พาไปชม 14 สถานที่ท่องเที่ยวสุดทึ่งที่ไม่คิดว่าจะมีในโลก เพื่อเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ และไม่จำเจกับในหนังสือไกด์บุ๊กนำเที่ยวอีกต่อไป
1. Melissani Cave, ประเทศกรีซ
ถ้ำ Melissani ตั้งอยู่บนเกาะเซฟาโลเนีย เกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะไอโอเนียนทางฝั่งตะวันตกของประเทศกรีซ มีเรื่องเล่าที่ล่ำลือกันในตำนานเทพเจ้ากรีกว่าถ้ำแห่งนี้เป็นที่อยู่ของนางไม้ ภายในถ้ำล้อมรอบด้วยพันธุ์ไม้สีเขียวขจี และเนื่องจากถ้ำมีรูปทรงคล้ายตัว B ทำให้เมื่อแสงพระอาทิตย์เมื่อลอดเข้ามาในถ้ำ จะปรากฏเป็นลำแสงที่งดงามเมื่อมองขึ้นไปด้านบน ทั้งยังมีตำนานเล่ากันว่าภายในถ้ำแห่งนี้จะมีเหล่านางไม้ที่จะคอยพยายามใช้ความสวยขอนตนล่อล่วงคนให้เข้ามาถ้ำ และคนคนนั้นก็หายสาบสูญไปตลอดกาล และกลายเป็นตำนานเล่าขานในหมู่ของนักดำน้ำ ที่ความงดงามของถ้ำได้ล่อลวงให้หลงเข้าไปในโลกที่เต็มไปด้วยความงามของธรรมชาติ
2. Gullfoss ประเทศไอซ์แลนด์
น้ำตก Gullfoss เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากในไอซ์แลนด์ และจัดให้เป็น 1 ใน 3 ของ "วงกลมทองคำ" ที่ผู้มาเยือนไอซ์แลนด์จะต้องมาเที่ยว น้ำตก Gullfoss อยู่บนแม่น้ำ Hvita เมื่อหยดละอองน้ำของน้ำตก Gullfoss ตกกระทบลงกับหิน และร่วงลงสู้ผิวน้ำเป็นระยะความสูงกว่า 32 เมตร เป็นภาพสวยงามที่นักท่องเที่ยวต่างประทับใจไม่รู้ลืม และบางครั้งเมื่อละออกน้ำกระทบกับแสงเกิดเป็นปรากฏการณ์รุ้งให้เห็นอีกด้วย โดยมีเรื่องเล่าว่าในช่วงทศวรรษที่ 20 ได้มีชาวต่างชาติคิดที่จะเอาน้ำตกนี้พื้นดินของน้ำตกแห่งนี้ไป ลูกสาวของเกษตรกรซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ตรงตรงข้ามกับน้ำตกไม่เห็นด้วย และประท้วงด้วยการที่ว่าถ้าเอาพื้นดินน้ำตกไปเธอจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ในท้ายที่สุดเธอก็ได้รับชัยชนะจากการประท้วงครั้งนี้ ต่อมาในปี 1979 จึงได้สร้างอนุสรณ์ไว้เป็นความทรงจำใกล้น้ำตกแห่งนั้น เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงความกล้าหาญของเธอ
3. Lake Resia ประเทศอิตาลี
ทะเลสาบ Resia ทะเลสาบที่อยู่ทางภาคเหนือของอิตาลี เป็นทะเลสาบที่สร้างขึ้นเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองมีโครงการสร้างเขื่อน ทำให้ต้องอพยพผู้คนในเมืองเพื่อไปหาที่อยู่ใหม่ และทิ้งเมืองให้ว่างเปล่า หลังจากนั้นจึงปล่อยน้ำให้ท่วมเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างจมอยู่ใต้น้ำ เหลือเพียงแต่หอนาฬิกาที่ตั้งเด่นเป็นสัญลักษณ์ว่าตรงนี้เคยเป็นเมืองที่มีคนอยู่อาศัยมาก่อน จนต่อมากลายเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต้องแวะเวียนกันเข้ามาเยี่ยมชม ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวยังสามารถขี่จักรยานไปตามเส้นทางภูเขาโดยรอบทะเลสาบ ซึ่งในช่วงฤดูหนาวทะเลสาบจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง กลายเป็นทางเดินที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปยังหอระฆังได้ และยังมีเรื่องเล่าว่าในบางคืนเราอาจได้ยินสียงระฆังดังขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ระฆังถูกถอดออกนานแล้ว
4. Kelimutu ประเทศอินโดนีเซีย
ภูเขาไฟ Kelimutu อยู่ในอุทยานแห่งชาติในประเทศอินโดนีเซีย ความมหัศจรรย์ของภูเขาไฟแห่งนี้คือบนยอดภูเขาไฟมีทะเลสาบขนาดเล็ก 3 แห่ง ซึ่งน้ำในทะเลสาบแต่ละแห่งจะมีสีที่ต่างกัน และยิ่งมหัศจรรย์มากขึ้นไปอีกเมื่อน้ำในทะเลสาบแต่ละแห่งยังเปลี่ยนสีได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าเพราะอะไรที่ทำให้น้ำในทะเลสาบเปลี่ยนสีได้ แต่ก็มีการสันนิษฐานกันว่า เพราะแก๊สและควันที่ผุดขึ้นมาตามรอยแยกของก้นทะเลสาบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแก๊สแต่ละชนิดนั้นมีส่วนทำให้นำในทะเลสาบเกิดสีที่แตกต่างกันไป
มีความเชื่อท้องถิ่นที่เชื่อกันว่าเหตุที่น้ำในทะเลสาบเปลี่ยนสีเป็นสามสีดังนี้ ทะเลสาบที่เป็นสีฟ้าเพราะเชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณบรรพบุรุษสูงอายุที่ทำแต่ความดี ทะเลสาบที่เป็นสีเขียวเพราะเชื่อว่าเป็นที่อาศัยของวิญญาณที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มสาว และสุดท้ายทะเลสาบที่เป็นสีแดงดำเพราะเชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณทุกเพศทุกวัยที่ทำความชั่ว
5. Lake Natron ประเทศแทนซาเนีย
ทะเลสาบซึ่งอยู่ทางวันออกเฉียงเหนือของประเทศแทนซาเนีย เนื่องด้วยอากาศที่ร้อนจัดทำให้น้ำในทะเลสาบระเหยเป็นไอจนทำให้ทะเลสาบแห่งนี้ค่อนข้างตื้น ความพิเศษของทะเลสาบที่นี่คือน้ำในทะเลสาบไม่ใช่น้ำที่พบตามทะเลสาบทั่วไป แต่มีสภาพคล้ายน้ำปูนซึ่งเกิดจากส่วนผสมของแร่ธาตุที่เรียกว่า Natron และมีอุณหภูมิสูงถึง 106 องศาฟาเรนไฮต์ ด้วยอุณหภูมิและค่า PH แบบนี้ ทำให้สิ่งมีชีวิตไม่อาจอาศัยอยู่ได้ มีเรื่องเล่าลือกันว่าหากสัตว์ชนิดใดตกลงไปในทะเลสาบก็จะกลายสภาพเป็นซากแข็งเหมือนหิน แต่ในความเป็นจริงแล้วที่ Lake Natron เป็นแหล่งกำเนิดและที่อยู่อาศัยของสัตว์มากมายหลายชนิด เช่น นกฟลามิงโก้นับล้านตัวจะบินมาที่ทะเลสาบแห่งนี้ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ตลอดจนยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์นกกะเรียนของทวีปแอฟริกาอีกด้วย
6. Vatnajokull Ice Caves ประเทศไอซ์แลนด์
ถ้ำน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุด Vatnajokull Ice Caves ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ Vatnajokull ในประเทศไอซ์แลนด์ ถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้เกิดจากน้ำแข็งละลายน้ำและไหลผ่านร่องช่องน้ำแข็งกัดเซาะจนเป็นถ้ำขนาดใหญ่ และเกิดเป็นเป็นแสงสะท้อนสีฟ้าราวกับสีของอัญมณี จนให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าคุณกำลังผจญภัยอยู่ในถ้ำน้ำแข็งของโลกเทพนิยาย เราขอแนะนำว่าช่วงฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการมาที่ Vatnajokull Ice Caves แต่อย่าลืมว่านักท่องเที่ยวควรเพิ่มความระมัดระวังขณะเที่ยวชม เพราะถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้มีการขยับและการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นักท่องเที่ยวจึงควรอยู่ในความดูแลจากไกด์อยู่เสมอ
น้ำตก Gullfoss เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากในไอซ์แลนด์ และจัดให้เป็น 1 ใน 3 ของ "วงกลมทองคำ" ที่ผู้มาเยือนไอซ์แลนด์จะต้องมาเที่ยว น้ำตก Gullfoss อยู่บนแม่น้ำ Hvita เมื่อหยดละอองน้ำของน้ำตก Gullfoss ตกกระทบลงกับหิน และร่วงลงสู้ผิวน้ำเป็นระยะความสูงกว่า 32 เมตร เป็นภาพสวยงามที่นักท่องเที่ยวต่างประทับใจไม่รู้ลืม และบางครั้งเมื่อละออกน้ำกระทบกับแสงเกิดเป็นปรากฏการณ์รุ้งให้เห็นอีกด้วย โดยมีเรื่องเล่าว่าในช่วงทศวรรษที่ 20 ได้มีชาวต่างชาติคิดที่จะเอาน้ำตกนี้พื้นดินของน้ำตกแห่งนี้ไป ลูกสาวของเกษตรกรซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ตรงตรงข้ามกับน้ำตกไม่เห็นด้วย และประท้วงด้วยการที่ว่าถ้าเอาพื้นดินน้ำตกไปเธอจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ในท้ายที่สุดเธอก็ได้รับชัยชนะจากการประท้วงครั้งนี้ ต่อมาในปี 1979 จึงได้สร้างอนุสรณ์ไว้เป็นความทรงจำใกล้น้ำตกแห่งนั้น เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงความกล้าหาญของเธอ
3. Lake Resia ประเทศอิตาลี
ทะเลสาบ Resia ทะเลสาบที่อยู่ทางภาคเหนือของอิตาลี เป็นทะเลสาบที่สร้างขึ้นเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองมีโครงการสร้างเขื่อน ทำให้ต้องอพยพผู้คนในเมืองเพื่อไปหาที่อยู่ใหม่ และทิ้งเมืองให้ว่างเปล่า หลังจากนั้นจึงปล่อยน้ำให้ท่วมเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างจมอยู่ใต้น้ำ เหลือเพียงแต่หอนาฬิกาที่ตั้งเด่นเป็นสัญลักษณ์ว่าตรงนี้เคยเป็นเมืองที่มีคนอยู่อาศัยมาก่อน จนต่อมากลายเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวต้องแวะเวียนกันเข้ามาเยี่ยมชม ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวยังสามารถขี่จักรยานไปตามเส้นทางภูเขาโดยรอบทะเลสาบ ซึ่งในช่วงฤดูหนาวทะเลสาบจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง กลายเป็นทางเดินที่ให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปยังหอระฆังได้ และยังมีเรื่องเล่าว่าในบางคืนเราอาจได้ยินสียงระฆังดังขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ระฆังถูกถอดออกนานแล้ว
4. Kelimutu ประเทศอินโดนีเซีย
ภูเขาไฟ Kelimutu อยู่ในอุทยานแห่งชาติในประเทศอินโดนีเซีย ความมหัศจรรย์ของภูเขาไฟแห่งนี้คือบนยอดภูเขาไฟมีทะเลสาบขนาดเล็ก 3 แห่ง ซึ่งน้ำในทะเลสาบแต่ละแห่งจะมีสีที่ต่างกัน และยิ่งมหัศจรรย์มากขึ้นไปอีกเมื่อน้ำในทะเลสาบแต่ละแห่งยังเปลี่ยนสีได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าเพราะอะไรที่ทำให้น้ำในทะเลสาบเปลี่ยนสีได้ แต่ก็มีการสันนิษฐานกันว่า เพราะแก๊สและควันที่ผุดขึ้นมาตามรอยแยกของก้นทะเลสาบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแก๊สแต่ละชนิดนั้นมีส่วนทำให้นำในทะเลสาบเกิดสีที่แตกต่างกันไป
มีความเชื่อท้องถิ่นที่เชื่อกันว่าเหตุที่น้ำในทะเลสาบเปลี่ยนสีเป็นสามสีดังนี้ ทะเลสาบที่เป็นสีฟ้าเพราะเชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณบรรพบุรุษสูงอายุที่ทำแต่ความดี ทะเลสาบที่เป็นสีเขียวเพราะเชื่อว่าเป็นที่อาศัยของวิญญาณที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มสาว และสุดท้ายทะเลสาบที่เป็นสีแดงดำเพราะเชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณทุกเพศทุกวัยที่ทำความชั่ว
5. Lake Natron ประเทศแทนซาเนีย
ทะเลสาบซึ่งอยู่ทางวันออกเฉียงเหนือของประเทศแทนซาเนีย เนื่องด้วยอากาศที่ร้อนจัดทำให้น้ำในทะเลสาบระเหยเป็นไอจนทำให้ทะเลสาบแห่งนี้ค่อนข้างตื้น ความพิเศษของทะเลสาบที่นี่คือน้ำในทะเลสาบไม่ใช่น้ำที่พบตามทะเลสาบทั่วไป แต่มีสภาพคล้ายน้ำปูนซึ่งเกิดจากส่วนผสมของแร่ธาตุที่เรียกว่า Natron และมีอุณหภูมิสูงถึง 106 องศาฟาเรนไฮต์ ด้วยอุณหภูมิและค่า PH แบบนี้ ทำให้สิ่งมีชีวิตไม่อาจอาศัยอยู่ได้ มีเรื่องเล่าลือกันว่าหากสัตว์ชนิดใดตกลงไปในทะเลสาบก็จะกลายสภาพเป็นซากแข็งเหมือนหิน แต่ในความเป็นจริงแล้วที่ Lake Natron เป็นแหล่งกำเนิดและที่อยู่อาศัยของสัตว์มากมายหลายชนิด เช่น นกฟลามิงโก้นับล้านตัวจะบินมาที่ทะเลสาบแห่งนี้ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ ตลอดจนยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์นกกะเรียนของทวีปแอฟริกาอีกด้วย
6. Vatnajokull Ice Caves ประเทศไอซ์แลนด์
ถ้ำน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุด Vatnajokull Ice Caves ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ Vatnajokull ในประเทศไอซ์แลนด์ ถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้เกิดจากน้ำแข็งละลายน้ำและไหลผ่านร่องช่องน้ำแข็งกัดเซาะจนเป็นถ้ำขนาดใหญ่ และเกิดเป็นเป็นแสงสะท้อนสีฟ้าราวกับสีของอัญมณี จนให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าคุณกำลังผจญภัยอยู่ในถ้ำน้ำแข็งของโลกเทพนิยาย เราขอแนะนำว่าช่วงฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการมาที่ Vatnajokull Ice Caves แต่อย่าลืมว่านักท่องเที่ยวควรเพิ่มความระมัดระวังขณะเที่ยวชม เพราะถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้มีการขยับและการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นักท่องเที่ยวจึงควรอยู่ในความดูแลจากไกด์อยู่เสมอ
7. Whitehaven Beach ประเทศออสเตรเลีย
หาดทรายขาวสวรรค์ที่ Whitehaven Beach ชายหาดที่ที่ระยะทางยาว 4.3 ไมล์ ตลอดชายฝั่งของเกาะ Whitsunday ในออสเตรเลีย สิ่งที่ไม่ธรรมดาของหาดทรายที่นี่คือทรายขาว ๆ ที่ตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าสด ซึ่ง Whitehaven Beach เป็นเกาะที่ได้รับการยอมรับว่ามีเม็ดทรายที่ขาวที่สุดในโลก เพราะทรายที่นี่ 98% มีซิลิกาเป็นส่วนประกอบ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหาดทรายที่นี่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการพักผ่อนของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ทั้งนี้ Whitehaven Beach สามารถเดินทางได้โดยทางเรือเท่านั้น หรือถ้าอยากชมความงามของหาดนี้ในมุมสูง คุณก็สามารถใช้เฮลิคอปเตอร์ทัวร์รอบเกาะ รับรองว่าคุณจะต้องตื่นตื่นใจไปกับความสวยงามของหาดทรายที่อยู่ภายใต้พื้นล่างตัวคุณอย่างแน่นอน
8. Benagil ประเทศโปรตุเกส
ถ้ำทะเล Benagil ที่โปรตุเกส เกิดจากการที่น้ำทะเลพัดและกัดเซาะ จนทำให้เกิดรูปร่างโค้งที่แปลกงามตา โดยถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่นอกชายฝั่งของหมู่บ้านชาวประมงใน Benagil ที่นี่คุณจะได้พบกับความเงียบสงบของหาดทรายและความสวยงามของน้ำทะเลที่โอบล้อมถ้ำแห่งนี้ การเดินทางไปที่ถ้ำแห่งนี้โดยสะดวกที่สุดคือ โดยสารเรือพาณิชย์ ที่จะนำคุณพาทัวร์ถ้ำอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้เคียงรอบพื้นที่ถ้ำทะเล Benagil หรือการพายเรือคายักรอบบริเวณถ้ำก็นับเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีไม่น้อย เพราะคุณจะสามารถกำหนดเส้นทาง หรือหยุดแวะพักจอดเรือเพื่อถ่ายรูปได้ตามต้องการ
9. The Flatirons รัฐโคโลลาโด สหรัฐอเมริกา
The Flatirons เป็นภูเขาหินที่อยู่ใกล้กับโบลเดอร์ เมืองในรัฐโคโลลาโด เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับนักปีนเขาโดยเฉพาะ แม้ว่า The Flatirons จะมีความสูงไม่มากนัก แต่ด้วยการเรียงตัวของชั้นหินจากชั้นบนสุดจรดล่างสุด เกิดเป็นเส้นทางความลาดชันของภูเขา ที่ปกคลุมด้วยความเขียวชอุ่มของพันธุ์ไม้ ทำให้การปีนเขาที่นี่นักปีนเขาจะต้องใช้ทักษะและเทคนิคในการปีนเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันการที่หุบเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ในอุทยาน Chautauqua ทำให้ตลอดเส้นทางนักปีนเขาสามารถเพลิดเพลินไปกับการสำรวจเส้นทางเดินป่าที่มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าร้อยปี และหากนักปีนเขาคนใดต้องการเที่ยวแบบสันโดษ ผู้คนไม่พลุกพล่าน เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงมา The Flatirons ในวันช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์
10. Dean’s Blue Hole หมู่เกาะบาฮามาส
ในขณะที่คนส่วนใหญ่คิดว่าสะดือทะเลที่ลึกที่สุดอยู่ที่ระดับความลึก 360 ฟุต แต่ความคิดของคุณจะเปลี่ยนไปเมื่อพบกับสะดือทะเลที่มีชื่อว่า Dean’s Blue Hole นอกชายฝั่งบาฮามาส ซึ่งมีความลึกอยู่ที่ระดับ 663 ฟุต ที่นี่นักดำน้ำจะจมดิ่งลึกลงใต้ท้องสมุทรที่มืดมิดสุดอนันต์ ได้มีนักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานถึงกำเนิดของสะดือทะเลแห่งนี้ว่าแรกเริ่มอาจเป็นถ้ำหินมาก่อน ต่อมาระดับน้ำทะเลสูงขึ้น เพดานถ้ำโดนน้ำทะเลกัดเซาะจนพังทลายและกลายเป็นหลุมกลวง แนวปะการังในสะดือทะเลแห่งนี้เป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตของสัตว์น้ำนานาชนิด หากวันไหนที่กระแสน้ำนิ่งเราจะสามารถเห็นฝูงเต่าทะเลและปลาแหวกว่ายท่ามกลางเงามืดของมหาสมุทร และเมื่อเมษายนปี 2010 มีนักดำน้ำชื่อว่า William Trubridge ได้ดำลงไปในสะดือทะเลแห่งนี้โดยปราศจากอุปกรณ์ดำน้ำ ซึ่งเขาสามารถดำลึกลงไปที่ 302 ฟุต และเขาตัดสินใจดำลงไปอีกรอบในเดือนธันวาคมปี 2010 อยู่ที่ระดับความลึก 331 ฟุต
11. Namaqualand พื้นที่ทะเลทรายระหว่างรัฐนาบิเมียและสาธารณรัฐแอฟริกาใต้
Namaqualand เป็นพื้นที่แห้งแล้งระหว่างรัฐนามิเบียและสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ทอดยาวไปตามแนวรอยต่อของทั้งสองประเทศกว่า 600 ไมล์ Namaqualand ถือเป็นจุดหมายปลายทางนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ในช่วงฤดูร้อนสภาพพื้นที่แถบนี้จะแห้งแล้งหรือไม่ก็เป็นทะเลทราย แต่ทว่าในฤดูใบไม้ผลิดินแดนแห่งนี้จะมีความมหัศจรรย์เกิดขึ้น เนื่องจากพื้นที่แห้งแล้งเหล่านี้ได้รับน้ำฝนในปริมาณพอสมควร จึงเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการเจริญเติบโตของพันธุ์ไม้นานาชนิด ความหลากหลายของพันธุ์ดอกไม้ที่เกิดขึ้นที่ Namaqualand ล้วนขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศเป็นสำคัญ ยกตัวอย่างเช่นเราจะเห็นดอกไม้ชนิดนี้เจริญเติบโตได้ดีทางตอนเหนือของ Namaqualand แต่เราอาจไม่เห็นดอกไม้ชนิดเดียวกันนี้บานสะพรั่งทางตอนใต้ ซึ่งความพิเศษของ Namaqualand อยู่ที่ ดอกไม้บางชนิดสามารถพบเห็นได้เพียงที่นี่ที่เดียวเท่านั้น
12. Hamilton Pool Preserve สหรัฐอเมริกา
เดินทางออกมาจากเมืองออสติน รัฐเทกซัสไปประมาณ 23 ไมล์ ที่นี่คุณจะพบกับสระสวรรค์ทางธรรมชาติ และเป็นที่ที่ชาวเมืองออสตินนิยมไปพักผ่อนในช่วงฤดูร้อน สระแห่งนี้เกิดขึ้นจากการทรุดตัวของลำโดมน้ำมากกว่า 1,000 ปี ทั้งยังได้ทิ้งร่องรอยอารยธรรมของมนุษย์ที่ย้อนกลับไปได้ถึง 8,000 ปีเลยทีเดียว ซึ่ง Hamilton Pool Preserve มีพื้นที่ประมาณ 232 เอเคอร์ ประกอบด้วยผืนน้ำสีหยก ที่รองรับน้ำตกสูงกว่า 50 ฟุต ล้อมรอบด้วยหินที่ปกคลุมด้วยพืชน้ำชนิดต่าง ๆ นอกจากนี้ Hamilton’s Pool Preserve ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด เช่น นกกระจิบแก้มสีทอง รวมถึงพันธุ์ไม้ดอกไม้หายากมากมาย
13. Hvítserkur, ประเทศไอซ์แลนด์
14. Quiraing, สกอตแลนด์
Quiraing เป็นหุบเขาที่ตั้งอยู่ในสกอตแลนด์ หุบเขานี้เกิดจากการถล่มของภูเขาและทับถมกันจนกลายเป็นหน้าผาสูงชัน Quiraing ยังเป็นภูเขาที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ โดยที่รูปร่างของมันจะเปลี่ยนไปทุกปี โดยไฮไลท์ของ Quiraing อยู่ที่เนินภูเขาที่เป็นรอยหยักสูงมากกว่า 120 ฟุต และด้านตะวันตกเฉียงเหนือของภูเขาเป็นที่ทุ่งหญ้าราบสูง เมื่อขึ้นไปที่นั่นเราจะสามารถมองเห็นวิวของแนวเขา Torridon ได้ทั้งหมด เมื่อมองจากมุมสูงจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ จะเห็นภูเขาเป็นรูปทรงคล้ายพีระมิด ถ้าหากร่างกายคุณฟิตมากพอแนะนำว่าให้ลองเดินเลาะเลียบไต่เขาลงไปด้างล่าง เพราะเส้นทางนี้จัดได้ว่ามีความท้าทายนักปีนเขาสุดๆ โดยเป็นเส้นทางลาดชันระยะทางกว่า 4.2 ไมล์ หรือคิดเฉลี่ยเวลาเป็นสองเท่าของทางเดินปกติ
ความมหัศจรรย์และความงดงามของสถานที่เที่ยวทั้ง 14 แห่งสุดทึ่งที่ไม่คิดว่าจะมีในโลกของเราวันนี้ คงสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อน ๆ อยากที่จะออกไปหาประสบการณ์การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ที่ไม่ซ้ำซากจำเจ และมันจะเป็นกลายเป็นความทรงจำที่มีคุณค่าตราบเมื่อใดก็ตามที่เรานึกถึง
หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลจาก
www.mapquest.com, huffpost.com และ travelpirates.com