
อินโดนีเซีย (Indonesia) เป็นอีกหนึ่งประเทศที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปสัมผัสกับบรรยากาศความสวยงามของธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นภูเขาไฟ ชายหาด รวมถึงวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้คน วันนี้เราเลยจะพาตามบันทึกการเดินทางของ คุณ - NoTitle – สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ไปโลดแล่นตะลอนทัวร์เที่ยวอินโดนีเซียกันค่ะ โดยจะเน้นการเดินทางไปเที่ยวรอบ ๆ ประเทศและใกล้ภูเขาไฟตลอดทั้งทริป




ตารางการเดินทางโดยเครื่องบินจากประเทศไทยไปยังอินโดนีเซีย และภายในประเทศไปยังเมืองต่าง ๆ
1. วันที่ 10 ตุลาคม Donmuang (BKK)-Jakarta (AirAsia)
2. วันที่ 10 ตุลาคม Jakarta-Yogyakarta (LionAir JT)
3. วันที่ 11 ตุลาคม Yogyakarta-Surabaya (WingAir IW)
4. วันที่ 17 ตุลาคม Bali-Donmuang (AirAsia)
สำหรับทริปนี้กลุ่มพวกเราออกเดินทางกันทั้งหมด 6 คน คนไทย 5 คน มาเลเชีย 1 คน
สำหรับข้อมูลอาจไม่ได้เรียงตามวันที่เป๊ะ ๆ ต้องขออภัยด้วยนะครับ พอดีผมทำรูปแบบเรื่อย ๆ ก็เลยใส่ลำดับตามใจ เอาล่ะ...พร้อมท่องดินแดนภูเขาไฟกันหรือยัง ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลยยยยยยย
อุปกรณ์ที่ใช้ในทริปนี้ ได้แก่
# Fuji X100s
# Nikon D600
# 18-35 mm 70-200 F4
# Lee Big Stopper Lee 0.9 Soft
สำหรับท่านที่สนใจกระทู้ก่อนหน้าก็ไปดูได้ที่นี่ครับ ฝากกระทู้ไว้ด้วยครับ
iGoal My dream destination in Italiano - Square 40 ปลายทางแห่งความฝัน อิตาลีสี่เหลี่ยม
Thailand Land.of.Dreams : เมื่อสายลมแสงแดดเรียกหา รักเธอนะประเทศไทย - iGoal -
iGoal\'s PIX ฟากฟ้าหิมาลัยสวรรค์รำไร เลห์ลาดัก On the Way Himalayas Leh Ladakh India.
The heaven on Earth?บันทึกการเดินทางครั้งหนึ่งในชีวิตที่ปากีสถาน Part/1
เพื่อน ๆ สามารถแวะไปทักทายหรือดูผลงานเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
https://www.facebook.com/iGoal.Land.of.Dreams
https://www.flickr.com/photos/igoal-kwphoto
http://yourshot.nationalgeographic.com/profile/659612
https://500px.com/GoalKw-graphicstyle
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมครับ

เดินทางไปยังจาการ์ตา Airasia ใช้เวลาเดินทาง 3.20 ชม. เดินทางถึงสนามบินจาการ์ตา ตรวจคนเข้าเมือง เนื่องจากปัจจุบันสายการบินจากประเทศไทยยกเลิกเที่ยวบินตรงไปยังโบรโมจึงต้องนั่งเครื่องอ้อมมาลงที่จาการ์ตาก่อน
รอต่อเครื่องเดินทางไปยังยอกยาการ์ตา Jakarta-Yogyakarta (LionAir เข้าที่พักโรงแรมมโนห์รา ซึ่งอยู่ในบริเวณบุโรพุทโธ)

เช้านี้พวกเราตื่นกันแต่เช้าตรู่เพื่อเข้าชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ มหาสถูปโบโรบูดูร์ (อินโดนีเซีย : Chandi Borobudur) หรือบาราบูดูร์ (อินโดนีเซีย: Barabudur) ส่วนในประเทศไทยจะรู้จักในชื่อ บุโรพุทโธ แสงเช้าวันนี้ไม่ค่อยสวยและได้ดั่งใจ ก็เลยย้อม WB จากกล้องให้ได้โทนแรง ๆ ซะหน่อย
สาย ๆ หน่อยเราก็ไปถ่ายภาพที่วัดพราหมณ์ พรัมบานัน Prambanan ตกบ่ายเดินทางไปสุราบายา Yogyakart -Surabaya (WingAir)
17.00 น. เดินทางด้วยรถตู้ไปยังโบรโม
20.30 น. เข้าที่พักในโบรโม ใช้เวลาค่อนข้างนานมากกว่าจะไปถึง เนื่องจากถนนคดเคี้ยวและเล็กมาก
ภาพนี้ปรับภาพหนักไปหน่อยนะครับ แบบว่าอยากให้เข้ากับบรรยากาศ ^^


เดินทางมาถึงที่พักในโบรโมดึก ๆ เราก็ต้องรีบจัดแจงสิ่งของเพื่อพักผ่อนและเตรียมตัวออกกันแต่เช้า เพื่อขึ้นจุดชมวิวที่ Mt.Penanjakan View Point จุดชมวิวสูงสุดที่มองเห็นยอดภูเขาไฟเรียงกันนั่นเอง ประมาณตีสองครึ่งพวกเราเตรียมตัวหน้าโรงแรม และมีรถจี๊ปมาจอดรออยู่ก่อนแล้ว เริ่มออกเดินทางไปยังจุดชมวิวอากาศค่อนข้างหนาว ที่พักอยู่ในหมู่บ้าน ดังนั้นเราจึงต้องนั่งรถลงไปด้านล่างที่เป็นทะเลทรายภูเขาไฟ ผ่าน โบรโม บาต็อก แล้วไปขึ้นเขาอีกลูกฝั่งตรงข้ามเพื่อไปยังจุดชมวิว
วันแรกของพวกเราต้องบอกว่าแห้ว ฮ่า ๆ เพราะคนเยอะมาก การจราจรติดขัด ขึ้นจุดชมวิวไม่ทันแสงเช้าสวย ๆ และรถมหาศาลมาก ๆ ทำให้ต้องใช้บริการแว้นดอย พอไปถึงที่ Penanjakan View Point โอ้ว !!! แทบช็อก หารูถ่ายรูปมิได้เลยคนเยอะมากกกกกก แบบแน่นสุด ๆ ก็เลยถอดใจกัน ^^ และคุยกันว่าคงรอลุ้นวันใหม่ เพราะเราอยู่นี่หลายวันชิล ๆ ^^


หลังอกหักจากการที่เตรียมตัวและมาแต่เช้าเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นให้ทันไม่ไหว วันนี้เราเลยเตรียมตัวดีหน่อย ออกจากที่พักเร็วมากแบบตีสองก็ออกมาเลย ไม่อยากพลาดอีกวัน และแล้วความพยายามของพวกเราก็ มาถึง...ฟินเลย วันนี้มาจองที่ได้แต่เช้าอยู่หน้าสุดทำให้ได้มุมที่ไร้ผู้คน ^^
สำหรับภูเขาไฟทั้งหมดมีข้อมูล ดังนี้
ภูเขาไฟโบรโม (อินโดนีเซีย : Gunung Bromo) ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโบรโมเทงเกอร์เซเมรู เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเทงเกอร์มาสซีฟ บนเกาะชวาตะวันออก
Mt. Bromo (2,329 m)
Mt. Batok (2,440 m)
Mt. Sumaru (3,676 m)
ช่วงกลางคืนหากฟ้าสดใสเราจะมองเห็นยอดสุเมรุที่มีแสงไฟ ณ ปากปล่องชัดเจนทีเดียวครับ เป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

ไอหมอกในตอนเช้าล่องลอยตัดกับภูเขาไฟทรงพีระมิด มันช่างเหมือนฝันเสียจริง แต่ภายใต้ความงดงามที่ซ่อนไว้ซึ่งความน่ากลัวเหล่านี้ ก็กลายเป็นเสน่ห์ให้ผู้คนทั่วโลกต้องเดินทางมายังที่แห่งนี้

ตกเย็นเราก็เดินเที่ยวไปรอบ ๆ หมู่บ้านและหาข้าวทานกัน คืนนี้ฟ้าใสเห็นดวงดาวเต็มไปหมด แต่ก็ชื้นมากทีเดียว ถ่ายรูปไปต้องคอยเช็ดหน้าเลนส์ไปด้วยเพราะเปียกไปหมด และได้มีโอกาสคล้องช้างมาด้วย ^^

การเดินทางมาทริปนี้ถือว่าฟินสุด ๆ เราได้เจอทุกอย่างที่เราอยากได้ สนุกสนานเฮฮาในทุก ๆ วัน และได้ลุ้นว่าจะเจออะไรในรุ่งสางของอีกวัน...ทะเลดาวกับสนอีกใบครับ


03.00 น. ก่อนแสงเช้าเดินทางขึ้นจุดถ่ายดาว ถ่ายพระอาทิตย์ขึ้นที่พินาจากัน 2 มุมมองจะแตกต่างไปจาก พินาจากัน 1 จุดนี้เราจะต้องนั่งรถออกจากที่พักเลียบหมู่บ้านไปทางด้านขวา ต่างจากจุดแรกที่ต้องลงไปด้านล่างของภูเขาไฟแล้วขึ้นเขา จุดนี้จะไปอีกด้านหนึ่ง และเมื่อไปถึงจุดทางขึ้นด่านต่อไปเราต้องเดินขึ้นครับ หรือใครจะใช้บริการม้าก็ได้เช่นกัน แต่ผมเดินเอา...เปรี้ยวไปหน่อยอย่างหอบ 55 แต่ก็ไปถึงพร้อมม้านะ พอไปถึงจุดที่ม้าไปต่อไม่ได้ก็จะเป็นบันไดวนไปวนมาเรื่อย ๆ ตามไหล่เขา วันนี้เป็นวันที่เราได้รางวัลที่ตื่นตาตื่นใจเป็นยิ่งนัก
นั่นคือภาพหมอกปกคลุมทั้งหมู่บ้านและภูเขาไฟ มันเป็นภาพในฝันที่อยากได้ในการมาเยือนอินโดนีเซียของผมเลยก็ว่าได้ เดินขึ้นเขาไปแม้จะเหนื่อยแต่ใจมันตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เพราะภาพที่อยู่ตรงหน้ามันเหมือนว่าฝันไปจริง ๆ

หมู่บ้านเซโมโร ลาวัง เป็นหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยที่พักโรงแรมร้านอาหาร และเป็นจุดสำคัญของที่นี่ รายล้อมไปด้วยแปลงเกษตรมากมาย หากพูดถึงความเสี่ยงของคนที่นี่ก็คงมีมากมาย แต่ด้วยข้อดีของเถ้าถ่านภูเขาไฟนั้นทำให้ที่นี่อุดมสมบูรณ์และปลูกพืชพรรณได้งามมาก ๆ ภาพหมู่บ้านที่โดนหมอกกลืนในตอนเช้า

ไอหมอกที่ลอยไปลอยมาตามกระแสลม เหมือนหญิงสาวผู้มีผิวพรรณผุดผ่องกำลังเล่นระบำ ทำนองเพลงไพรให้ชม แสงแดดสาดส่อง ผ่านคุ้งเขายิ่งทำให้ภาพที่เห็นเด่นชัดมากขึ้น จุดชมวิวตรงนี้ผู้คนจะไม่ค่อยเยอะเท่าบริเวณจุดที่รถถึง แต่คนที่มาเดินสามารถเดินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดชมวิวที่หนึ่งได้เช่นกัน แต่ทางชันมากนัก

สายลมพัดไปพัดมา หมอกก็เคลื่อนตัวไปมาดูไปเหมือนว่ากำลังจะกลืนหมู่บ้านนี้หายไปในสายหมอกเสียนี่กระไร เป็นการนั่งถ่ายภาพบนยอดเขาที่เพลิดเพลินจนลืมเหนื่อยกันเลยครับ

และแล้วดวงอาทิตย์ก็โผล่มา หมอกเริ่มกระจายตัวทำให้เห็นยอดไม้โผล่มาบ้าง

หันไปทางไหนก็เต็มไปด้วยหมอก สมกับความตั้งใจกันเลยทีเดียว การได้ชมหมอกโหด ๆ แบบนี้ในต่างแดนที่ที่หาโอกาสมายาก ๆ มันคุ้มจริง ๆ ครับ พี่ที่ไปด้วยกันถึงกับพูดว่า...เอ็งไม่ต้องมาอีกละ มาครั้งเดียวได้ครบ ^^

พวกเรารออยู่นานกว่ายอดภูเขาไฟจะโผล่ออกมาจากหมอก แต่ก็รอเจอจนได้ ภาพที่ภูเขาไฟเหมือนลอยอยู่บนฟ้าพ่นควันออกมาสูงเสียดฟ้า

เนื่องจากมีหมอก และมีแสง ดังนั้นภาพแสงสาดก็ต้องมา ฮ่า ๆ เอาทุกอย่างจริง ๆ เมื่อสายหมอกเริ่มจางลงหน่อย แสงแดดก็แรงขึ้นทำให้เวลาส่งผ่านทิวเขามาเจอต้นไม้ก็กลายเป็นลำแสง ได้ภาพแปลกตาทีเดียว

ปรับ WB ในกล้องให้ได้โทนอ่อน ๆ ก็เป็นการเพิ่มบรรยากาศให้ดูอบอุ่นเหมือนพระอาทิตย์แรกแย้มในฤดูหนาวได้เช่นกัน

เล่าย้อนมาวันแรกที่เราผิดหวังกับการขึ้นไปจุดชมวิว วันนั้นเราก็เลยไปเที่ยวรอบ ๆ เช่น ทุ่งหญ้าสะวันนา และเดินขึ้นปากปล่องโบรโมกัน ภูเขาไฟบาต็อกนั้นมีลักษณะพิเศษที่พื้นผิว หากมีแสงอาทิตย์ส่องมาก็ได้รูปแปลกตาเหมือนกันครับ

ทางขึ้นโบรโมจะมีวัดอยู่วัดหนึ่ง ก่อนถึงทางเดินขึ้นเขา หากถ่ายจากจุดชมวิวก็จะเห็นคนเดินขึ้นหรือรถจี๊ปจอดเต็มไปหมด

ผมชอบถ่ายพวกพื้นผิวแปลก ๆ มาก ๆ ครับ เจออะไรที่ดูแปลกตาก็ถ่ายเก็บไว้ตลอด รูปนี้เป็น Mt. Batok ครับ ถ่ายตอนเดินขึ้นไปดูปากปล่องโบรโม สำหรับการเดินทางมาที่นี่แนะนำว่าต้องพกพวกหน้ากากกันฝุ่นมาหน่อยนะครับ ฝุ่นเยอะมาก ๆ

การเดินขึ้นโบรโมมีม้าให้บริการด้วยครับ ม้าจะพานักท่องเที่ยวไปส่งที่ทางขึ้น หลังจากนั้นนักท่องเที่ยวต้องเดินขึ้นบันไดไปยังปากปล่อง หน้ากากนอกจากจะกันฝุ่นแล้วยังป้องกันกลิ่นกำมะถันได้ด้วยครับ

ย้อนกลับไปวันแรก ๆ ที่มาถึงโบรโม ช่วงกลางคืนเราออกไปถ่ายดาวกันที่เนินทรายด้านล่าง เพื่อเก็บทางช้างเผือกกับภูเขาไฟ แต่ก่อนจะลงไปขอเทสต์ซะหน่อย ต้นไม้หน้าห้องพัก เนื่องจากความชื้นที่นี่สูงมาก ทำให้หน้าเลนส์เป็นไอน้ำก็เลยได้วิ้ง ๆ มา ^^

ทางช้างเผือกพาดบนยอดภูเขาไฟ แม้จะมีเมฆหมอกบังบ้างแต่ก็ยังเป็นที่จุดจำเสมอมา อากาศที่นี่ค่อนข้างเย็นมาก แต่ก็ถือว่าไม่ได้หนาวโหดเกินไปแค่มีเสื้อหนา ๆ หน่อยก็อุ่นละ ... รถจี๊ปพาเรามากลางเนินทราย ถ่ายรูปกันสนุกสนาน

ถ่ายรูปไปได้สักพักดวงจันทร์เริ่มส่องแสงแรงขึ้น ทำให้ดาวเริ่มหายไป แต่ก็ได้ฟ้าสีน้ำเงินมาแทน ก่อนกลับที่พักก็เลยถ่ายเก็บไว้ซะหน่อย

ส่วนในตอนกลางวันกิจกรรมของการมาเยือนที่นี่ ก็คือการไปเที่ยวรอบ ๆ แถว ๆ ทุ่งหญ้าสะวันนา โดยรอบ ๆ จะเป็นทุ่งหญ้าสลับกับทะเลทรายภูเขาไฟ ตอนที่ไปเป็นหน้าแล้งต้นไม้ก็เลยแห้งหมด

แต่พอเข้าไปอีกด้านก็เริ่มมีหญ้าเขียว ๆ ให้เห็นเหมือนกัน


ออกเดินทางไปยัง Mt. Kawah Ijen ใช้เวลาเดินทางราว ๆ 6 ชม. แต่ในระหว่างทางเราก็แวะที่น้ำตกมาดาคารีปูรา (Madakaripura Waterfall) น้ำตกที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของประเทศอินโดนีเซีย โดยน้ำตกอยู่ในเขตพื้นที่ของหมู่บ้านซาปิห์ (Sapih village) อยู่ไม่ไกลจากภูเขาไฟโบรโม (Mount Bromo) มากนัก
โดยการไปเที่ยวน้ำตกแห่งนี้จะต้องมีไกด์ท้องถิ่นพาเข้าไป เดินประมาณสองกิโลเมตรก็จะถึงทางเข้าน้ำตก และต้องมีอุปกรณ์กันฝนเข้าไปเพราะต้องผ่านม่านน้ำตก ถ้าไม่มีอาจเปียกเอาได้ ช่วงที่ไปน้ำน้อยไปหน่อยแต่ก็ยังสวยงาม พอใส่เสื้อกันฝนหลากสีกลายเป็นขบวนการกู้โลกไปเลย

หลังจากผ่านไป 6 ชั่วโมง อันยาวนาน เราก็มาถึงที่พักแถว ๆ ทางขึ้น Mt. Kawah Ijen หลังจากเข้าพักก็เตรียมตัวเพื่อออกเดินทางแต่เช้ามาก ๆ ประมาณหลังเที่ยงคืน และต้องเดินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ ให้ถึงปากปล่องก่อนที่ฟ้าสาง เพื่อชมไฟสีน้ำเงินหรือ Blue Fire คือเปลวไฟจากการเผาไหม้ของกำมะถันที่ก้นปล่องอดีตภูเขาไฟ Kawah Ijen ซึ่งด้านล่างตรงนี้จะเป็นเหมืองกำมะถันนั่นเอง
การเตรียมตัวแนะนำให้หาซื้อหน้ากากกันก๊าซพิษที่ดี ๆ มาด้วยนะครับ

การเดินลงปากปล่องค่อนข้างเหนื่อยและอันตรายมาก ๆ ต้องระมัดระวังกันด้วยครับ เพราะเวลาที่กลุ่มควันกำมะถันมันอัดมาที่เรานี่หน้ามืด หายใจไม่ออก สำลักจนหมดสติเอาได้ แต่ก็พยายามไปถึงจนได้ ^^

ไกด์ของผมนี่เปรี้ยวมาก เดินฝ่ากลุ่มควันขึ้นไปด้านบนเฉยเลย ไอ้เราก็หน้ามืดสำลักควันอยู่ ^^ ที่เห็นเหลือง ๆ นั่นกำมะถันล้วน ๆ เลยครับ

คนงานเหมืองที่นี่น่าสงสารครับ ทำงานอันตรายมาก ๆ แต่ทราบมาว่าค่าแรงค่อนข้างน้อย ส่วนคนที่ผันตัวมาเป็นไกด์จะรายได้ดีและสบายกว่า กำมะถันก้อนเล็ก ๆ นี่หนักมากครับ ร้อยกิโลกรัมดูนิดเดียว

และเมื่อได้ก้อนกำมะถันแล้วก็ต้องแบกขึ้นปากปล่อง และแบกลงเขาไปชั่งที่จุดด้านล่างก่อนเดินขึ้นเขามานิดหนึ่งครับ นักท่องเที่ยวอย่างเรา ๆ เดินเฉย ๆ ยังเหนื่อย ยอมพี่ ๆ เขาจริง ๆ

และแล้วเราก็ต้องโบกมือลา และเดินลงเขากันเสียแล้ว ระหว่างลงเขาเกิดเหตุระทึก ไฟไหม้ป่าทำให้ต้องเร่งลงเขากันยกใหญ่ แต่ก็ยังดีหน่อยที่ตอนลงง่ายกว่าตอนเดินขึ้นมากนัก ทิวทัศน์แบบหมอก ๆ มัว ๆ ก่อนลงเขา

เอาล่ะพร้อมแล้วก็เดินลงโลด พอมีหมอกไฟป่าทำให้ป่าดูขลังขึ้นมาทันที ^^


ออกเดินทางไปยังเกาะบาหลี โดยขึ้นเรือข้ามฝั่งไปยังเกาะบาหลีและเดินทางต่ออีกเส้นทางระยะทางรวม 165 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว ๆ 4 ชม. ไปยังวัดน้ำพุศักดิ์สิทธ์ Pura Tirta Empul มีบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ใสสะอาดผุดขึ้นมาจากใต้ดิน เป็นที่เคารพสักการะของชาวบาหลี มาต่อกันที่เกาะบาหลีนะครับ ทีนี่เราก็แวะไปตามสถานที่ต่าง ๆ เป็นการเที่ยวเชิงวัฒนธรรมกันละ

หนุ่มสาวพากันมาเที่ยวชมวัด ^^

ในเกาะบาหลีก็มีที่พักวิวดี ๆ มากมาย และก็ยังมีภูเขาไฟให้เราได้ชมอีกเช่นกัน พวกเราไปพักริมเขาที่เห็นวิวภูเขาไฟที่ Pinggan สำหรับบาหลีผมค่อนข้างจะพักผ่อนซะมากกว่า ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเลย แฮ่ ๆ

ตอนเช้า ๆ ก็จะได้วิวทิวเขาสลับซับซ้อนแบบนี้

สำหรับบาหลียังมีอีกหนึ่ง Unseen ที่ควรไปเยือน นั่นคือนาขั้นบันได แต่คณะของพวกเราไปค่ำไปหน่อยแถมฝนตกก็เลยได้มานิดหน่อย

บาหลีนั้นนับถือศาสนาฮินดู จึงมีเสน่ห์ในเรื่องสถาปัตยกรรมและศิลปวัฒนธรรมที่โดดเด่น มีวัดมากมายที่มีเอกลักษณ์ คนที่นี่ค่อนข้างเคร่งครัดในการปฏิบัติกิจทางศาสนา ฮินดูในบาหลีคือการนักถือพระศิวะเป็นใหญ่ประกอบกับศาสนาพุทธ เช้า ๆ การไปเดินเล่นในวัดต่าง ๆ นั้นก็เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำหรับการมาที่นี่

ที่ผมชอบมาก ๆ คือการพาลูกจูงหลานมาวัดด้วยของคนที่นี่ มันเหมือนการส่งต่อทางวัฒนธรรมจากรุ่นสู่อีกรุ่นได้ดีทีเดียว

ไม่ว่าจะศาสนาไหน วัฒนธรรมแบบใด ทุก ๆ ที่ล้วนเป็นการผูกรวมผู้คนและเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้ทำสิ่งดีด้วยกันทั้งนั้น การออกเดินทางนั้นเป็นการเรียนรู้และเข้าใจซึ่งความแตกต่างบนโลกใบนี้

ต้นทางนั้นอาจจะกว้างใหญ่ แต่ปลายทางนั้นกลับแคบลง เมื่อถึงจุดสิ้นสุดของปลายทางเราอาจไม่ได้พบเจอสิ่งใด แต่ทว่าระหว่างทางนั้นมีสิ่งต่าง ๆ ให้เราเก็บเกี่ยวบันทึกและเรียนรู้มันมากมาย


เก็บกระเป๋าและสิ่งของต่าง ๆ พร้อมเดินทางตั้งแต่ก่อนจะเดินทางไปถ่ายภาพ 05.00 น. แสงเช้าที่ Ulun Danu Temple, at Bratan Lake ถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้นที่วัดนี้ ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญของเกาะบาหลี อากาศที่นี่เย็นสบาย แต่ลมแรงมาก ๆ เรามารอแสงเช้ากันเป็นการถ่ายภาพก่อนเดินทางกลับเมืองไทย
ไปสนามบินระยะทาง 60 กิโลเมตร ใช้เวลา 2 ชม. เดินทางกลับไทยด้วย AirAsia ถึงไทย 15.15 น. โดยสวัสดิภาพ เป็นการปิดทริปที่ประทับใจ

หมดแล้วครับ ขอบคุณที่ติดตาม รูปเยอะหน่อยนะครับ ข้อมูลอาจไม่เป๊ะเท่าไร หากผิดพลาดก็แจ้งได้นะครับ จะได้แก้ไขให้ถูกต้อง ขอบคุณทุกแรงบันดาลใจที่ให้ก้าวไปเยือนที่แห่งนี้ บางคนอาจคิดในใจว่าถ้าไปแล้วไม่เจอแล้วนี้จะทำยังไง เชื่อเถอะครับเสน่ห์ของการเดินทางคือการได้เจอสิ่งที่คนอื่นไม่ได้เจอ สภาพอากาศสำคัญและฤดูกาลก็เช่นกัน ถ้าเราเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมธรรมชาติอาจมอบรางวัลให้เราได้เจอกับสิ่งสวยงามเบื้องหน้าก็ได้ครับ
แล้วพบกันใหม่กับทริปอิตาลีฉบับเต็ม 24 วัน ^^
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ - NoTitle – สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก iGoal-kwphoto2012