เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ The Travelerz สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก TheTraveler
สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากไปเที่ยว "ภูทับเบิก" สัมผัสไร่กะหล่ำปลีกว้างไกลสุดสายตา แต่ยังไม่ว่าจะเริ่มที่ตรงไหน ยังไงดี วันนี้เราหยิบเอาบันทึกการเดินทางของ คุณ The Travelerz สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่มีโอกาสไปเยือนดินแดนแห่งมนตร์เสน่ห์ที่งดงามอย่างภูทับเบิก ด้วยการแบกเป้ สะพายกล้อง โบกรถเที่ยว พร้อมกับถ่ายทอดออกมาให้เราได้ชมกัน แถมยังบอกเล่ารายละเอียดงบประมาณสุดประหยัดในการเดินทางครั้งมาให้เราทราบกันด้วย
ทริปนี้เป็นทริปที่อยากไปมานานมากอีกทริปหนึ่ง หลังจากที่ไม่ได้ไปมาหลายปี ประกอบกับเห็นเพื่อนสาวของผมคนหนึ่งเคยแบกเป้ไปมาแล้วด้วย ผมเลยลองถามเธอคร่าว ๆ ดูเป็นไอเดีย ซึ่งหลาย ๆ คนเลือกจะไปเที่ยวที่นี่กันในช่วงหน้าหนาว ๆๆๆ ผมก็อยากไปนะแต่เอาจริง ๆ ผมไม่ชอบคนเยอะแบบไปแย่งกันกินแย่งกันใช้อะไรประมาณนี้ และที่สำคัญผมอยากลองมาเที่ยวที่นี่หน้าฝนดูว่าจะเป็นอย่างไร สวยมากไหม แล้วถ้าเราไม่มีรถส่วนตัวไปล่ะ จะไปอย่างไร แล้วถ้ายิ่งมีงบจำกัดล่ะ จะทำได้หรือเปล่า มันเหมือนกับเป็นการตั้งโจทย์ให้ตัวเองในการเที่ยวแต่ละทริป และทริปนี้ก็มีคนหลงผิด (ผิดพลาด) มากลับผม 3 นาง ด้วยกัน ทริปนี้จะสนุก ตื้นเต้น เร้าใจแค่ไหน มาติดตามการเดินทาง แบกเป้ โบกรถเที่ยว "ภูทับเบิก" กันได้ ณ บัดนี้
และฝากติดตามพวกเราได้อีกช่องทางที่แฟนเพจนี้นะครับ https://www.facebook.com/thetravelerz และรีวิวครั้งก่อน ๆ ด้วยนะครับ
Backpack to Malaysia & Singapore แบกเป้ สะพายกล้อง ท่องเที่ยวมาเลเซียและสิงคโปร์ 1
Backpack to Malaysia & Singapore แบกเป้ สะพายกล้อง ท่องเที่ยวมาเลเซียและสิงคโปร์ 2
Backpack to Malaysia & Singapore แบกเป้ สะพายกล้อง ท่องเที่ยวมาเลเซียและสิงคโปร์ 3 Final
แบกเป้ สะพายกล้อง ท่องประจวบคีรีขันธ์ ปืนเขาล้อมหมวก
แบกเป้ สะพายกล้อง นั่งรถไฟ โบกรถ ท่องสังขละบุรี หน้าฝน แบบชิลชิล >> ทริปล่าสุด
ป.ล. กระทู้เดี๋ยวมีเยอะมาก หลุดวงโคจรก็อย่างไว ยังไงคอมเมนต์ กดไลคน์ แชร์ หรือกด+ ด้านซ้ายเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ
ทริปนี้ผมได้จากตั๋วล่วงหน้าของเพชรประเสริฐทัวร์ไว้ราคา 322 บาท รอบ 23.30 น. ปลายทางอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื่องจากผมทำงานเลิกดึกทุกวันกลัวไปแล้วตั๋วเต็ม
เมื่อถึงวันเดินทางหลังจากเลิกงานก็รีบนั่งรถไฟฟ้ามาหานะเธอมาลงที่สถานีหมอชิต แล้วนัดรวมตัวกับผู้ร่วมชะตากรรมที่ Central ลาดพร้าว (วันนี้ขอแลกเวรกับเพื่อนที่ทำงานเลยได้เลิกงานไว) หาอะไรกินก่อนแล้วนั่งแท็กซี่มาที่ท่าอากาศยานนานาชาติหมอชิต (ลองเช็กอินในเฟซบุ๊กไม่รู้ใครมาตั้งชื่อไว้) นั่งรอเวลาเพชรประเสริฐแอร์ออก (อันนี้ตั้งเอง)
บางคนนั่งรอ แต่บางคนก็นอนรอ หรือนอนหลับก็ไม่รู้ รถออกตอน 23.30 น. ชานชาลาที่ 30 เมื่อรถออกปุ๊บก็หลับปั๊บ หลับแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ รู้ตัวอีกทีก็ถึงหล่มสักแล้ว
เรามาถึงที่หล่มสักตอนตีสี่ครึ่ง เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วก็เริ่มหาทางไปต่อ เท่าที่ถามเพื่อน ๆ บอกว่าต้องนั่งรถไปอำเภอหล่มเก่าแล้วเหมาสามล้อไปแยกทับเบิก ซึ่งรถที่จะไปหล่มเก่าอยู่ห่างจาก บขส.ประมาณ 5 กิโลเมตร ลองไปถามสามล้อก็คิดเราคันละ 100 บาท สองคันก็ 200 บาท ผมว่ามันแพงไปนะ แถมตอนแรกบอกเราว่าไปส่งแยกทับเบิกคิด 200 บาท คุยไปคุยมาคิดเพิ่มเราเลยตัดสินใจเดินไปโบกรถที่สี่แยกพ่อขุนเพื่อหารถไปหล่มเก่าแทน
ถามคนแถวนั้นเค้าบอกว่าให้มาลองหารถที่หน้าตลาดขายผัก จะหารถไปหล่มเก่าง่ายกว่า คนที่นี้ใจดีมาก ๆ แซวพวกเราตลอดไม่เหมือนพวกสามล้อเลย
ระหว่างที่รอโบกรถเพื่อที่จะไปหล่มเก่า พวกพี่แถวนั้นถามว่าจะไปที่ไหนกัน พวกเราบอกว่าจะไปภูทับเบิก พี่เค้าบอกว่าไปตรงที่เค้าลงกะหล่ำปลีสิ มีพวกม้งเอากะหล่ำปลีมาขายแล้วเดี๋ยวก็ขึ้นภูทับเบิก คำพูดนี้มันเหมือนแสงนำทางสู่หนทางสว่างเลยทีเดียว เราจะเริ่มภารกิจโบกรถ
ระหว่างที่กำลังโบกรถอยู่พี่ ๆ แถวนั้นก็ถามรถของชาวม้งให้เรา เย้ ๆ ในที่สุดพวกเราก็ได้รถขึ้นภูทับเบิกตอน 05.55 น.
ระหว่างที่นั่งมาระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร กับเวลา 1 ชั่วโมง และวิวสองข้างทางสวยมาก ๆ รู้สึกเหมือนนั่งมาแป๊บเดียวเอง อยากจะถ่ายรูปมาฝากนะแต่ถ่ายไม่ได้เลย รถเหวี่ยงซ้ายที ขวาที กับเส้นทางขึ้นเขาถือว่าสุดยอดมาก พี่แกขับรถเร็วมากเหมือนกับว่าเราไม่ได้นั่งกระบะมาด้วย แถมพี่เค้ามาส่งพวกเราถึงที่วิสาหกิจชุมชนภูทับเบิก ซึ่งไม่ใช่ทางผ่านบ้านพี่เค้าซะด้วย ใจดีสุด ๆ เลย
เส้นทางนี้แหละที่เราขึ้นมากันคดเคี้ยวเป็นงูเลย เรามาถึงภูทับเบิกประมาณ 7 โมงเช้าเห็นจะได้
มาถึงภูทับเบิกเรายังไม่มีที่พักกันเลย ตอนแรกกะว่าจะกางเต็นท์นอนบนจุดสูงสุดภูทับเบิก แต่ลมแรงมาก ๆ หลังจากที่เราเดินสำรวจด้วยรอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เดินสำรวจถ่ายภาพไปเรื่อยเพราะส่วนใหญ่เพิ่งมาภูทับเบิกครั้งแรกกันทั้งนั้น
หลังจากเดินสำรวจและหาที่พักอยู่สักพักใหญ่ เราก็มาได้ที่ ภูทับเบิกรีสอร์ท ไม่ใช่อะไรหรอกรีสอร์ทอื่นปิดปรับปรุงเพราะไม่ใช่หน้าท่องเที่ยว ราคาคืนละ 1,000 บาท แต่ต่อลองราคาแล้วเหลือคืนละ 900 บาท พักได้ 4 คน ภูทับเบิกรีสอร์ทอยู่ตรงข้ามวิสาหกิจชุมชนภูทับเบิก
วิวด้านหน้าที่พักของพวกเราสวยไหม
ตอนแรกเลยเราอยากพักห้องนี้ จากที่ถาม คือ ราคาเท่ากันแต่มีคนพักอยู่ และมีแค่ 2 ห้อง แต่หลังจากที่จ่ายเงินแล้วคนที่พักห้องนี้ก็เช็กเอาท์ เราจึงขอเปลี่ยนห้องแต่ต้องรอให้แม่บ้านทำความสะอาด
ระหว่างรอห้องเราก็หามื้อเช้าทานกัน แล้วก็นั่งมองวิวเบื้องหน้าจากที่พักของเรา กินข้าวไปมีวิวสวย ๆ ให้ดูเพลินสุด ๆ
ช่วงที่เรามาเป็นช่วงที่ฝนตกเกือบทุกวัน เลยได้เห็นอะไรแบบนี้
วิวจากหน้าที่พัก ใครอยากเห็นทะเลหมอกที่ภูทับเบิกแนะนำมาช่วงหน้าฝนนะครับ
เงียบสงบมาก ๆ หน้าฝนแบบนี้ก็สวยไปอีกแบบ
ทะเลหมอกแม้จะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้เคลิ้มได้ ได้แต่หวังว่าคืนนี้ฝนตกแล้วพรุ่งนี้มีทะเลหมอกสวย ๆ ให้ดู
หลังจากที่ทานอาหารเช้าเสร็จและเอาสัมภาระฝากไว้รอจนกว่าห้องจะเสร็จ ก็ได้เวลาไปเดินย่อยชิล ๆ สำรวจภูทับเบิกกันสักหน่อย
ทางแบบนี้นับถือคนที่ขับรถขึ้นมาจริง ๆ
หมู่บ้านในหุบเขาและสายหมอก
หญ้าไหว ๆ ปล่อยกาย ปล่อยใจไปกับสายลม
เดินเล่นมาเรื่อย ๆ ก็เห็นพี่เค้ากำลังเก็บเศษกะหล่ำปลีที่พอจะเอาไปขายได้อยู่ เท่าที่คุยกับพี่เค้าราคากะหล่ำปลีที่ขายข้างบนนี้ถูกมาก ๆ
ไร่กะหล่ำปลีสุดลูกหูลูกตาที่รอการเก็บอยู่
เดินเล่น เดินถ่ายรูปไปเรื่อยก็มาเจอพี่ชาวม้งกำลังเก็บกะหล่ำปลีอยู่
ตีเนียนเข้าไปคุยหรือเข้าไปเกะกะพี่เค้าก็ไม่รู้ แต่พี่เค้าใจดีบอกว่าไม่กวน ๆ เราก็เลยตามน้ำเนียนคุยกับพี่เค้าไป
เนียนไม่เนียนดูเอาแล้วกันไปช่วยพี่เค้าเก็บกะหล่ำปลีซะงั้น ไม่รู้ไปช่วยให้เค้าช้าลงหรือเปล่า
ดูเอาแล้วกันว่าไร่กะหล่ำปลีมันกว้างใหญ่แค่ไหน พี่เค้าบอกใช้เวลาเก็บไม่ต่ำกว่า 3 วัน
ถามพี่เค้าว่าตะกร้าที่แบกอ่ะหนักไหม พี่บอกตะกร้าไม่หนัก แต่ถ้าใส่กะหล่ำปลีไปก็ประมาณ 50 กิโลกรัม ผมไม่เชื่อ
พอผมได้ลองเท่านั้นแหละเดินแทบไม่รอด จะล้มให้ได้ แต่พวกพี่เค้าเดินสบาย แถมบอกว่าไม่หนักอีกต่างหาก
กว่าจะเดินมาถึงรถขนกะหล่ำปลีแทบไม่รอด เดินขึ้นทางชันซะด้วย
กะหล่ำปลีลูกใหญ่มาก ๆ แถมราคาถูกมาก ๆ ด้วย กิโลกรัมละแค่ 2-3 บาท ถ้าพ่อค้ามารับที่ภูทับเบิก แต่ถ้าเอาไปขายเองข้างล่างจะได้กิโลกรัมละ 4-5 บาท แต่ถ้าไปสาย ๆ ราคาก็จะถูกลง แถมรถกระบะหนึ่งคันบรรทุกได้ 2-2.5 ตันเท่านั้น
ช่วยพี่เค้าเก็บกะหล่ำปลีสักพักเราก็ต้องไปที่อื่นกันต่อ เลยขอพี่เค้าถ่ายรูปเป็นที่ระทึกสักหน่อย พี่เค้าบอกให้ส่งรูปมาให้ด้วย เลยขอที่อยู่และถามชื่อพี่เค้าได้ความว่าพี่เค้าชื่อเบีย
ก่อนจะจากกันพี่เค้าจะให้กะหล่ำปลีพวกเราด้วย ในฐานะที่ไปช่วย ทั้งที่พวกเราแหย่เล่นว่าขอกะหล่ำปลีกลับไปคนละลูก พี่เค้าใจดีมาก ๆ นี้ถ้าเอารถมาเองนะจะเอากลับไปจริง ๆ 555 เราบอกปฏิเสธพี่เค้าก็ชวนพวกเราไปทานข้าวที่บ้านอีก แหม...คนที่นี่ใจดีจริง ๆ
เป้าหมายต่อไป คือ ยอดแหลมบนเขาลูกนั้น ก็คือ วัดป่าภูทับเบิก ซึ่งห่างจากภูทับเบิกไปประมาณ 5 กิโลเมตร
ดูกี่ครั้งก็อลังการกับไร่กะหล่ำปลีที่นี่
หลังจากล่ำลาพี่ ๆ แล้วพวกเราก็ต้องเดินมาที่ถนนเส้นหลัก เพื่อโบกรถไปวัดป่าภูทับเบิก
เดินไปถ่ายรูปไปฟินมากเลยนะ
เดินมาถึงถนนเส้นหลักแหละ ใช้เวลาโบกรถไม่นาน ในที่สุดก็มีรถรับพวกเราไปที่หมู่บ้านแต่สมาชิกในทริปดันอยากกินกาแฟสด ซึ่งที่จริงมีอยู่หลายที่บนภูทับเบิกแต่ปิดหมด เพราะไม่ใช่หน้าท่องเที่ยวเหลืออยู่ที่ตรงภูสวรรค์ใกล้โบสถ์คริสต์ที่เดียว พวกเราเลยขอพี่เค้าลงที่นี่แทน
เรานั่งพักจิบกาแฟ ชา โกโก้แก้หนาวสักพักใหญ่ ๆ ก่อนจะเดินถ่ายรูปและหารถต่อไปยังวัดป่าภูทับเบิก
วิวด้านหน้าร้านกาแฟภูตะวัน
อีกสักภาพแล้วกัน แบบว่าวิวสวยอ่ะ
มุมเสียว ๆ ใครถีบผมโกรธจริง ๆ ด้วย ตั้งกล้องแล้วรีบวิ่งมาสุด ๆ เลย
หลังจากที่เพลิดเพลินกับวิวที่ภูสวรรค์แล้วพวกเราก็ได้โบกรถหน้าร้านกาแฟมายังหมู่บ้าน วิวจากบนกระบะ
อยู่ท้ายกระบะผ่านหลายโค้ง จนมีบางคนออกอาการ (คนที่นี่ขับรถกันไม่เบาสักโค้งเลย) จนในที่สุดก็มาถึงที่หมู่บ้าน และพี่ที่เราโบกรถมาก็ถามเราว่าจะไปที่ไหนกัน พวกเราก็ตอบว่าจะไปวัดป่าภูทับเบิก พี่เค้าบอกว่าเดี๋ยวจะไปส่งแต่ขอไปบ้านก่อน แต่ก็นะพี่เค้าดันมาส่งเราที่วัดก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน (คนที่นี่ใจดีอีกแล้ว)
วัดป่าภูทับเบิก เป็นวัดป่าที่สูงที่สุดในประเทศ มีผู้คนจากต่างที่มาปฏิบัติธรรมกันมากมาย ตอนนี้ทางวัดกำลังสร้างเจดีย์อยู่ ไอ้ยอดที่เรามองเห็นจากภูทับเบิกนั้นแหละ
มาถึงแล้วก็มากราบพระเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนจะเดินชมวัดกันอีกนิดหน่อย
หลังจากที่ไหว้พระและเดินชมวัดแล้วพวกเราก็เดินลงจากวัดไปที่หมู่บ้าน ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ที่หมู่บ้านเรากินก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ ชามละ 25 บาท ต้องขอโทษที่ไม่ได้ถ่ายมานะ แบบว่าหิวมากรู้ตัวอีกทีก็เหลือแต่ซาก
กินอิ่มแล้วก็ได้เวลาโบกรถกลับที่ภูทับเบิก คราวนี้ได้รถคันเดิมที่ไปส่งเราที่ร้านกาแฟแต่พี่เค้าไปไม่ถึงยอดภู เราไม่สนใจบอกได้ ๆ ดีกว่าไม่มีรถ
วิวจากบนรถกระบะนี้มันสวย เสียวสุด ๆ จริง ๆ พี่น้อง
เบื้องหน้าพวกเรา คือ ยอดภูทับเบิกและที่พักของเราในค่ำคืนนี้ พี่เค้ามาถึงแค่บริเวณร้านโรงเตี๊ยม จากนั้นเราก็เดินมาที่พักอีกประมาณหนึ่งกิโลเมตรเห็นจะได้
กลับมาถึงที่พักประมาณบ่ายสองกว่า ๆ พวกเราก็เอาสัมภาระเข้าไปเก็บในห้องพักและก็นั่งคุย นอนคุย จนเผลอหลับไปเพราะอาการเหนื่อยแหง ๆ
เผลอหลับไปตั้ง 2 ชั่วโมง พอตื่นขึ้นมาเหมือนร่างกายได้พัก พลังงานมาเต็ม ผมก็ไม่รีรอให้เสียเวลาเดินเล่นแถวนั้น ส่วนคนอื่น ๆ ก็ยังอยู่ที่พัก เดินไปคุยกับคุณยาย ถามโน้นถามนี้ ยายแกบอกว่าว่าง ๆ ไม่มีนักท่องเที่ยวเพราะลมมันแรง ร้านต่าง ๆ เลยปิด แกก็เลยมานั่งถักโครเชต์ฆ่าเวลา
เดินมาผมก็มาเจอเด็กน้อยชาวม้งสองพี่น้องกำลังเล่นกันระหว่างรอพ่อแม่เก็บกะหล่ำปลี ผมจึงเค้าไปคุยด้วย (หรือว่าไปหลอกเด็กก็ไม่รู้)
ผมชอบรอยยิ้มของน้อง ๆ ทั้งสองนะ น่ารักแบบใสซื่อบริสุทธิ์ดี
เย็นแล้วแต่ชาวบ้านก็ยังเก็บกะหล่ำปลีกันอยู่เลย
พอตกค่ำท้องก็เริ่มร้องได้เวลาไปหาอะไรลองท้องกันแล้ว แต่ร้านส่วนใหญ่ปิดหมด มีร้านเดียวที่เปิด คือ ร้านโรงเตี๊ยมภูทับเบิก
เราต้องเดินลงมาประมาณกิโลฯ พร้อมกับฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมา และมีสุนัขเจ้าถิ่นเดินมาเป็นเพื่อนเราด้วย วันนี้ร้านคนไม่เยอะเท่าไหร่
มื้อเย็นนี้เป็นมื้อที่พวกเราจัดหนักที่สุด ค่าเสียหาย 1,100 บาท หารแล้วก็คนละ 275 บาทพอดีเป๊ะ (อ้อ ลืมบอกไปตั้งแต่มาที่นี่เมฆครึ้ม ลมแรง และอากาศเย็นตลอดวัน คาดการว่าอากาศจะเย็นลงกว่านี้ในตอนดึกและร้านอาหารส่วนใหญ่จะปิดประมาณหนึ่งทุ่มไม่เกินสองทุ่ม) พอเราทานกันอิ่มจ่ายค่าเสียหายเรียบร้อยและเป็นโต๊ะสุดท้ายที่เหลืออยู่ พี่ร้านก็ไปส่งเราที่ที่พัก (ไม่ต้องเดินกลับอีกแล้ว) ทางเดินขึ้นมันมืดมากด้วย พี่เค้าเลยจำใจไปส่ง (หรือเปล่า) พอกับถึงที่พักก็ทำภารกิจส่วนตัว อาบน้ำ อาบท่า นั่งคุยกันสักพัก (พร้อมจิบเบียร์ไปพลาง ส่วนผมแค่เป๊ปซี่) ก่อนจะแยกย้ายไปนอน
เมื่อคืนอากาศเย็นมาก ๆ เล่นเอานอนสั่นไปทั้งคืนเลยทีเดียว นี่ขนาดมีผ้านวมห่มตอนนอนนะเนี่ย
วันนี้ผมตื่นแต่เช้า (แบบว่ามันตื่นเองแบบไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกเลย) ออกมาเดินรับอากาศบริสุทธิ์คนเดียวที่จุดสูงสุดยอดภูทับเบิก ปล่อยให้สาว ๆ นอนกันต่อไป
มานั่งชิล ๆ ชมบรรยากาศยามเช้าของภูทับเบิกเพลินมาก
เสียดายที่วันนี้ไม่มีทะเลหมอก เพราะลมบนยอดภูแรงมาก ๆ อากาศตอนเช้าประมาณ 20 องศา เย็นกำลังดี
เส้นทางขึ้นภูทับเบิกถูกปกคลุมไปด้วยหมอก
มานั่งคิดอะไรเพลิน ๆ คนเดียวบ้าง ไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดสมอง ปล่อยกาย ปล่อยใจไปกับธรรมชาติ (ตั้งกล้องถ่ายนะครับ)
นั่งมองวิวสวย ๆ แบบนี้คนเดียวอยู่พักใหญ่ ก็ธรรมชาติที่นี่มันสวยอ่ะ
ที่นี่ก็มีกังหันนะครับ
คุณยายสตอว์เบอร์รี ไม่ได้ว่ายายนะแต่แกใส่หมวกสตอว์เบอร์รีน่ารักอ่ะ ใจดี คุยสนุก เจอกันตอนเดินกลับที่พัก
กลับมาที่พักไม่เจอใคร เจอแต่เธอคนเนี้ยนั่งอยู่คนเดียว
ทุกคนไปยอดภูกันหมดเลยต้องตามไปอีกรอบ เห็นเพื่อนนั่งเหม่อได้ฟิลมาก ๆ เลยขอสักภาพเหอะ
หลังจากกลับมาที่พักแล้วก็เก็บสัมภาระ กินอาหารตามสั่งคนละจาน ๆ ละ 60 บาท ก็ได้เวลาที่จะต้องลงจากภูทับเบิกกันเสียที เดี๋ยวสายกว่านี้จะไม่มีรถลง ดูเวลาก็ 11 โมงแล้ว เราก็เดินไปดักรอรถตรงสามแยกและปฏิบัติการโบกรถก็ได้เกิดขึ้น โบกอยู่หลายคันสุดท้ายก็มาได้รถขนกะหล่ำปลี คนนี้ที่จะพาเราลงจากภูทับเบิก
ผมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งได้ที่นั่งวีไอพีมาก ๆ คือ บนหลังคารถกระบะ
ส่วนสองคนที่เหลือนั่งอยู่บนกองกะหล่ำปลี
ยิ่งกว่าเล่นรถไฟเหาะอีก เร็วแรงและเสียวทุกโค้ง ไม่มีเข็มขัดนิรภัยด้วย
วิวจากบนหลังคาที่นั่งวีไอพีนี่มันสวยปนเสียวดีจริง ๆ
ที่นั่งแบบวีไอพีลองสักครั้งแล้วจะติดใจ คนเป็นโรคหัวใจและกลัวความสูงไม่แนะนำ
ที่เราได้นั่งรถพี่เค้ามาเพราะพี่เค้าจะเอากะหล่ำปลีไปขายที่หล่มเก่า แต่ระหว่างทางถ้าเจอพ่อค่าแม่ค้าดักกลางทางก็จอดคุยและตกลงเรื่องราคา ถ้าขายได้ก็ขาย เมื่อพี่เค้าขายสิ่งที่เราทำได้ คือ ช่วยเค้าขน พี่เค้าขายตระกล้าละ 60 บาทเอง ถือว่าถูกมาก ๆ เลย
ตอนแรกพี่เค้าขายกะหล่ำปลีหมดแล้วคิดไว้ว่าคงต้องโบกรถคันใหม่ แต่พี่เค้าก็ใจดีไปส่งเราถึงอำเภอหล่มเก่า (พี่เค้าต้องพาเมียไปหาหมอที่โรงบาลในตัวอำเภอ)
หลังจากที่นั่งมาประมาณ 1 ชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงแล้วตัวเมืองหล่มเก่า มีแต่บ้านไม้เก่า ๆ เต็มไปหมด แต่ทำไมมีแต่คนมองพวกเราก็ไม่รู้
พี่เค้ามาส่งเราที่หน้าโรงพยาบาล ก่อนจะจากกันก็ไม่ลืมขอถ่ายรูปพี่เค้าเป็นที่ระลึก แต่ดันลืมถามชื่อซะงั้น แถมพี่เค้ายังบอกว่ามีโอกาสมาเที่ยวภูทับเบิกใหม่นะ (ไม่มาได้ไงคนที่นี่ใจดีออกอย่างนี้ ใครไม่มาก็บ้าแล้ว)
หลังจากล่ำลาพี่เค้าเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินสำรวจเมืองและหาของกิน เมืองหล่มสักดูไปดูมาคล้าย ๆ เชียงคานสมัยก่อนมาก ๆ บ้านไม้เก่า ๆ ยังคงเดิม แถมได้ข่าวมาว่าจะอนุรักษ์ทำเป็นหลวงพระบางเมืองไทยด้วย
ผู้คนที่นี่ยังคงใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย (ขนาดร้านกาแฟสดในเมืองยังไม่มีเลย) ซึ่งคนส่วนใหญ่เป็นท่าน ส.ว. (สูงวัย) ภาษาพูดจะออกไปทางภาษาลาวสำเนียงหลวงพระบาง เพราะคนส่วนใหญ่มีเชื้อหลายมาจากชาวลาวหลวงพระบาง
เดินเล่นและซื้อของกินติดไม้ติดมือนิดหน่อย แล้วพวกเราก็ตัดสินใจว่าจะไปที่ท่ารถเพื่อต่อรถไปที่หล่มสัก
ตอนแรกกะว่าจะไปทานขนมจีนเส้นสดแต่ก็ต้องอด เพราะร้านส่วนใหญ่อยู่นอกเมืองและพวกเราก็ยังไม่หิวกันเท่าไหร่ แต่ถ่ายรูปชิล ๆ แทนละกัน
รถสองแถวสีส้มคันนี้แหละครับ รถหล่มเก่า-หล่มสัก รถออกทุก ๆ 50 นาที ค่ารถคนละ 15 บาท (ท่ารถกับโรงพยาบาลหล่มสักนะครับ)
ตอนแรกมีคุณลุงท่านหนึ่งถามว่าไปแท็กซี่ไหม เราก็สงสัยว่าที่นี่มีแท็กซี่ด้วยเหรอ พอหันเป็นเห็นรถที่ลูกบ้างเท่านั้นแหละขอนั่งสองแถวไปดีกว่า
นั่งจากหล่มเก่ามาที่หล่มสักประมาณ 15 นาทีเท่านั้น รถสองแถวจอดตรงข้ามกับท่ารถทัวร์เพชรประเสริฐทัวร์พอดี ตอนแรกเข้าใจว่าต้องไปขึ้นที่ บขส.เท่านั้น เราจึงเช็กรอบเวลาและจองตั๋วกลับกรุงเทพฯ รอบเวลา 15.30 น. คาดการว่าถึงกรุงเทพฯ ประมาณ 22.00 น. ค่ารถคนละ 322 บาท จากนั้นจึงฝากกระเป๋าไว้ที่ท่ารถ
หลังจากที่พวกเราฝากกระเป๋าและมีเวลาเหลือกว่ารถจะมาอีกชั่วโมงกว่า ๆ พวกเราเลยเดินเล่นตัวเมืองหล่มสักและหาร้านคาเฟ่นั่งชิลฆ่าเวลา หอนาฬิกาสวยคลาสสิกดีนะ ถนนด้านหลังหอนาฬิกาเป็นถนนคนเดิน ผมก็ไม่แน่ใจว่ามีวันศุกร์หรือเสาร์กันแน่
เดินหาร้านกาแฟอยู่สักพักดูข้อมูลจากสมาร์ทโฟนก็ไม่แน่ใจว่ามีร้านอยู่แถวไหน จนในที่สุดก็ได้มานั่งชิล ๆ ที่ร้าน Grab & Goal (ร้านนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามที่ว่าการอำเภอหล่มสัก) หลังจากที่เราไปเจอร้านกาแฟร้านแรกที่เค้าไม่มีเค้กขาย เค้าเลยแนะนำให้มาร้านนี้
ร้านนี้เน้นตกแต่งด้วยของเก่าจะอารมณ์วินเทจก็ไม่เชิง
ทีมงานสาว ๆ จัดกันมาคนละแก้ว ส่วนผมท้องไม่ค่อยดีเลยขอบายดีกว่า อ่านหนังสือเพลิน ๆ แทนแล้วกัน หลังจากที่นั่งกันมาสักพักใหญ่เมื่อใกล้ถึงเวลารถจะมาพวกเราก็ไปรอขึ้นรอที่บริษัทเพชรประเสริฐ รถจอดแวะรายทางบ่อยมาก เล่นเอาพวกเราหลับกันไม่ลงเลยทีเดียว เดี๋ยวจอด ๆๆ แต่ก็มาถึงกรุงเทพฯ ตามเวลา สี่ทุ่มโดยประมาณ (มีเพื่อนของเราคนหนึ่งของลงกลางทางไปทำธุระต่อที่อำเภอลำนารายณ์ จังหวัดลพบุรี) จากนั้นพวกเราจะแยกย้ายสลายตัวกันที่หมอชิต กลับที่บ้านใครบ้านมันเป็นอันจบทริป
ทีมงานทั้งหมดทั้งมวลสำหรับทริปภูทับเบิกในครั้งนี้มีผมเป็นผู้ชายคนเดียว ซึ่งส่วนมากที่หลงผิดมาลำบากกับผมจะเป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่ด้วยดิ แต่ยังไงก็ต้องขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงที่มาร่วมหัวจมท้ายกันตลอด 2 วัน 1 คืน
สุดท้ายผมขอบอกเลยว่ามาที่ภูทับเบิกไม่จำเป็นต้องมาเฉพาะหน้าหนาว ที่นี่เที่ยวได้ทุกฤดู คนที่นี่น่ารัก ใจดี เป็นกันเอง มีโอกาสรับรองเลยว่าจะกลับมาเยือนอีกแน่นอน "ภูทับเบิก"
สรุปค่าใช้จ่ายทริปแบกเป้ สะพายกล้อง โบกรถเที่ยวภูทับเบิก หน้าฝน ชิล ๆ อีกแล้ว
สรุปค่าใช้จ่ายสำหรับทริปภูทับโบกภูทับเบิกสำหรับวันแรกนะครับ
ค่ารถเพชรประเสริฐทัวร์กรุงเทพฯ มาลงที่ บขส.หล่มสัก ราคา 322 บาท รอบเวลา 23.30 น.
ค่าที่พักที่ทับเบิกรีสอร์ทคืนละ 900 บาท/4 คน = คนละ 225 บาท
ค่าอาหารเช้า (ตามสั่งที่รีสอร์ท 60 บาท) แต่ผมไม่ได้กินแบบว่าปวดท้อง ส่วนอื่นกินหมด
ค่ากาแฟสด ชาเขียว โกโก้ คนละ 40 บาท
ค่าอาหารกลางวัน (ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ 25 บาท)
ทำบุญที่วัดป่าภูทับเบิก (แล้วแต่ศรัทธา ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด)
ค่าอาหารเย็นที่โรงเตี๊ยมภูทับเบิก 1,100 บาท/4 8น = คนละ 275 บาท (มื้อนี้หมดเยอะสุดแต่ก็อิ่มแบบสุด ๆ)
ป.ล. การเดินทางขึ้นภูทับเบิกโบกรถขึ้นมาเลยไม่เสียค่าใช้จ่า ยและเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ก็โบกรถทั้งไปและกลับ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันนี้ของใครของมัน ส่วนผมไม่ดื่ม
สรุปยอดใช้จ่ายวันแรกของผมคนเดียว = 922 บาท ส่วนเพื่อน ๆ ที่มาด้วยน่าจะมากกว่าไม่เกินคนละ 200 บาท
สรุปค่าใช้จ่ายทริปภูทับโบกภูทับเบิกวันที่ 2
ค่าอาหารเช้าคนละ 60 บาท (ตามสั่ง)
ค่ากาแฟโบราณ 25 บาท (คนอื่นกินกาแฟสดราคาไม่ได้ถาม)
ของฝากของทานเล่น (คนอื่นซื้อแต่ผมไม่ได้ซื้อ)
รถสองแถวหล่มเก่ามาหล่มสัก 15 บาท
เค้ก กาแฟ และน้ำผลไม้ปั่นที่หล่มสัก (อันนี้ 200 กว่าบาท แต่ผมไม่ได้กินเพราะท้องไส้ไม่ค่อยดี)
ค่ารถหล่มสักมีกรุงเทพฯ รอบ 15.30 น. ของเพชรประเสริฐทัวร์ ราคา 322 บาท
รวมค่าใช้จ่ายวันที่สองเฉพาะของผมนะ 422 บาท คนอื่น ๆ อาจจะมากกว่าผมสัก 100 กว่าบาท
ป.ล. ผมอาจจะหมดค่าใช้จ่ายน้อยกว่าคนอื่นเพราะผมไม่ค่อยซื้ออะไรทาน เนื่องจากท้องไส้ผมไม่ค่อยดีกลัวจะมีพม่าบุกกลางทาง
รวมสองวันผมจ่ายไปทั้งสิ้น 1,344 บาท ส่วนคนอื่น ๆ น่าจะจ่ายไปประมาณคนละ 1,600 บาท