เที่ยวต่างประเทศ 20 สถานที่ที่น้อยคนจะรู้จัก แต่กลับมีเสน่ห์และมีเอกลักษณ์ดึงดูดให้นักเดินทางไปเยือน
1. ประเทศคีร์กีซสถาน หรือสาธารณรัฐคีร์กีซ (Kyrgyzstan)
ประเทศที่ตั้งอยู่ใจกลางทวีปเอเชียระหว่างประเทศจีนและประเทศคาซัคสถาน เดิมเคยตกเป็นเมืองขึ้นสมัยสหภาพโซเวียต ก่อนจะเป็นอิสระในปี ค.ศ. 1991 และด้วยความที่เป็นประเทศซึ่งน้อยคนจะรู้จักก็ทำให้มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งทิวทัศน์บริเวณทะเลสาบ Sary-Chelek และหุบเขาสีเขียวจะทำให้คุณสนุกไปกับการผจญภัยแน่นอน ช่วงที่เหมาะแก่การมาเยี่ยมชมมากที่สุดคือ ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน เพราะอากาศกำลังดีและไม่ต้องประสบกับสภาพฝนตกหนักหรืออากาศที่หนาวเย็นนั่นเอง
2. ประเทศบรูไน (Brunei)
ถึงจะตั้งอยู่ในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เหมือนกับประเทศไทย แต่ "บรูไน" ประเทศเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ก็ยังมีอะไรให้น่าค้นหาไม่น้อย ประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยยอดเขาสูงวัดใจนักไต่เขาถึง 9 แห่ง ในระดับความสูงตั้งแต่ 772 ฟุต ไปจนถึง 3,772 ฟุต เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ ใครที่เป็นนักท่องเที่ยวผู้รักการผจญภัยห้ามพลาดเลย หรือใครที่ชื่นชอบการแข่งขันเบสบอลก็มาชมกันสด ๆ ได้ที่สนาม Sultan Hassanal Bolkiah รวมทั้งห้ามพลาดไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ Malay Technology กันนะ สำหรับช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเยือนบรูไนคือ เดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากเดือนอื่น ๆ ที่เหลือมีอากาศร้อนสุด ๆ
3. ประเทศวานูอาตู หรือสาธารณรัฐวานูอาตู (Vanuatu)
วานูอาตู มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเกาะซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก อีกทั้งยังเป็นเกาะที่เจมส์ คุก นักสำรวจและนักเดินเรือชาวอังกฤษในตำนาน เคยเดินทางไปยังที่แห่งนี้ เพื่อทำแผนที่และสำรวจดินแดนดังกล่าวด้วย และหากว่าคุณอยากเดินรอยตามเจมส์ คุก ก็สามารถมาท่องเที่ยวได้ในช่วงเดือนพฤษภาคมและเดือนตุลาคม ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีกิจกรรมสนุก ๆ ให้คุณทำไม่รู้เบื่อ ทั้งเทศกาลงานรื่นเริง, ดำน้ำชมปะการัง และสำรวจซากเรือล่มใต้ท้องทะเล รวมทั้งลิ้มรสอาหารจานเด็ด
4. ประเทศคิริบาส (Kiribati)
ประเทศเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก และยังขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความน่าประทับใจทั้งผู้คนในท้องถิ่นและสถานที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเรื่องการตกปลาและวัฒนธรรมล้ำค่า แม้อากาศจะร้อนตลอดทั้งปีก็ยังมีชายหาดและน้ำทะเลสวย ๆ พร้อมจิบค็อกเทลให้คุณสดชื่น ที่สำคัญอย่าลืมพกครีมกันแดดติดกระเป๋าไปด้วยนะ
5. ประเทศทาจิกิสถาน หรือสาธารณรัฐทาจิกิสถาน (Tajikistan)
ประเทศที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและไม่มีทางออกสู่ทะเล มีอาณาเขตติดกับจีน, อัฟกานิสถาน, อุซเบกิสถาน และคีร์กีซสถาน และด้วยอยู่ล้อมรอบภูเขาเช่นนี้เองจึงถือเป็นสวรรค์ของนักปีนเขาและนักเดินทางที่ชอบท่องเที่ยวสไตล์แอดเวนเจอร์จากทั่วโลก และถึงแม้จะไม่มีดินแดนติดน้ำทะเล แต่ก็ใช่ว่าดินแดนแห่งนี้จะแห้งแล้ง ตรงกันข้ามมันยังมีทิวทัศน์ที่สมบูรณ์โดยเฉพาะภูเขา Wakhan, Penjikent และภูเขา Fan สำหรับช่วงที่ดีที่สุดที่จะไปเยือนทาจิกิสถานคือ ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน
6. ประเทศอาเซอร์ไบจาน (Azerbaijan)
อาเซอร์ไบจาน ตั้งอยู่ระหว่างยุโรปตะวันออกและเอเชียตะวันตก และมีชื่อเสียงด้านการส่งออกน้ำมันรวมทั้งประวัติศาสตร์อันยาวนาน จึงถือเป็นปลายทางในฝันสำหรับนักท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่อยากแกะรอยอดีตมารื้อฟื้นในยุคปัจจุบันอีกครั้ง สถานที่น่าสนใจซึ่งห้ามพลาดเลยก็คือ Maiden\'s Tower หอคอยใจกลางน้ำที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่า บากู (Baku) เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ รวมทั้ง Khan’s Palace พระราชวังเก่าแก่แถมยังมีบรรยากาศร่มรื่นอีกด้วย ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไปเยือนอาเซอร์ไบจานคือ เดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งช่วงเวลานี้ดอกไม้กำลังบานสะพรั่งเลย
7. มายอต, ฝรั่งเศส (Mayotte, France)
ดินแดนโพ้นทะเลของฝรั่งเศส นอกจากจะเข้าถึงยากแล้วยังถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีค่าครองชีพแสนแพงอีกด้วย และหากว่าคุณเป็นเศรษฐีกระเป๋าหนักแบบถึงไหนถึงกัน ก็อย่าพลาดไปสัมผัสความสวยงามของท้องทะเลในมายอต นอกจากนี้ห้ามพลาดกิจกรรมดำน้ำชมปะการัง, ล่องเรือใบ หรือนอนอาบแดดริมหาด ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ เดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน
8. ประเทศนาอูรู หรือสาธารณรัฐนาอูรู (Nauru)
ประเทศเพื่อนบ้านทางทะเลกับประเทศคิริบาส ซึ่งตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกเช่นเดียวกัน แม้จะอยู่ห่างไกลแต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ประชากรมีความมั่งคั่งจากการค้าขายหินฟอสเฟต ซึ่งมีแร่สำคัญสำหรับใช้ทำปุ๋ยเคมี และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญคือ Command Ridge พื้นที่ซึ่งเป็นฐานทัพสำคัญของญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และแน่นอนว่าน้ำทะเลใส ๆ กับหาดทรายสวย ๆ ก็ทำให้คุณสดชื่นขึ้นได้อย่างแน่นอน ช่วงที่ดีที่สุดในการไปเยือนประเทศนาอูรูคือ ตั้งแต่เดือนมีนาคมไปจนถึงตุลาคม
9. ประเทศบูร์กินาฟาโซ (Burkina Faso)
บูร์กินาฟาโซ ประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก ดินแดนซึ่งไม่มีทางออกสู่ทะเล ทว่าเสน่ห์ของบูร์กินาฟาโซอยู่ที่เอกลักษณ์ของคนในท้องถิ่นที่ดำรงชีวิตแบบดั้งเดิมจนถึงปัจจุบัน หากคุณเป็นคนที่ชอบศึกษาวัฒนธรรมชุมชนหรือวิถีชีวิตต่างแดนก็ห้ามพลาดที่จะมาเยือน ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การมาเที่ยวประเทศบูร์กินาฟาโซคือ ระหว่างกลางเดือนตุลาคมไปจนถึงเดือนธันวาคม
10. ประเทศไอวอรีโคสต์ หรือโกตดิวัวร์ (Ivory Coast)
หลายคนอาจไม่คุ้นหูกับประเทศนี้สักเท่าไร ซึ่งไอวอรีโคสต์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก และมีชายแดนติดกับประเทศบูร์กินาฟาโซ ในอดีตทางชายฝั่งของที่แห่งนี้เคยรุ่งเรืองจากการค้าขายทางน้ำ กระทั่งต้องเผชิญกับปัญหาสงครามกลางเมือง อย่างไรก็ตาม ไอวอรีโคสต์ก็ยังขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของชายหาด ท้องทะเล เขตป่าฝน ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่รักการผจญภัยสุด ๆ สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะแก่การมาเยือน ได้แก่ เดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนมีนาคม
11. ประเทศตูวาลู (Tuvalu)
ประเทศตูวาลู เดิมรู้จักกันในชื่อหมู่เกาะเอลลิซ ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างออสเตรเลียและฮาวาย มันเป็นประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งแน่นอนว่าวิวสวย ๆ ของชายหาดและน้ำทะเลเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือน ใครที่สนใจอยากมาว่ายน้ำชมปะการังหรือทำกิจกรรมทางน้ำก็ควรเดินทางมาในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม เพื่อหลีกเลี่ยงสภาพอากาศแปรปรวนต่าง ๆ
12. ประเทศอันดอร์รา (Andorra)
ประเทศเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ภายใต้ร่มเงาของเทือกเขาพิเรนีส ซึ่งมีพรมแดนอยู่ระหว่างประเทศฝรั่งเศสกับประเทศสเปน ซึ่งแน่นอนว่ามันคือดินแดนสวรรค์ของนักปีนเขาจากทั่วโลก และด้วยเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีความเงียบสงบและมีทัศนียภาพสวยงาม ทำให้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวได้ไม่ยาก แถมรายได้หลักของประเทศก็มาจากการท่องเที่ยวด้วย นอกจากนี้อันดอร์รายังโด่งดังเรื่องวัฒนธรรมพื้นบ้านที่เป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งอาหารท้องถิ่นด้วย ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การมาเที่ยวชิล ๆ คือ ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม
13. ประเทศลิกเตนสไตน์ (Liechtenstein)
ลิกเตนสไตน์ ตั้งอยู่ทางทวีปยุโรปกลาง ระหว่างประเทศออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่เคยถูกครอบครองโดยเยอรมนี จึงทำให้ผู้คนมักใช้ภาษาเยอรมันในการสื่อสาร เสน่ห์ของลิกเตนสไตน์อยู่ที่ในช่วงฤดูหนาวที่หิมะโปรยปรายหรือทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง ซึ่งเหมาะแก่การเล่นสโนว์บอร์ดและสกีมากทีเดียว ส่วนในช่วงฤดูร้อนคุณก็สามารถเพลิดเพลินไปกับการปีนเขาหรือการขี่จักรยานเสือภูเขาชมวิวสวย ๆ ในเส้นทางวิบาก
14. ประเทศปาเลา (Palau)
อีกหนึ่งประเทศหมู่เกาะที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก จากภาพมุมสูงจะเห็นว่ามีเกาะเล็กเกาะน้อยเกาะกลุ่มกันมากมาย อีกทั้งความสวยงามและควรค่าแก่การไปเยือนยังอยู่ที่ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ จนขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีจุดดำน้ำตื้นและดำน้ำลึกอันดับต้น ๆ ของโลก ยังไม่หมดเท่านั้น ซากเรือรบที่จมใต้ท้องทะเลขนานกับแนวปะการังอันสมบูรณ์ยังทำให้นักดำน้ำตื่นตาตื่นใจได้เสมอ ใครที่อยากสัมผัสประสบการณ์สุดอะเมซิ่งในโลกใต้ท้องทะเลก็สามารถเดินทางมาได้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนมีนาคม
15. เซาท์ออสซีเชีย (South Ossetia)
เซาท์ออสซีเชีย ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเทือกเขาคอเคซัส (Caucasus) ซึ่งเป็นเทือกเขาที่กั้นพรมแดนระหว่างยุโรปและเอเชีย ว่ากันว่าเป็นเสมือนดินแดนลึกลับที่ยากจะหาตำแหน่งเจอแม้กระทั่งทีมงานของกูเกิลเอิร์ธก็เถอะ เรียกว่าใครจะไปเยือนประเทศนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทว่าความท้าทายเช่นนี้เองที่ทำให้เหล่านักเดินทางขาลุยอยากจะไปพิชิตกันสักครั้ง
16. ประเทศฟุตูนา (Futuna)
ประเทศเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่ประมาณ 80 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยอาคารบ้านเรือนกว่า 5,000 หลังคาเรือน และอยู่ใจกลางภูมิภาคโปลินีเซีย จุดเด่นของประเทศนี้อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงที่น้อยมากถึงมากที่สุด จึงทำให้คุณได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมต่าง ๆ ซึ่งสวนทางกับความเจริญของโลกปัจจุบัน ใครที่อยากนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปหาอดีตก็มาเยือนประเทศฟุตูนากันได้ สำหรับช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือ ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนตุลาคม
17. สาธารณรัฐนากอร์โน-คาราบัค (Nagorno Karabakh)
อีกหนึ่งประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลและตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเทือกเขาคอเคซัส (Caucasus) แถมยังมีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาและป่าล้อมรอบอยู่ ใครที่อยากเที่ยวแบบใกล้ชิดธรรมชาติ สาธารณรัฐนากอร์โน-คาราบัค ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกน่าสนใจ นอกจากนี้ยังมีชื่อเสียงในเรื่องพิพิธภัณฑ์และประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ จึงถือได้ว่าเป็นดินแดนที่เหมาะแก่การค้นคว้าศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ รวมทั้งชื่นชมความงดงามของทัศนียภาพที่เต็มไปด้วยภูเขาและป่าไม้
18. ประเทศไมโครนีเซีย (Federated States of Micronesia)
ประเทศเกาะที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก และประกอบด้วย 4 รัฐใหญ่ คือ Yap, Chuuk, Pohnpei และ Kosrae ซึ่งแต่ละรัฐจะมีวัฒนธรรมและเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ทำให้เป็นประเทศที่มีความหลากหลายและน่าไปเยือนมากทีเดียว นอกจากนี้ไฮไลต์เด็ดยังอยู่ที่แนวปะการังและสัตว์โลกใต้ท้องทะเล ที่ควรค่าแก่การดำน้ำลงไปสัมผัสความสวยงามของหมู่มวลสิ่งมีชีวิตใต้น้ำสักครั้ง
19. หมู่เกาะฟอล์กแลนด์ (Falklands)
หมู่เกาะที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติก และเป็นพื้นที่นอกอาณาเขตของสหราชอาณาจักร ขึ้นชื่อว่าเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยฝูงเพนกวิน, นกทะเล และแมวน้ำ ถึงแม้จะตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแต่ก็ใช่ว่าจะมีแค่กิจกรรมดำน้ำชมปะการังหรือล่องเรือเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์หลายแห่งที่สะท้อนให้เห็นถึงผลของสงครามในสมัยก่อน แถมอากาศยังมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 24 องศาเซลเซียส ตลอดทั้งปี จึงเป็นสถานที่ซึ่งเหมาะแก่การเที่ยวพักผ่อนไม่น้อย
20. เกาะอัสเซนชัน (Ascension)
ดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักรในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ และยากแก่การเข้าถึง แต่ตลอดทั้งปีก็มีนักท่องเที่ยวไม่น้อยไปเยือนเพื่อชมความงามของภูเขาไฟแสนโดดเดี่ยวบนเกาะ อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้คนมาตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะราว ๆ 800 หลังคาเรือน ซึ่งช่วยทำให้บรรยากาศไม่เงียบเหงาจนเกินไป ใครที่ไม่หวั่นเรื่องความยากลำบากแต่คิดว่ามันคือเรื่องท้าทายก็แวะเวียนมาได้เลย
เป็นอย่างไรบ้างสำหรับ 20 สถานที่ซึ่งเราแนะนำกัน เชื่อว่ายังมีหลายคนที่ไม่เคยได้ยินชื่อดินแดนเหล่านี้ นั่นก็แสดงให้เห็นว่าบนโลกของเรายังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายทั่วทุกมุมโลก ใครที่เป็นนักเดินทางตัวยงก็อย่าลืมแวะเวียนไปสัมผัสกับสถานที่เหล่านี้กันนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก
lifehack.org, triphackr.com และ makemytrip.com