ชวนเที่ยวประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า อย่าปล่อยให้วันหยุดยาวเป็นเพียงวันธรรมดา มาสร้างประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวรอบโลกแบบไม่ต้องง้อวีซ่ากันเถอะ
ปี 2020 เป็นอีก 1
ปีที่มีวันหยุดยาวให้ชาวมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายได้หายใจหายคอกันบ้าง
นี่ก็จะกลางปีกันเข้าไปแล้ว
สำหรับใครที่ไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะทำอะไรหรือเดินทางไปท่องเที่ยวที่ไหนดี...มาฟังทางนี้เร็ว
เพราะเราจัดสรรสถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศที่น่าไปใช้เวลาช่วงวันหยุดมาฝากกัน
อ๊ะ ๆ ไม่ไกลจากเมืองไทยเท่าไร และงบประมาณก็ไม่มากมาย
ที่สำคัญไม่ต้องเสียเงินและเสียเวลาเพื่อทำวีซ่ากันอีกด้วย
ไปดูกันเลยว่าแต่ละสถานที่นั้นจะสวยเก๋มากมายขนาดไหน
1. วังเวียง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (เที่ยวได้ 30 วัน)
มนตร์เสน่ห์แห่งสายน้ำ ขุนเขา และวัฒนธรรม ทำให้เมืองวังเวียงกลายเป็นจุดหมายปลายทางของแบ็คแพ็กเกอร์จำนวนมาก เมืองแห่งนี้เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ สงบเงียบ เหมาะแก่การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ โอบล้อมด้วยภูเขาสลับซับซ้อนและสายหมอก มีแม่น้ำซองกาเรียเป็นแม่น้ำสายหลัก หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวบ้าน สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่ทำให้ชาวโลกรู้จักวังเวียงมากขึ้น ก็คือ บลูลากูน (Blue Lagoon) สระน้ำสีฟ้าใสราวกับคริสตัล ที่ซ่อนตัวอยู่ทางด้านปากทางเข้าถ้ำปู ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ไร้ซึ่งการปรุงแต่งใด ๆ จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนที่แห่งนี้ต้องหลงรักไปตาม ๆ กัน
วิถีชีวิตของชาวบ้านในวังเวียงเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีตึกรามบ้านช่องสูง ๆ หรือระบบการขนส่งอันทันสมัย นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์มัดใจนักเดินทาง นอกจากนี้การเดินทางก็ถือได้ว่าสะดวกมาก ๆ สามารถที่จะนั่งเครื่องบินไปลงในจังหวัดอุดรธานีแล้วนั่งรถต่อไปเรื่อย ๆ ไปยังเมืองวังเวียง หรือจะนั่งเครื่องบินไปลงเมืองเวียงจันทน์ แล้วต่อรถอีกนิดหน่อยก็ได้เช่นกัน ที่พักมีตั้งแต่โฮมสเตย์ไปจนถึงโรงแรมหรู สามารถเลือกได้ตามความชอบใจ
2. บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย (เที่ยวได้ 30 วัน)
เมืองบาหลีเป็นเมืองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรมที่งดงาม ภาพของนาข้าวขั้นบันไดสีเขียวชอุ่มบนเนินเขาอันสวยงามปรากฏสู่สายตาชาวโลก เป็นหนึ่งสิ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนมากมายเดินทางมายังดินแดนอันเป็นเพชรเม็ดงามของประเทศอินโดนีเซีย บาหลีได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมมาจากประเทศอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นศาสนาหรือศิลปะ ตลอดจนตัวอักษรและภาษา เมื่อมาผสมผสานกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวท้องถิ่นบนเกาะบาหลี จึงกลายเป็นศิลปะและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ สะท้อนออกมาผ่านทางสถาปัตยกรรม การใช้ชีวิตของชาวบ้านดั่งที่เราเห็นกัน
ธรรมชาติที่สวยงามและการใช้ชีวิตซึ่งปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวกอันทันสมัย ส่งผลให้บาหลีมีอากาศที่บริสุทธิ์ สดชื่น เมืองแห่งนี้จึงพ่วงท้ายด้วยเมืองตากอากาศยอดนิยมอีกด้วย สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ อนุเสาวรีย์รามยะณะ พิพิธภัณฑ์บาหลี ปุระจากัตนาตา วัดทามันอายุน วิหารทานาห์ลอต หาดโลวิน่าทะเลสาบบาตูร์ วัดเบซากีห์ วัดอูลันดานูบาตูร์ เป็นต้น
3. สิงคโปร์ (เที่ยวได้ 30 วัน)
สำหรับขาช้อปทั้งหลายต้องไม่พลาดการไปปลดปล่อยเงินออกจากกระเป๋ากันที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งนอกจากจะได้ซื้อสินค้าในราคาที่ถูกแล้ว ประเทศสิงคโปร์ยังเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหรือสถานที่บันเทิงครบวงจรอย่างยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์นอกจากนี้ ได้แก่ Sentosa เกาะมหาสนุกของเหล่าคนมีจินตนาการ, มาริน่า เบย์ แซนด์ส รีสอร์ทห้าดาวหรูหราริมอ่าว ที่มีสระว่ายน้ำอินฟินิตี้ยาว สามารถมองเห็นทัศนียภาพของประเทศสิงคโปร์ได้อย่างสวยงาม, สิงคโปร์ฟลายเออร์ ชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ ซึ่งตั้งตระหง่านอย่างงดงามอยู่ริมอ่าว, มาริน่า เบย์ เมอร์ไลออน รูปปั้นสิงโตทะเล สัญลักษณ์แห่งประเทศสิงคโปร์ และคลาร์ก คีย์ แหล่งรวมตัวสุดชิคของคนสิงคโปร์มีทั้งร้านอาหารและร้านขายที่ระลึกมากมาย เป็นต้น
ด้วยความที่เป็นประเทศที่มีเนื้อที่เพียงแค่ประมาณ 700 ตารางกิโลเมตร จึงมีการจัดสรรแผนผังเมืองได้อย่างเป็นระเบียบและลงตัว คล้ายกับการจัดผังเมืองในประเทศทางฝั่งอเมริกาและยุโรป นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกด้วยระบบการขนส่งที่ทันสมัย จึงเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้สิงคโปร์แตกต่างจากประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
4. เมืองดาลัด ประเทศเวียดนาม (เที่ยวได้ 30 วัน)
เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่บนหุบเขาอันเงียบสงบ เป็นพื้นที่ที่ครั้งหนึ่งฝรั่งเศสเคยเข้ามาฟื้นฟู จึงทำให้เมืองแห่งนี้มีกลิ่นอายสไตล์ยุโรป หรือที่มักจะถูกเรียกว่าปารีสแห่งเอเชีย อากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปีทำให้สามารถปลูกดอกไม้เมืองหนาวได้ทั่วทั้งเมือง เมืองแห่งนี้จึงได้รับการขนานนามอีกชื่อว่า “เมืองแห่งดอกไม้” เป็นเมืองที่มีความโรแมนติกเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศเวียดนาม กลายเป็นสถานที่ฮันนีมูนยอดนิยมของทั้งชาวเวียดนามและนักท่องเที่ยวจากประเทศใกล้เคียง
นอกจากนี้เมืองดาลัดยังอยู่ใกล้เคียงกับสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังอย่างทะเลทรายมุยเน่อีกด้วย ริ้วคลื่นทรายที่เรียงตัวกันอย่างสง่างามจะทำให้คุณต้องหลงรักที่นี่ด้วยอย่างแน่นอน
5. เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (เที่ยวได้ 15 วัน)
หลังจากช่วงนี้ไปประเทศญี่ปุ่นจะเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน แต่อากาศยังคงเย็นกว่าประเทศไทย ซึ่งนั่นก็ทำให้มีเทศกาลงานต่าง ๆ รวมถึงธรรมชาติหน้าร้อนที่กำลังจะปรากฏขึ้นตามมาด้วย โดยเฉพาะที่เมืองโตเกียว เมืองหลวงซึ่งสมบูรณ์แบบไปด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ทีทันสมัย แต่กลับถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะภูเขาไฟฟูจิซัง ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น ในวันที่อากาศสดใสยังสามารถมองเห็นยอดเขาฟูจิซังได้จากในเมืองโตเกียวอีกด้วย
และในช่วงปลายปีจะเป็นช่วงที่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ต้นไม้ทั้งเมืองจะมีสีแดง สีเหลือง และสีส้มแตกต่างกันออกไป ทำให้เมืองทั้งเมืองดูโรแมนติก น่าหลงใหลสุด ๆ ซึ่งเมืองโตเกียวมีหลายสวนสาธารณะให้เราไปได้ไปยลโฉมใบไม้เปลี่ยนสี อาทิ สวนริคุงิเอน (Rikugien) สวนโคอิชิคาวะ โคระคุเอง (Koishikawa Korakuen) โทโดโระคิ วัลเล่ (Todoroki Valley) เป็นต้น
6. มัลดีฟส์ (เที่ยวได้ 30 วัน)
วันพักผ่อนก็ต้องพักผ่อนให้ได้เต็มที่ หนีไปเที่ยวกันไกลขึ้นอีกนิด บินลัดฟ้าข้ามน้ำทะเลไปยังเกาะสวรรค์ในมหาสมุทรอินเดีย เพื่อการนอนฟังเสียงคลื่น เล่นน้ำทะเลใสราวกับคริสตัล ดำน้ำดูปะการัง ดื่มด่ำไปกับท้องทะเลที่เงียบสงบ
ปัจจุบันมีหลายสายการบินบินจากกรุงเทพฯ ไปยังมัลดีฟส์โดยตรง ซึ่งราคาตั๋วเครื่องบิน ถ้าอยู่ในช่วงโปรโมชั่นก็ต้องบอกว่าน่าคบมาก ๆ บางครั้งจะมีแพ็กเกจออกมาควบคู่กับโรงแรมต่าง ๆ ซึ่งก็ไม่ได้แพงมากมายจนเอื้อมไปถึง พนักงานออฟฟิศอย่างเราแตะได้แน่นอน มัลดีฟส์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีมากถึงมากที่สุด สำหรับการพักผ่อนในช่วงวันหยุดยาวเลยทีเดียว
7. ฮ่องกง (เที่ยวได้ 30 วัน)
นอกจากจะเป็นแหล่งละลายทรัพย์ที่สำคัญในเอเชียแล้ว ฮ่องกงยังเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม เมืองท่าที่สำคัญอีกด้วย เพราะเป็นส่วนหนึ่งในเขตการปกครองของประเทศจีน จึงยังคงดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวจีน และการที่ตั้งอยู่ในบริเวณปากแม่น้ำ จึงทำให้สะดวกสบายในการค้าขายทางเรือ อีกทั้งธรรมชาติบนเกาะฮ่องกงยังสวยงามไม้แพ้จีนแผ่นดินใหญ่ด้วย
ภาพจาก saiko3p/shutterstock.com
สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด อาทิ ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland), จิมซาโจ่ย พรอมเมอนาด (Tsim Sha Tsui Promenade), โอเชี่ยนพาร์ค ฮ่องกง (Ocean Park), อเวนิว ออฟ สตาร์ (Avenue of Star) หรือชิงช้าสวรรค์ยักษ์ (The Hong Kong Observation Wheel) เป็นต้น
8. กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ (เที่ยวได้ 90 วัน)
เรียกว่าเกาหลีใต้เขาใจปล้ำจริง ๆ ที่ให้คนไทยได้ไปสัมผัสกับอารยธรรมของประเทศเกาหลีใต้ได้มากมายถึง 3 เดือน แบบนี้ก็เที่ยวกันได้เต็มที่ไปเลย ใครสามารถลางานได้มากกว่าวันหยุดราชการก็ลาเพิ่มเติมกันไป แต่ถ้าใครลาไม่ได้ก็ไม่ต้องห่วง เพราะเพียงท่านท่องเที่ยวแค่ในกรุงโซลก็สามารถรับอรรถรสของความเป็นเกาหลีใต้ได้แบบเต็มอิ่มแล้ว เพราะมีทั้งสถานที่ที่ให้ได้เรียนรู้วัฒนธรรมอย่างวัดเก่า หมู่บ้านโบราณตลอดจนศูนย์การค้าหรูหราระดับโลก
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อาทิ โซล ทาวเวอร์ (Seoul Tower), หมู่บ้านบุกชอนฮานก (Bukchon Hanok Village), พระราชวังเคียงบกคุง (Gyeongbokgung Palace), ย่านเมียงดง (Myeong dong) และตลาดทงเดมุน (Dongdaemun Market) เป็นต้น นอกจากนี้อาหารเกาหลีก็ยังมีความอร่อยจนต้องยกนิ้วให้อีกด้วย
9. เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย (เที่ยวได้ 30 วัน)
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในเมืองเก่า และศิลปะแบบชิค ๆ แบบนี้ต้องหาโอกาสไปเยือนเมืองปีนังให้ได้สักครั้งในชีวิต ด้วยความเป็นเมืองที่อยู่ติดกับทะเล มีภูเขาโอบล้อมในด้านหนึ่งของเมือง ซึ่งทั้งหมดหล่อหลอมให้ปีนังกลายเป็นเมืองที่เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร เงียบสงบ มีบ้านเรือนอันเป็นเอกลักษณ์ คล้าย ๆ กับสไตล์ชิโนโปรตุกีสในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเรียกย่านนี้ว่า จอร์จทาวน์ (George Town) ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกในปี 2007 ซึ่งในบางจุดที่เป็นตึกร้าง กำแพงเก่า ก็มีการวาดภาพศิลปะลงบนผนัง เพื่อให้เกิดเป็นภาพที่สวยงาม เก๋ไก๋ ถูกใจวัยโจ๋อีกด้วย
10. ประเทศฟิลิปปินส์ (เที่ยวได้ 30 วัน)
เจ้าพ่อแห่งเกาะแก่งจริง ๆ เพราะประกอบด้วยเกาะมากกว่า 7,000 เกาะ ด้วยเหตุนี้ทำให้ประเทศฟิลิปปินส์มีท้องทะเลที่งดงาม ทั้งหาดทรายขาว ทะเลใสแจ๋ว ให้ได้เลือกท่องเที่ยวกันอย่างจุใจ ใครที่กำลังมองหาทะเลสวย ๆ ที่ไม่ซ้ำใครก็ขอแนะนำเกาะในประเทศฟิลิปปินส์นี้เลย อาทิ เกาะมาลาปาสกัว (Malapascua Island), เกาะบันตายาน (Bantayan Island) และเกาะโบราไกย (Boracay Island) ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ทางธรรมชาติที่งดงามแปลกตาอย่างหุบเขาช็อกโกแลต (Chocolate Hills) อีกทั้งภูเขาไฟมายอน (Mayon Volcano) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังมีชีวิต คือมีโอกาสที่จะกลับมาปะทุเมื่อไหร่ก็ได้นั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายที่เราสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า แต่มีกำหนดระยะเวลาในการท่องเที่ยว โดยสามารถดูเพิ่มได้ได้ที่ www.consular.go.th ... เอาเป็นว่าวันหยุดยาวครั้งต่อไปก็จิ้มเลือกเอาประเทศที่อยากไปแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม เพียงเท่านี้ประสบการณ์ท่องโลกก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
tourismlaos.org, yoursingapore.com, balitourismboard.org, dalat-tourist.com, gotokyo.org, discoverhongkong.com, kto.or.th และ tourismpenang.net
1. วังเวียง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (เที่ยวได้ 30 วัน)
มนตร์เสน่ห์แห่งสายน้ำ ขุนเขา และวัฒนธรรม ทำให้เมืองวังเวียงกลายเป็นจุดหมายปลายทางของแบ็คแพ็กเกอร์จำนวนมาก เมืองแห่งนี้เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ สงบเงียบ เหมาะแก่การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ โอบล้อมด้วยภูเขาสลับซับซ้อนและสายหมอก มีแม่น้ำซองกาเรียเป็นแม่น้ำสายหลัก หล่อเลี้ยงชีวิตของชาวบ้าน สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตที่ทำให้ชาวโลกรู้จักวังเวียงมากขึ้น ก็คือ บลูลากูน (Blue Lagoon) สระน้ำสีฟ้าใสราวกับคริสตัล ที่ซ่อนตัวอยู่ทางด้านปากทางเข้าถ้ำปู ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่ไร้ซึ่งการปรุงแต่งใด ๆ จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนที่แห่งนี้ต้องหลงรักไปตาม ๆ กัน
วิถีชีวิตของชาวบ้านในวังเวียงเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีตึกรามบ้านช่องสูง ๆ หรือระบบการขนส่งอันทันสมัย นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์มัดใจนักเดินทาง นอกจากนี้การเดินทางก็ถือได้ว่าสะดวกมาก ๆ สามารถที่จะนั่งเครื่องบินไปลงในจังหวัดอุดรธานีแล้วนั่งรถต่อไปเรื่อย ๆ ไปยังเมืองวังเวียง หรือจะนั่งเครื่องบินไปลงเมืองเวียงจันทน์ แล้วต่อรถอีกนิดหน่อยก็ได้เช่นกัน ที่พักมีตั้งแต่โฮมสเตย์ไปจนถึงโรงแรมหรู สามารถเลือกได้ตามความชอบใจ
2. บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย (เที่ยวได้ 30 วัน)
เมืองบาหลีเป็นเมืองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยธรรมชาติและวัฒนธรรมที่งดงาม ภาพของนาข้าวขั้นบันไดสีเขียวชอุ่มบนเนินเขาอันสวยงามปรากฏสู่สายตาชาวโลก เป็นหนึ่งสิ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนมากมายเดินทางมายังดินแดนอันเป็นเพชรเม็ดงามของประเทศอินโดนีเซีย บาหลีได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมมาจากประเทศอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นศาสนาหรือศิลปะ ตลอดจนตัวอักษรและภาษา เมื่อมาผสมผสานกับวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวท้องถิ่นบนเกาะบาหลี จึงกลายเป็นศิลปะและวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ สะท้อนออกมาผ่านทางสถาปัตยกรรม การใช้ชีวิตของชาวบ้านดั่งที่เราเห็นกัน
ธรรมชาติที่สวยงามและการใช้ชีวิตซึ่งปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวกอันทันสมัย ส่งผลให้บาหลีมีอากาศที่บริสุทธิ์ สดชื่น เมืองแห่งนี้จึงพ่วงท้ายด้วยเมืองตากอากาศยอดนิยมอีกด้วย สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญได้แก่ อนุเสาวรีย์รามยะณะ พิพิธภัณฑ์บาหลี ปุระจากัตนาตา วัดทามันอายุน วิหารทานาห์ลอต หาดโลวิน่าทะเลสาบบาตูร์ วัดเบซากีห์ วัดอูลันดานูบาตูร์ เป็นต้น
3. สิงคโปร์ (เที่ยวได้ 30 วัน)
สำหรับขาช้อปทั้งหลายต้องไม่พลาดการไปปลดปล่อยเงินออกจากกระเป๋ากันที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งนอกจากจะได้ซื้อสินค้าในราคาที่ถูกแล้ว ประเทศสิงคโปร์ยังเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหรือสถานที่บันเทิงครบวงจรอย่างยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์นอกจากนี้ ได้แก่ Sentosa เกาะมหาสนุกของเหล่าคนมีจินตนาการ, มาริน่า เบย์ แซนด์ส รีสอร์ทห้าดาวหรูหราริมอ่าว ที่มีสระว่ายน้ำอินฟินิตี้ยาว สามารถมองเห็นทัศนียภาพของประเทศสิงคโปร์ได้อย่างสวยงาม, สิงคโปร์ฟลายเออร์ ชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ ซึ่งตั้งตระหง่านอย่างงดงามอยู่ริมอ่าว, มาริน่า เบย์ เมอร์ไลออน รูปปั้นสิงโตทะเล สัญลักษณ์แห่งประเทศสิงคโปร์ และคลาร์ก คีย์ แหล่งรวมตัวสุดชิคของคนสิงคโปร์มีทั้งร้านอาหารและร้านขายที่ระลึกมากมาย เป็นต้น
ด้วยความที่เป็นประเทศที่มีเนื้อที่เพียงแค่ประมาณ 700 ตารางกิโลเมตร จึงมีการจัดสรรแผนผังเมืองได้อย่างเป็นระเบียบและลงตัว คล้ายกับการจัดผังเมืองในประเทศทางฝั่งอเมริกาและยุโรป นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกด้วยระบบการขนส่งที่ทันสมัย จึงเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ทำให้สิงคโปร์แตกต่างจากประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
4. เมืองดาลัด ประเทศเวียดนาม (เที่ยวได้ 30 วัน)
เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่บนหุบเขาอันเงียบสงบ เป็นพื้นที่ที่ครั้งหนึ่งฝรั่งเศสเคยเข้ามาฟื้นฟู จึงทำให้เมืองแห่งนี้มีกลิ่นอายสไตล์ยุโรป หรือที่มักจะถูกเรียกว่าปารีสแห่งเอเชีย อากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปีทำให้สามารถปลูกดอกไม้เมืองหนาวได้ทั่วทั้งเมือง เมืองแห่งนี้จึงได้รับการขนานนามอีกชื่อว่า “เมืองแห่งดอกไม้” เป็นเมืองที่มีความโรแมนติกเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศเวียดนาม กลายเป็นสถานที่ฮันนีมูนยอดนิยมของทั้งชาวเวียดนามและนักท่องเที่ยวจากประเทศใกล้เคียง
นอกจากนี้เมืองดาลัดยังอยู่ใกล้เคียงกับสถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังอย่างทะเลทรายมุยเน่อีกด้วย ริ้วคลื่นทรายที่เรียงตัวกันอย่างสง่างามจะทำให้คุณต้องหลงรักที่นี่ด้วยอย่างแน่นอน
5. เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (เที่ยวได้ 15 วัน)
หลังจากช่วงนี้ไปประเทศญี่ปุ่นจะเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูร้อน แต่อากาศยังคงเย็นกว่าประเทศไทย ซึ่งนั่นก็ทำให้มีเทศกาลงานต่าง ๆ รวมถึงธรรมชาติหน้าร้อนที่กำลังจะปรากฏขึ้นตามมาด้วย โดยเฉพาะที่เมืองโตเกียว เมืองหลวงซึ่งสมบูรณ์แบบไปด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ทีทันสมัย แต่กลับถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงาม โดยเฉพาะภูเขาไฟฟูจิซัง ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น ในวันที่อากาศสดใสยังสามารถมองเห็นยอดเขาฟูจิซังได้จากในเมืองโตเกียวอีกด้วย
และในช่วงปลายปีจะเป็นช่วงที่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ต้นไม้ทั้งเมืองจะมีสีแดง สีเหลือง และสีส้มแตกต่างกันออกไป ทำให้เมืองทั้งเมืองดูโรแมนติก น่าหลงใหลสุด ๆ ซึ่งเมืองโตเกียวมีหลายสวนสาธารณะให้เราไปได้ไปยลโฉมใบไม้เปลี่ยนสี อาทิ สวนริคุงิเอน (Rikugien) สวนโคอิชิคาวะ โคระคุเอง (Koishikawa Korakuen) โทโดโระคิ วัลเล่ (Todoroki Valley) เป็นต้น
6. มัลดีฟส์ (เที่ยวได้ 30 วัน)
วันพักผ่อนก็ต้องพักผ่อนให้ได้เต็มที่ หนีไปเที่ยวกันไกลขึ้นอีกนิด บินลัดฟ้าข้ามน้ำทะเลไปยังเกาะสวรรค์ในมหาสมุทรอินเดีย เพื่อการนอนฟังเสียงคลื่น เล่นน้ำทะเลใสราวกับคริสตัล ดำน้ำดูปะการัง ดื่มด่ำไปกับท้องทะเลที่เงียบสงบ
ปัจจุบันมีหลายสายการบินบินจากกรุงเทพฯ ไปยังมัลดีฟส์โดยตรง ซึ่งราคาตั๋วเครื่องบิน ถ้าอยู่ในช่วงโปรโมชั่นก็ต้องบอกว่าน่าคบมาก ๆ บางครั้งจะมีแพ็กเกจออกมาควบคู่กับโรงแรมต่าง ๆ ซึ่งก็ไม่ได้แพงมากมายจนเอื้อมไปถึง พนักงานออฟฟิศอย่างเราแตะได้แน่นอน มัลดีฟส์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีมากถึงมากที่สุด สำหรับการพักผ่อนในช่วงวันหยุดยาวเลยทีเดียว
7. ฮ่องกง (เที่ยวได้ 30 วัน)
นอกจากจะเป็นแหล่งละลายทรัพย์ที่สำคัญในเอเชียแล้ว ฮ่องกงยังเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรม เมืองท่าที่สำคัญอีกด้วย เพราะเป็นส่วนหนึ่งในเขตการปกครองของประเทศจีน จึงยังคงดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวจีน และการที่ตั้งอยู่ในบริเวณปากแม่น้ำ จึงทำให้สะดวกสบายในการค้าขายทางเรือ อีกทั้งธรรมชาติบนเกาะฮ่องกงยังสวยงามไม้แพ้จีนแผ่นดินใหญ่ด้วย
สถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด อาทิ ฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ (Hong Kong Disneyland), จิมซาโจ่ย พรอมเมอนาด (Tsim Sha Tsui Promenade), โอเชี่ยนพาร์ค ฮ่องกง (Ocean Park), อเวนิว ออฟ สตาร์ (Avenue of Star) หรือชิงช้าสวรรค์ยักษ์ (The Hong Kong Observation Wheel) เป็นต้น
8. กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ (เที่ยวได้ 90 วัน)
เรียกว่าเกาหลีใต้เขาใจปล้ำจริง ๆ ที่ให้คนไทยได้ไปสัมผัสกับอารยธรรมของประเทศเกาหลีใต้ได้มากมายถึง 3 เดือน แบบนี้ก็เที่ยวกันได้เต็มที่ไปเลย ใครสามารถลางานได้มากกว่าวันหยุดราชการก็ลาเพิ่มเติมกันไป แต่ถ้าใครลาไม่ได้ก็ไม่ต้องห่วง เพราะเพียงท่านท่องเที่ยวแค่ในกรุงโซลก็สามารถรับอรรถรสของความเป็นเกาหลีใต้ได้แบบเต็มอิ่มแล้ว เพราะมีทั้งสถานที่ที่ให้ได้เรียนรู้วัฒนธรรมอย่างวัดเก่า หมู่บ้านโบราณตลอดจนศูนย์การค้าหรูหราระดับโลก
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อาทิ โซล ทาวเวอร์ (Seoul Tower), หมู่บ้านบุกชอนฮานก (Bukchon Hanok Village), พระราชวังเคียงบกคุง (Gyeongbokgung Palace), ย่านเมียงดง (Myeong dong) และตลาดทงเดมุน (Dongdaemun Market) เป็นต้น นอกจากนี้อาหารเกาหลีก็ยังมีความอร่อยจนต้องยกนิ้วให้อีกด้วย
9. เมืองปีนัง ประเทศมาเลเซีย (เที่ยวได้ 30 วัน)
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในเมืองเก่า และศิลปะแบบชิค ๆ แบบนี้ต้องหาโอกาสไปเยือนเมืองปีนังให้ได้สักครั้งในชีวิต ด้วยความเป็นเมืองที่อยู่ติดกับทะเล มีภูเขาโอบล้อมในด้านหนึ่งของเมือง ซึ่งทั้งหมดหล่อหลอมให้ปีนังกลายเป็นเมืองที่เก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร เงียบสงบ มีบ้านเรือนอันเป็นเอกลักษณ์ คล้าย ๆ กับสไตล์ชิโนโปรตุกีสในจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเรียกย่านนี้ว่า จอร์จทาวน์ (George Town) ได้รับการบันทึกเป็นมรดกโลกในปี 2007 ซึ่งในบางจุดที่เป็นตึกร้าง กำแพงเก่า ก็มีการวาดภาพศิลปะลงบนผนัง เพื่อให้เกิดเป็นภาพที่สวยงาม เก๋ไก๋ ถูกใจวัยโจ๋อีกด้วย
10. ประเทศฟิลิปปินส์ (เที่ยวได้ 30 วัน)
เจ้าพ่อแห่งเกาะแก่งจริง ๆ เพราะประกอบด้วยเกาะมากกว่า 7,000 เกาะ ด้วยเหตุนี้ทำให้ประเทศฟิลิปปินส์มีท้องทะเลที่งดงาม ทั้งหาดทรายขาว ทะเลใสแจ๋ว ให้ได้เลือกท่องเที่ยวกันอย่างจุใจ ใครที่กำลังมองหาทะเลสวย ๆ ที่ไม่ซ้ำใครก็ขอแนะนำเกาะในประเทศฟิลิปปินส์นี้เลย อาทิ เกาะมาลาปาสกัว (Malapascua Island), เกาะบันตายาน (Bantayan Island) และเกาะโบราไกย (Boracay Island) ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ทางธรรมชาติที่งดงามแปลกตาอย่างหุบเขาช็อกโกแลต (Chocolate Hills) อีกทั้งภูเขาไฟมายอน (Mayon Volcano) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังมีชีวิต คือมีโอกาสที่จะกลับมาปะทุเมื่อไหร่ก็ได้นั่นเอง
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายที่เราสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า แต่มีกำหนดระยะเวลาในการท่องเที่ยว โดยสามารถดูเพิ่มได้ได้ที่ www.consular.go.th ... เอาเป็นว่าวันหยุดยาวครั้งต่อไปก็จิ้มเลือกเอาประเทศที่อยากไปแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม เพียงเท่านี้ประสบการณ์ท่องโลกก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
tourismlaos.org, yoursingapore.com, balitourismboard.org, dalat-tourist.com, gotokyo.org, discoverhongkong.com, kto.or.th และ tourismpenang.net