จะถึงสถานี Konan Railway Hirosaki (Konan Line) นั่งรถไฟ 25 นาที ลงที่สถานี Inakadate แล้วต่อแท็กซี่ 5 นาที จะถึง Inakadate-mura Observation Platform

          2. จุดชมศิลปะบนนาข้าวใกล้สถานี Tamboato : จากสถานี JR Hirosaki เดิน 1 นาที จะถึงสถานี Konan Railway Hirosaki (Konan Line) นั่งรถไฟ 23 นาที แล้วลงที่สถานี Tamboato หมายเหตุ มีบริการรถรับ-ส่งในช่วงเดือนที่มีการแสดงทันโบะอาร์ต โดยรถจะวิ่งไปมาระหว่างระหว่างจุดชมศิลปะบนนาข้าวทั้งสองแห่ง คือระหว่างหอคอย Inakadate observation platform และหอคอย Yayoi no Sato observation platform

          ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Japanstory

3. ดื่มด่ำกับบรรยากาศโรแมนติกสุดขีด ที่สวนดอกไม้ฮิตาจิ ซีไซด์ พาร์ค (Hitachi Seaside Park) จังหวัดอิบารากิ

เที่ยวญี่ปุ่น

          มหัศจรรย์แห่งดอกไม้บนพื้นที่กว่า 1,900,000 ตารางเมตร ซึ่งในแต่ละฤดูกาล สีสันของดอกไม้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปไม่ซ้ำกัน จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนสวนแห่งนี้ ได้รับประสบการณ์ในแต่ละวันไม่เหมือนกัน ดอกไม้นับพันนับล้านดอกจะบานสะพรั่งตลอดทั้งปีบนเนินเขากว้างที่มองได้ไกลสุดลุกหูลูกตา ดอกเนโมฟิลาจะออกดอกสีฟ้าม่วงไปจนสุดชายฝั่งทะเล สร้างความโรแมนติกแบบหวานละมุนในช่วงเดือนพฤษภาคม

          ส่วนพุ่มโคเชียสีแดงสดจะมาสร้างความร้อนแรงให้พื้นที่แห่งนี้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ที่ด้านหนึ่งของสวนฮิตาจิ ซีไซด์ พาร์คคือที่ตั้งของชิงช้าสวรรค์ยักษ์ ภาพของสวนดอกไม้แบบพาโนรามาสามารถมองได้จากบนนั้น หากอยากสัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดก็สามารถเดินชมดอกไม้ไปตามทางเดินเล็ก ๆ รอบ ๆ สวน หรือจะปั่นจักรยานก็ได้เช่นกัน ลองจับมือใครสักคนเดินเล่นไปเรื่อย ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายและบรรยากาศสุดโรแมนติก รับรองได้เลยว่าประสบการณ์สุดแสนพิเศษนี้จะตราตรึงอยู่ในใจคุณไปตลอดกาล

          การเดินทาง

          เดินทางจากโตเกียว เริ่มต้นที่สถานี JR Ueno ขึ้นรถไฟสาย Joban ขบวนด่วนพิเศษ ใช้เวลา 70 นาที แล้วลงที่สถานี JR Katsuta เดินออกทางประตู East Exit แล้วไปต่อรถบัส Ibaraki Kotsu ที่ป้ายรถหมายเลข 2 นั่งไปอีกประมาณ 20 นาที แล้วลงที่ป้าย Kaihin Koen Nishiguchi ก็จะถึงสวน (หรือถ้านั่งแท็กซี่จากสถานี JR Katsuta จะใช้เวลา 15 นาที) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Japanstory

4. ชมหมู่บ้านโบราณท่ามกลางหุบเขา หมู่บ้านโกคายามะ (Gokayama Village) เมืองโทยามะ

เที่ยวญี่ปุ่น

          เยี่ยมชมหมู่บ้านมรดกโลกอายุมากกว่า 100 ปี ซึ่งโอบล้อมไปด้วยหุบเขาสูงใหญ่ บ้านเรือนสไตล์ดั้งเดิมเรียกว่า Gassho-zukuri ตั้งอย่างโดดเด่นอยู่รอบหมู่บ้าน ลักษณะของบ้านจะมีทั้งหมด 3-4 ชั้น มีหลังคาทรงสูงเกือบ 60 องศา คล้ายกับการพนมมือ เพื่อป้องกันการถล่มของหิมะ อีกทั้งยังไม่ใช้ตะปูในการยึดเหนี่ยวโครงสร้าง ใช้เพียงภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวบ้านเท่านั้นในการสร้างบ้านเหล่านี้

          นอกจากนี้ยังได้สัมผัสกับอากาศเย็นสบายและท้องทุ่งนาสีเขียวในช่วงหน้าฝน ยลโฉมท้องทุ่งนาสีเหลืองทองตระการตากลางหุบเขาที่ล้อมรอบบ้านโบราณ และชมบรรยากาศหมู่บ้านที่อยู่ท่ามกลางหิมะในช่วงหน้าหนาว พร้อมกับแสงไฟที่ปรากฏขึ้นรำไรในยามค่ำคืน ส่องสะท้อนให้เห็นหิมะสีขาวโพลนทั่วทั้งหมู่บ้าน ความงดงามทั้งหมดของหมู่บ้านแห่งนี้ได้รับการจดทะเบียนให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1995

          แม้ว่าตลอดทั้งปี หมู่บ้านโกคายามะ จะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย แต่เสน่ห์อย่างหนึ่งที่ยังคงไม่เลือนหายไปก็คือวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวบ้าน ยามเช้าที่แสงอาทิตย์ค่อย ๆ ส่องสะท้อนกับหลังคาบ้าน นั่นก็เป็นเวลาที่บ่งบอกว่าได้เวลาที่จะออกไปดูแลไร่นา และเตรียมความพร้อมเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองแล้ว ไม่ว่านักท่องเที่ยวจะมาพักค้างคืนหรือแค่แวะมาเยี่ยมชมไม่กี่ชั่วโมง ก็จะได้ดื่มด่ำกับเสน่ห์เหล่านี้แน่นอน พร้อมหรือยังที่จะไปแชะภาพสวย ๆ คู่กับหมู่บ้านเก่าแก่แห่งนี้ เชื่อเถอะว่าบรรยากาศฉากหลังของคุณจะทำให้ใครหลายคนอิจฉาแน่นอน

          การเดินทาง

          1. จาก JR Tokyo ขึ้นรถไฟสาย JR Hokuriku Shinkansen ไปลงที่สถานี JR Shin Takaoka ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง จากนั้นต่อรถบัส Kaetsuno Bus ไปลงที่ป้าย Ainokura (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) หรือลงที่ป้าย Suganuma (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที)

          2. จากหมู่บ้าน Shirakawa-go สามารถนั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Ainokura (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที) หรือลงที่ป้าย Suganuma (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที)

          ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Japanstory

5. สัมผัสพาวเดอร์สโนว์ที่รุสุสึ สกี รีสอร์ท (Rusutsu ski resort) เมืองฮอกไกโด

เที่ยวญี่ปุ่น

          ความฝันแห่งการสัมผัสหิมะของคนเมืองร้อนจะปรากฏเป็นจริง ณ ที่แห่งนี้ รุสุสึ สกี รีสอร์ท เป็นสกี รีสอร์ทที่ครอบคลุมพื้นที่ภูเขาถึง 3 ลูก ให้บริการกิจกรรมกีฬาฤดูหนาวอย่างครบครัน ความมหัศจรรย์ของสกีรีสอร์ทแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เพราะหิมะที่นี่ไม่เหมือนกับหิมะที่อื่น ๆ ด้วยมีความนุ่ม ละเอียด ราวกับแป้งไม่ว่าจะล้มจากการเล่นสกีสักกี่ครั้งก็ไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด กลับทำให้หลงใหลอยากทิ้งตัวลงไปนอนกลิ้งเกลือกนานเท่าที่จะทำได้ ให้หัวใจได้จดจำกับประสบการณ์สุดตื่นเต้น

          ลองนั่งกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขาสูง แล้วไหลลื่นลงไปตามเนินลาดเอียงของภูเขาสู่ด้านล่างด้วยสกีหรือสโนว์บอร์ดเพื่อนยาก ซึ่งมีเนินให้เลือกลื่นไถลมากกว่า 37 จุด พร้อมกับการชมทัศนียภาพของภูเขาสูงโดยรอบที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวสวยงามระยิบระยับ เป็นกิจกรรมที่ทำให้หัวใจทำงานได้อย่างดีทีเดียว

          รุสุสึ สกี รีสอร์ทคือสวรรค์ของคนรักหิมะโดยแท้จริง เพราะแต่ละปีจะมีปริมาณหิมะโปรยปรายลงมาสูงกว่า 13 เมตร เมื่อคุณจับมันขึ้นมาโยนขึ้นสู่ท้องฟ้า มันจะลอยละล่องเบาราวกับปุยนุ่นเลยทีเดียว เพราะภายในหิมะประกอบด้วยอากาศถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของหิมะที่นี่ที่ไม่เหมือนใครแน่นอน อยากไปสัมผัสหิมะสุดอัศจรรย์นี้กันหรือยัง ทริปญี่ปุ่นที่วางแผนไว้อย่าปล่อยให้ รุสุสึ สกี รีสอร์ท หลุดออกจากโปรแกรมท่องเที่ยวญี่ปุ่นของคุณเชียว ลองไปสัมผัสสักครั้งแล้วคุณจะต้องหลงรัก

          การเดินทาง

          สำหรับนักท่องเที่ยวที่จะพักที่รุสุสึรีสอร์ต (Rusutsu Resort) หรือจะไปเที่ยวที่สวนสนุกรุสุสึ (Rusutsu Amusement Park) มีบริการรถบัสรับส่งฟรีจากสถานีรถไฟซัปโปโรไปยังรีสอร์ตโดยตรง สามารถเดินทางไปขึ้นรถบัสได้ที่หน้าออฟฟิศของทางรุสุสึรีสอร์ต (Rusutsu Resort Sapporo Sales Office) ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานี JR Sapporo ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Japanstory

6. สัมผัสชีวิตซามูไรที่ปราสาทสึรุกะ จังหวัดฟุกุชิม่า

เที่ยวญี่ปุ่น

          ปราสาทสึรุกะ (Tsuruga Castle) หรือปราสาทนกกระเรียน ตั้งอยู่ที่เมืองไอสึ-วากามัตสึจังหวัดฟุกุชิม่า เป็นปราสาทเก่าแก่อายุมากกว่า 600 ปี สถานที่ซึ่งจะพานักท่องเที่ยวไปสัมผัสกับร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของยุคสุดท้ายของเหล่าซามูไรในช่วงศตวรรษที่ 19

          ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1384 มีการบูรณะล่าสุดในปี ค.ศ. 1965 ปัจจุบันมี 5 ชั้น โอบล้อมไปด้วยต้นซากุระมากกว่า 1,000 ต้น เป็นจุดที่ชมซากุระบานที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และในช่วงหน้าหนาว หิมะจะโปรยปรายปกคลุมทั่วทั้งปราสาท แสงสีเหลืองจากไฟที่ตกแต่งตัวปราสาทจะส่องสะท้อนออกมายามค่ำคืน ทำให้ปราสาทนกกระเรียนแห่งนี้มีมนตร์ขลังอย่างไม่น่าเชื่อ

          การเดินทาง

          จากสถานี JR Tokyo ขึ้นรถไฟ JR Yamabiko Shinkansen ไปลงที่สถานี JR Koriyama จากนั้นเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย JR Banetsu Saisen แล้วลงที่สถานี JR Aizu-wakamatsu ต่อรถบัส 15 นาที ลงป้าย Tsurugajo-kitaguchi ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Japanstory

 7. ล่องเรือชิล ๆ ชมวิถีชีวิตชาวประมงเกาะซะโด

เที่ยวญี่ปุ่น

          เกาะซะโด อยู่ห่างจากเมืองนีกาตะทางด้านทิศตะวันตกประมาณ 45 กิโลเมตร ในอดีตพื้นที่ทางแถบเกาะซะโด เป็นเมืองการค้าที่สำคัญ เป็นเมืองท่าในการขนส่งสินค้าและกระจายสินค้าระหว่างภูมิภาคฮอกไกโดและภูมิภาคอื่น ๆ ของญี่ปุ่น แต่เมื่อมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างรถไฟและเรือที่ทันสมัยมากขึ้น เกาะแห่งนี้ก็กลับสู่ความเงียบสงบ ชาวบ้านใช้ชีวิตกันแบบเรียบง่าย วิถีชีวิตอย่างหนึ่งที่ยังคงหลงเหลือมาจนถึงปัจจุบัน ก็คือการใช้ทะไรบุเนะ หรือเรือที่มีลักษณะคล้ายอ่างกลมใบเล็กในการเก็บหอยและสาหร่าย

          นักท่องเที่ยวจะได้พบเห็นเรือลำน้อยนี้ลอยวนอยู่ริมชายฝั่งที่มีน้ำทะเลใสแจ๋วรอบ ๆ เกาะซะโด พร้อมกับฝีพายซึ่งเป็นชาวบ้านในชุดพื้นเมืองสีสันสดใสกับหมวกใบใหญ่ ที่จะพานักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมยังเกาะแก่งต่าง ๆ เพื่อเก็บหอยและสาหร่ายตามแบบวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านบนเกาะซะโด

          ทั้งนี้นอกจากการล่องเรือเที่ยวแล้ว ภายในเกาะซะโดยังมีหมู่บ้านโบราณชุคุเนงิ (Shukunegi), เหมืองทอง, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน Sadokoku Ogi, การแสดงกลองไทโกะ, ละครโน, เรือเก่า Sengoku-bune ให้ได้เที่ยวชมอีกด้วย โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินชม หรือปั่นจักรยานเพื่อชมธรรมชาติไปด้วยก็ได้

          การเดินทาง

          1. จาก JR Tokyo เดินทางโดยรถไฟสาย JR Joetsu Shinkansen ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงจะถึงสถานี JR Niigata จากนั้นต่อรถบัสหรือแท็กซี่ไปที่ท่าเรือ Niigata แล้วขึ้นเรือ jetfoil ไปยังท่าเรือ Ryotsu ใช้เวลา 1 ชั่วโมง จากท่าเรือ Ryotsu ต่อรถบัสไปยังเมืองโอกิ อีกประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

          2. จากโอซาก้า จากสนามบิน Itami ในโอซาก้า ถึงสนามบิน Niigata ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 5 นาที แล้วต่อเครื่องไปลงอีกทีที่สนามบิน Sado

          ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Japanstory

8. ดื่มด่ำกับความโรแมนติกของอุโมงค์ดอกวิสทีเรีย จังหวัดฟุกุโอกะ

เที่ยวญี่ปุ่น

          ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ภายในสวนคาวาจิ ฟุจิ การ์เด้น (Kawachi Fuji Garden) เมืองคิตะคิวชู จังหวัดฟุกุโอกะ จะกลายเป็นดินแดนสวรรค์ของคนที่รักดอกไม้อย่างดอกวิสทีเรีย ด้วยต้นวิสทีเรียกว่า 150 ต้น รวม 22 สายพันธุ์ ในเฉดสีต่าง ๆ จะออกดอกบานสะพรั่งห้อยระย้าลงมาตามอุโมงค์ทางเดิน ระยะทางยาวกว่า 80 เมตร เมื่อผู้เข้าชมเดินเข้าไปยังอุโมงค์แห่งนี้ จะได้เห็นดอกวิสทีเรียอย่างใกล้ชิด และถูกโอบล้อมไปด้วยดอกวิสทีเรียสีสันต่าง ๆ พร้อมกับกลิ่นที่หอมหวานของดอกวิสทีเรีย จะทำให้ทุกคนหลงใหลในดินแดนแห่งนี้ไปอีกนานเท่านาน

เที่ยวญี่ปุ่น

          ความงดงามไม่ได้สิ้นสุดอยู่แค่ในตัวอุโมงค์เท่านั้น เมื่อนักท่องเที่ยวเดินมาถึงที่ปลายสุดของอุโมงค์จะพบกับต้นวิสทีเรียอายุกว่า 100 ปี ที่ออกดอกเบ่งบานสร้างความสวยงามให้กับสถานที่แห่งนี้มาอย่างยาวนาน โดยดอกวิสทีเรียจะเผยโฉมให้นักท่องเที่ยวได้เห็นเพียง 1-2 สัปดาห์เท่านั้น คือในช่วงปลายเดือนเมษายนจนถึงกลางเดือนพฤษภาคม แต่ถ้าใครพลาดจากการชมดอกวิสทีเรีย ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม ภายในสวนคาวาจิ ฟุจิ การ์เด้นก็มีใบไม้เปลี่ยนสีให้ได้เข้าชมเช่นกัน

          การเดินทาง

          จากสถานี JR Hakata (Fukuoka) ขึ้นรถไฟสาย Kagoshima Main Line ไปลงที่สถานี JR Yahata จากนั้นต่อรถบัส Nishitetsu สาย 56 แล้วลงที่ป้าย Kawachi Elementary School เดินอีก 10-15 นาทีจะถึงสวน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Japanstory

9. ตื่นตาตื่นใจและลิ้มรสความอร่อยจากข้าวกล่องตามสถานีรถไฟ

เที่ยวญี่ปุ่น

          หัวข้อนี้อาจจะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยว แต่ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเยือนญี่ปุ่น กับการตามหา "เอคิเบน" (Ekiben) หรือข้าวกล่องตามสถานีรถไฟต่าง ๆ ซึ่งการรับประทานอาหารบนรถไฟเป็นวัฒนธรรมที่มีมาอย่างยาวนานของคนญี่ปุ่น จึงมีการริเริ่มจำหน่ายเอคิเบนครั้งแรกที่สถานีอุสึโนมิยะ (Utsunomiya station) จังหวัดโทจิกิ (Tochigi Prefecture) ในปี ค.ศ. 1885 และมีการพัฒนาเจ้าเอคิเบนเรื่อยมา

เที่ยวญี่ปุ่น

          ปัจจุบันเอคิเบนเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินทางด้วยรถไฟ เพราะสถานีต่าง ๆ ก็จะมีเอคิเบนที่แตกต่างกันไป ผู้ผลิตแต่ละเจ้าต่างคัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดในท้องถิ่นของตนมาปรุงอย่างพิถีพิถัน ใส่จนในทุกขั้นตอนของการผลิต มีการจัดวางอย่างสวยงาม พร้อมกับบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบมาให้ใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด อีกทั้งรสชาติที่อร่อย กลมกล่อม ตามสูตรของตน จึงทำให้ข้าวกล่องหรือเอคิเบนของแต่ละสถานีมีเอกลักษณ์เฉพาะ เอคิเบนจึงเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต้องลิ้มลองกันดูสักครั้ง ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Japanstory

10. หลงแสงสีและความงดงามของเมืองท่าโยโกฮาม่า จังหวัดคานากาวะ

เที่ยวญี่ปุ่น

          ห่างจากกรุงโตเกียวไม่ไกลเท่าไรนัก คือที่ตั้งของเมืองท่าที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น นั่นก็คือ เมืองโยโกฮาม่า Yokohama City) จังหวัดคานากาวะ (Kanagawa) อดีตเมืองแห่งนี้เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ มีประชากรแค่เพียง 600 คนเท่านั้น แต่เมื่อญี่ปุ่นมีการเปิดประเทศ เมืองแห่งนี้ก็กลายเป็นประตูของญี่ปุ่น มีเรือสินค้าต่าง ๆ มาลงที่เมืองแห่งนี้มากมาย จนกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ปัจจุบันมีประชากรมากถึง 3,700,000 คน

เที่ยวญี่ปุ่น

          แม้ว่าเมืองโยโกฮาม่าจะเคยผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 มา แต่ก็มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว จนกลับมาเป็นทั้งเมืองท่องเที่ยวและศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญอีกหนึ่งแห่งของญี่ปุ่น ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้เห็นเมืองแห่งนี้ผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมญี่ปุ่นและวัฒนธรรมต่างชาติอย่างลงตัว

          โดยรอบเมืองมีสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมากมายให้ได้เที่ยวชม พร้อมกับตึกสูง อาคารที่ทันสมัยที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเล ยามค่ำคืนเมืองแห่งนี้จะทอแสงด้วยแสงไฟระยิบระยับจากตึกเหล่านี้ ส่องสะท้อนลงสู่ริมชายฝั่งทะเล กลายเป็นบรรยากาศที่โรแมนติกเกินบรรยาย มันจะดีแค่ไหนถ้าได้จับมือใครสักคนล่องเรือไปตามริมชายทะเลเพื่อชมความงดงามเหล่านี้ หรือแม้กระทั่งปั่นจักรยานไปรอบ ๆ เมือง ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายและผ่อนคลาย เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ไม่จำเจแน่นอน

          การเดินทาง

          เดินทางโดยรถไฟสาย JR Tokaido จากสถานี JR Tokyo ไปยังสถานี JR Yokohama ใช้เวลา 25 นาที ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Japanstory

          ประเทศญี่ปุ่น...ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวซ่อนตัวอยู่มากมาย แต่มันจะสวยงามและอัศจรรย์มากแค่ไหน คุณเท่านั้นที่จะรู้คำตอบได้ มาร่วมค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ 17 สถานที่ในญี่ปุ่น แนะนำโดย องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมสนุก ๆ ลุ้นรับของรางวัลกันได้ที่ japanstory แล้วคุณจะต้องแบ่งหัวใจเพื่อมารักญี่ปุ่นแน่นอน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เที่ยวญี่ปุ่นเก๋ไก๋กว่าใคร กับ 10 ที่เที่ยวเปิดมุมมองใหม่ ๆ อัปเดตล่าสุด 28 กันยายน 2558 เวลา 09:46:05 19,072 อ่าน
TOP
x close