เที่ยวโอซาก้า-นารา-เกียวโต-โกเบ พร้อมตะลุยกินของอร่อย


ญี่ปุ่น


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ deer_ac สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก สามแมวเก๋า

          ญี่ปุ่น นับเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้ามาก ๆ แต่ยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรม เอกลักษณ์ และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามอีกหลายแห่งด้วยกัน ทำให้สามารถดึงดูดสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติได้ดีทีเดียว และสิ่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะโดดเด่นไม่แพ้เรื่องอื่น ๆ เลย ก็คือ อาหาร เพราะอาหารญี่ปุ่นมีความสวยงาม ตกแต่งอาหารได้อย่างมีเอกลักษณ์ชัดเจน แถมรสชาติอาหารก็อร่อยล้ำจนใคร ๆ ต่างก็กดไลค์และยกให้เป็นอาหารขึ้นชื่อ ไม่ว่าจะเป็น ซูชิ, ซาซิมิ, ข้าวแกงกระหรี่, เทมปุระ, เนื้อโกเบ รวมถึงของหวานสุดฟินทั้งหลาย แหม...เอ่ยมาซะขนาดนี้เราเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงอยากลองไปสัมผัสกับประเทศญี่ปุ่นสักครั้งแล้วใช่ไหมล่ะ อ๊ะ ๆ ก่อนวางแผนเดินทางก็ลองตามบันทึกการเดินทางของ คุณ deer_ac สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ไปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ พร้อมไปชิมอาหารญี่ปุ่นหลากสไตล์กันก่อนดีกว่าจ้า




          ขออนุญาตแปะกระทู้แรกไว้ด้วยนะครับ...

          ***เที่ยวโตเกียว ไม่ง้อทัวร์ ครั้งแรกในชีวิต***


          ------------------------------------------------------------

          สวัสดีเพื่อน ๆ ชาว Pantip อีกครั้งครับ หลังจากได้รีวิวกระทู้ก่อนหน้านี้ ***เที่ยวโตเกียว ไม่ง้อทัวร์ ครั้งแรกในชีวิต*** ไปแล้ว วันนี้มาตามสัญญาว่าจะรีวิว "Osaka Trip" ให้อีกอันหนึ่ง ขอบอกก่อนนิดนึงนะครับว่า 22,700 บาท (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน) ทริปนี้ผมเน้นเที่ยวกับกิน ๆๆๆๆ เป้าหมายหลักไม่ใช่แค่ "ประหยัด"...แต่เป็น "การใช้เงินให้คุ้มค่าที่สุด !!!"

          โปรแกรมเที่ยวคราวนี้เที่ยวระหว่างวันที่ 18-26 Feb 2014

          ตารางเที่ยวโดยละเอียดเป็นดังนี้ครับ

          18 Feb : เดินทาง TG672/18FEB BKK-KIX, เดินเล่นยามเย็น
          19-20 Feb : ตะลุยในโอซาก้า
          21 Feb : เที่ยวนารา
          22-23 Feb : เที่ยวเกียวโต
          24 Feb : เที่ยวโกเบ
          25 Feb : เก็บตกโอซาก้า
          26 Feb : เดินทางกลับ TG673/26Feb KIX-BKK



          ป.ล. ขอ Tag มนุษย์เงินเดือน เพราะอยากให้เห็นว่าเที่ยวญี่ปุ่นไม่แพงอย่างที่คิด ใครๆ  ก็ไปได้ครับ

          ป.ล. 2 ก่อนจะผ่านไป เพื่อน ๆ ช่วยกด "เครื่องหมายบวก" ด้านซ้ายล่างให้ผมสักนิดนึงนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจในการทำรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ ^^


          วันที่ 1

          18 Feb : เข้าที่พัก, หาของกินยามเย็น หลังจากลงเครื่องบินแล้ว เราก็นั่งรถไฟเข้าเมืองโดยรถไฟนันไก




          *** สำหรับโรงแรมที่พัก ทริปนี้ผมได้จองโรงแรมไว้ทั้งหมด 3 ที่ เนื่องจากไม่สามารถหาห้องพักโรงแรมแบบว่างยาวทั้ง 7 คืน ที่ทั้งถูก, สะดวก และดีได้ จึงต้องแบ่งพัก

          Naniwa Hotel 1 คืน 
          New Osaka Hotel (Shinsaibashi) 3 คืน 
          Highland Shimabara-(Guest House In Kyoto) 1 คืน 
          และกลับมานอน New Osaka Hotel (Shinsaibashi) 2 คืน***

          โดยที่พักคืนแรกของผม คือ Naniwa Hotel ซึ่งห้องพักตกคืนละ 1,120 บาท/คน ห้องพักสะอาดมาก กว้างขวางกว่าที่คิดไว้เยอะ มีห้องเล็ก ๆ ไว้เก็บกระเป๋าเดินทางด้วย ให้ 5/5

          ทางไป  : Nippombashi ทางออก 6 เลี้ยวขวาแล้วตรงไป ข้ามคลองไปซอยแรกเลี้ยวขวา เดินตรงไปโรงแรมอยู่ซ้ายมือ





          นี่คือแผนที่ทางไปโรงแรมคร่าว ๆ (ในรูปจะออกทางออก 2 ให้ออกทางออก 6 ฝั่งตรงข้ามเลย)



          ก่อนหน้าที่จะไปเจอของกิน เรามาแวะดู Map ที่ผมทำให้สักนิดนึงเพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้นนะครับ...(ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง)




          จะเห็นได้ว่า Naniwa Hotel กับ New Osaka Hotel ไม่ได้ไกลกันมากนัก เดินประมาณ 20-25 นาที ถ้าอยากใกล้ของกิน...ให้พัก Naniwa Hotel เพราะใกล้ถนน Dotonbori ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารมากมาย ถ้าอยากใกล้ที่ช้อป...ให้พัก New Osaka Hotel เพราะใกล้ Shinsaibashi Suji แหล่งช้อปแหล่งใหญ่ประจำโอซาก้า

          หลังจากเก็บของเข้าที่พักแล้ว ก็ได้เวลาออกมาหาเดินเล่นของกินยามค่ำคืน Signature ของโอซาก้า..."Glico" (เขียนแบบนี้ถูกละนะจ๊ะ)





          ทาโกยากิ อร๊อยอร่อย





          ชามนี้ข้าวเย็น ร้านไหนจำไม่ได้ละ หิวมากกกก



          เสร็จแล้วก็เดินแวะดูของช้อปปิ้งเล็กน้อยแล้วจึงกลับโรงแรมครับ

          วันที่ 2

          19 Feb : กินราเมงข้อสอบ, เดินเล่น Shinsaibashi Suji, Ebisu Suji

          เนื่องจากโตเกียวทริปที่ผ่านมา ผมได้แพลนเที่ยวโดยการที่ออกเช้าทุกวัน ทำให้ร่างกาย weak เลยไม่สบาย มาคราวนี้เลยแพลนออกสบาย ๆ 8-9 โมง ก็พอ ตอนเช้าผมต้องย้ายโรงแรม ผมจึงได้ Check out จาก Naniwa Hotel แล้วนั่งรถไฟไป Shinsaibashi Station เพื่อเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่ New Osaka Hotel ไว้ก่อน แล้วค่อยออกมาเดินเล่น...เริ่มต้นด้วยการกินราเมงข้อสอบ...ทางเดินลงไปเป็นร้านขายทาโกยากิ อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว



          มาแล้ววววว ราเมงที่รอคอย



          นี่คือเหตุผลที่ได้ชื่อว่า "ราเมงข้อสอบ" (เพราะเหมือนเราเข้าไปนั่งทำข้อสอบในคอกนั่นเอง)



          โชว์รูปหน้าร้านซะหน่อย



          ขอบอกเลยว่าร้านนี้...อร่อยมาก เพราะเราสามารถเลือกส่วนผสมเองได้ ว่าจะเอาเผ็ดระดับไหน พริกเท่าไหร่ กระเทียมเท่าไหร่ เส้นนุ่มมากน้อยยังไง น้ำมันเจียวเอามากเอาน้อย เราสามารถติ๊กบอกเชฟได้หมด สุดยอดจริง ๆ !!!

          หลังจากทานมื้อหลักเสร็จแล้วจึงมาเดินเล่นที่ Dotonbori Street เพื่อหาของทานเล่นเรื่อยเปื่อย ร้านทาโกยากิอีกร้านหนึ่ง



          ร้านเกี๊ยวซ่าแสนอร่อย...ปกติจะขายอยู่ที่ 6 ชิ้น 200 เยน...แต่ !!! บางเวลา (ซึ่งไม่แน่ใจว่ากี่โมง) ร้านจะลดเหลือ 6 ชิ้น 100 เยน !!!...ใช่แล้วตาไม่ฝาดครับ แค่ "100 เยน" เท่านั้น (แถมหอมอร่อยด้วยอีกต่างหาก)



          น่ากินป่าวววว



          ขอลองสักคำ...



          ดูจากหน้าผมก็รู้...ว่าอร่อยขนาดไหน !!! หุหุ



          เสร็จแล้วก็ขอแวะถ่ายแบบสักหน่อย...



          ตุ๊กตาน่ารัก อยากได้ (แต่ไม่เล่น 555)



          หลังจากนั้นก็เดินเล่นช้อปปิ้งชิล ๆ แถว Shinsaibashi Suji กับ Ebisu Suji





          อย่าลืมมมม !!! แวะซื้อ Cheese Cake ร้านนี้ด้วยนะคับ อร่อยมากกกกกก (ก้อนใหญ่นะ ทาน 3-4 คน กำลังดี 2 คน ผมว่ามันจะอิ่มไป) คิวยาวทั้งวันจริง ๆ นะ...



          ทำกันร้อน ๆ เลย



          รูปเต็ม ๆ เห็นแล้วน้ำลายไหล



          ตกค่ำก็แวะหาอะไรกิน สรุปลงที่ราเมงมังกร...มีผักให้เติมได้ไม่อั้น รสชาติถือว่าโอเค แต่ยังสู้ราเมงข้อสอบไม่ได้ครับ

          สัญลักษณ์หน้าร้าน



          รูปราเมงเต็ม ๆ



          ซู้ดดดดดดดดดดด....



          อันนี้รูปห้องนอนของ New Osaka Hotel นะคับ (ส่วนตัวผมชอบห้องพัก Naniwa Hotel มากกว่านะ แต่ New Osaka Hotel ใกล้แหล่งช้อปมากกว่าจริง ๆ)



          วันที่ 3

          20 Feb : กิน Endo Sushi, เดินเล่นห้างแถว Umeda

          วันนี้เป้าหมายหลักของเราอยู่ที่ Endo Sushi ที่ตลาดปลา ซูชิที่สดและอร่อยมาก

          ทางไป : นั่งรถไฟลงสถานี Tamagawa exit 3 แล้วเดินตรงมาเรื่อย ๆ จะเจอตลาดปลาอยู่ขวามือ ให้เดินตรงเข้าไป ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือ

          ทางเข้าตลาดปลา



          ถ่ายคู่หน้าร้านซะหน่อย



          ภายในร้าน





          เรามาดูเมนูกันบ้าง...เมนูจะมีทั้งหมด 4 set ราคา set ละ 1,050 เยน (มาถึงนี่ทั้งที สั่งหมดทั้ง 4 set เลย พนักงานจะเอามาเสิร์ฟเราเรื่อย ๆ เมื่อเรากินแต่ละ set หมด)



          เรามาเริ่มที่ set แรกกันเลยครับ



          set ที่ 2



          set ที่ 3



          set ที่ 4



          เหลือทิ้งไว้แต่เพียงเศษซากอารยธรรม...



          รสชาติซูชิร้านนี้จะไม่เหมือนซูชิปรุงรสร้านอื่น ๆ ที่นี่เน้นวัตถุดิบที่...สดดด !! ย้ำ...สดและหวานทุกคำจริง ๆ คุ้มค่ากับการไปทานเป็นอย่างยิ่งครับ

          หลังจากนั้นจึงนั่งรถไฟไป Umeda แหล่งช้อปปิ้งที่ใหญ่ของ Osaka เนื่องจากเป็นการเดินเล่นห้างทั่ว ๆ ไป ผมจึงไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมาให้เพื่อน ๆ ชมนะครับ มีแค่วิวบางส่วนเท่านั้นครับ







          หลังจากเดินจนเมื่อย ผมจึงได้ไปร้าน Ippudo Ramen ที่เลื่องชื่อ (เส้นทางผมต้องขอโทษด้วยครับ...ผมทำหายไปแล้ว T^T แต่เพื่อน ๆ สามารถ search หาใน Google map ได้เลยนะครับ หรือตอนนี้ที่เมืองไทยสามารถไปทานได้ที่ Central Embassy ได้ครับ)

          ราเมงออริจินัล (อร่อยสุด)



          อันนี้รูปสวย แต่อร่อยไม่เท่าออริจินัลครับ



          เกี๊ยวซ่ามาในเซต



          ภายในร้าน



          ตกเย็นนั่งรถไฟกลับมาลงสถานี Nippombashi เพื่อหาขนมกิน (อีกละ) 555

          แวะที่นี่ก่อนเลย ร้านข้าวหน้าเนื้อที่อร่อยและถูกในญี่ปุ่น (ขอยืมรูปร้านจากกระทู้เที่ยวโตเกียวมาใช้หน่อยนะ)



          ชามแรก



          ชามที่สอง



          อิ่มและอร่อยสุด ๆๆๆๆๆ

          หลังจากนั้นเดินจากทางเข้าหลักของถนน Dotonbori Street ทางขวามือจะเจอร้าน "โอโคโนมิยากิ (ที่อร่อยมากกกกกกกก)" แต่ใครจะไปกิน ขอแนะนำให้ทำท้องให้ว่างก่อนนะครับ เพราะมันชิ้นใหญ่มาก (ผมกินกัน 2 คน หลังจากกินข้าวไปอิ่ม ๆ แทบจะกินไม่หมด)

          ป.ล. เตรียมเสื้อเหม็นและหัวเหม็นด้วยนะครับ  หน้าร้านครับ สั่งและรับคิวด้านบน ส่วนร้านอยู่ด้านล่างครับ



          เชฟทำกันสด ๆ



          เสร็จแล้วพนักงานก็เอามาวางให้บนโต๊ะ



          ข้างในครับ (มีปลาแห้ง, มายองเนส และผักให้โรงได้ไม่อั้นด้วยครับ)



          หลังจากกินอิ่ม....อิ่มมมม ขอใช้คำว่า "จุก" แทนละกันครับ ก็ค่อย ๆ คลานกลับที่พักเพราะเดินแทบไม่ไหวละ

          วันที่ 4

          21 Feb : เที่ยวนารา, Todaji Temple, Kasuga Grand Shrine, ให้อาหารกวางที่ Nara Park

          วันนี้ตื่นเช้าหน่อย เพราะเราต้องออกนอกเมืองไปนารากัน



          มื้อเช้าเราจะฝากท้องไว้กับร้านขนมปังแสนอร่อยของเมืองนี้กันครับ ชื่อร้าน Chateau D’or เดินออกจากสถานี Kintetsu ทางออก 4 ร้านอยู่ในซอยข้าง ๆ สถานี เดินเข้าซอยไป ร้านอยู่ซ้ายมือ

          หน้าร้าน



          ขนมปังมากมายหลายหลาก



          ภายในร้าน



          ที่นั่งทานอยู่ชั้นสอง





          ขนมปังที่ทานครับ (หอมและอร่อยมาก ๆ)



          หลังจากทานขนมปังรองท้องแล้ว เราก็เดิน ๆๆ มุ่งหน้าตามแพลนเที่ยวของเราต่อ เป้าหมายหลักอยู่ที่ Todaji Temple ระหว่างทางเดินผ่านศาลเจ้ามากมาย (ไม่รู้จักเลยยยยย)



          เจดีย์ใหญ่มาก





          ระหว่างทางจะเจอกวางมากมายจริง ๆ น่ารักสุด ๆ (ระวังของด้วยนะครับ)

          มีคนให้อาหาร



          กวาง 3 ตัว



          ฉายเดี่ยว



          นอนอาบแดดก็มี



          นี่สินะ..."กวางเหลียวหลัง"



          ธรรมชาติสุด ๆ



          ธรรมชาติมาก ๆ



          และแล้วก็มาถึง...Todaji Temple เป็นวัดที่ใหญ่และสวยมาก (ต้องเสียค่าเข้า 500 เยน) ใหญ่โตสวยงามจริง ๆ





          แบบจำลอง



          ป้ายขอพร



          รูปนี้เกือบดีละ...แต่มีกวางตัดหน้ากล้อง



          ถ่ายแบบอีกสักรูป



          หลังจากนั้นเดินต่อไป Kasuga Grand Shrine (ประมาณ 1.2 กิโลเมตร)









          หลังจากถ่ายรูปจนพอใจแล้ว จึงเดินกลับสถานี โดยผ่านทาง Nara Park เพื่อให้อาหารกวาง

          ***คำเตือน*** เมื่อคุณซื้ออาหารกวางเสร็จ (แป้งเซมเบ้) เหล่ากวางทั้งหลายแหล่จะวิ่งพุ่งเข้ามาหาคุณทุกตัว พยายามโยนให้มันไปกินไกล ๆ หรือให้กับปากได้ (ตอนที่กวางน้อย ๆ) ไม่งั้นคุณจะเจอกวางรุมแทะโลมไปทั้งตัวเลย

          ต๊ะเอ๋



          จุ๊บ ๆ



          เอ้าาาาา...อ้ามมมม



          ตามมาเป็นขบวน ๆ



          อยากให้ก็อยากให้ กลัวก็กลัว 555



          แอบถ่ายสาวน่ารัก ๆ หุหุ



          ตกเย็นก็หาข้าวกินแถวสถานี แล้วจึงค่อยกลับโรงแรม (แวะช้อปแถวโรงแรมเหมือนเดิม)




          วันที่ 5

          22 Feb : เที่ยว KYOTO, ศาลเจ้าFushimi Inari Shrine, ป่าไผ่อาราชิยาม่า, เดินเล่นยามค่ำคืน

          วันนี้เราก็ต้องตื่นเช้ากันอีกวันหนึ่ง เพราะต้องทำเรื่องเช็กเอาท์จาก New Osaka Hotel และฝากกระเป๋าที่เหลือไว้กับโรงแรม และเนื่องจากผมไม่สามารถหาโรงแรมพักคืนวันนี้ (วันที่ 22) ได้เลย ผมเลยตัดสินใจที่จะไปนอน Kyoto คืนหนึ่งเพื่อตัดปัญหา และจะได้มีเวลาเที่ยวเกียวโตมากขึ้นอีกด้วย



          Backpack ลุยกันเลย



          เมื่อมาถึงสถานี Kyoto ให้เดินเข้าไปหา Tourist Information Center คุยกับเจ้าหน้าที่ได้เลยว่าเราอยากจะไปเที่ยวที่ไหนใน Kyoto บ้าง และจะพักกี่วัน...เจ้าหน้าที่จะอธิบายวิธีการเดินทางให้อย่างละเอียด ซึ่งเราสามารถเที่ยวตามได้เลย ในทริปนี้ผมแพลนสำหรับ 2 วัน ไว้ว่าจะไปเที่ยว..."ปราสาทนิโจ, วัดทอง, วัดน้ำใส, ศาลเจ้า Fushimi Inari Shrine และป่าไผ่อาราชิยาม่า" (ซึ่งจริง ๆ แล้วสามารถเพิ่มที่เที่ยวได้อีก แต่ผมอยากเที่ยวชิล ๆ เลยเอาแค่นี้) เจ้าหน้าที่จึงจัดตารางให้ผม ดังนี้

          วันแรก...ไป "ศาลเจ้าFushimi Inari Shrine" กับ "ป่าไผ่อาราชิยาม่า" และเดินเล่นยามค่ำคืนแถว "Gion"

          วันที่สอง..."ปราสาทนิโจ, วัดทอง, วัดน้ำใส"

          หลังจากที่ผมได้ปรึกษาเรื่องแพลนเที่ยวกับเจ้าหน้าที่เสร็จแล้ว ผมจึงได้เอากระเป๋าไปเก็บที่โรงแรม (แต่...ถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดมากกก !!!) นี่คือแผนที่ทางไปโรงแรม



          (ผมอ่านในรีวิวก่อนไปว่าเดินไปโรงแรมประมาณ 10-15 นาที จากสถานีเกียวโต แต่จริง ๆ แล้วใช้เวลา 15-20 นาที เลยทีเดียว เดินไป-กลับก็เกือบชั่วโมงแล้ว ซึ่งจริง ๆ ผมน่าจะฝากกระเป๋าไว้ในตู้ Locker ที่สถานีแล้วเที่ยวเลยมากกว่า T^T)

          แต่เมื่อมาถึงโรงแรม Highland Shimabara-Guest House In Kyoto ก็เกิดความประทับใจเป็นอย่างมาก !!! ห้องที่พักกว้างขวาง ห้องอาบน้ำและห้องน้ำที่แยกกัน เตียงใหญ่และสบาย มีคอมพิวเตอร์ มีเครื่องครัวให้ใช้ด้วย ราคาต่อคืน = 880 บาท/คน (ถูกโพดดดดดด)

          ภายในห้อง



          เตียงนอน



          ห้องอาบน้ำ



          ห้องน้ำที่แยกต่างหาก (ภายในห้อง)



          หลักจากที่นั่งพัก ทำธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินกลับไปที่สถานีเกียวโต แล้วเริ่มเที่ยวตามแพลนที่วางไว้ (วันแรกเราจะไปแค่ "ศาลเจ้า Fushimi Inari Shrine" กับ "ป่าไผ่อาราชิยาม่า" ซึ่ง 2 ที่นี้สามารถนั่งรถไฟท้องถิ่นไปได้เลย ไม่ต้องนั่งบัส ผมจึงยังไม่ซื้อ "Kyoto 1 day bus pass" (500 เยน)

          ที่แรกที่จะไป คือ "ศาลเจ้า Fushimi Inari Shrine" แต่...เดี๋ยวก่อน !!! ถ้าไปถึงที่นี่แล้วอีก 1 อย่างที่พลาดไม่ได้ คือ "ข้าวหน้าปลาไหล" ร้านป้าที่บอกได้คำเดียวเลยว่า..."โคตรอร่อยยยยย !!!"

          ทางไป : เดินออกมาจากสถานี Inari แล้วให้เดินเลี้ยวไปทางซ้าย เดินไปจนถึงทางแยก ร้านจะอยู่หัวมุมทางซ้ายมือ

          หน้าร้าน



          ย่างกันสด ๆ



          ภายในร้าน



          มาดูอาหารกันบ้างดีกว่า...ดูกันเต็ม ๆ ทั้งสด หอม อร่อย



          กินกับซูชิ (ปลาอะไรไม่รู้ เค็ม ๆ เปรี้ยว ๆ อร่อยดี)



          ซดอูด้งเต้าหู้ร้อน ๆ



          และซูชิเต้าหู้



          บอกเลยว่าอาหารร้านนี้สด หอม และอร่อย ทานแล้วรับรองไม่ผิดหวัง (มี set เมนูอาหารจำลองอยู่หน้าร้านด้วย อย่าลืมดูก่อนเข้าร้านนะครับ)

          ป.ล. ห้ามสั่งไอ้ที่เหมือนไก่ย่างเด็ดขาด จริง ๆ มันคือ นกย่าง...แถมย่างจนไหม้ แทะยาก ไม่อร่อยอ่ะ อันนี้เตือนจริง ๆ (แต่ที่ในรูปอร่อยหมดทุกอย่างนะครับ สั่งได้เลยยย)

          หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ ก็ได้เวลาที่จะเข้าศาลเจ้าFushimi Inari Shrine ซะที

          ด้านหน้า





          คนเขียนขอพรกับเทพจิ้งจอกเยอะเลย





          มุมบังคับ



          วิวจากยอดเขา



          ศาลเจ้าที่อยู่บนสุดของยอดเขา เค้าบอกว่าถ้ามาขอพรที่นี่แล้วจะสมหวัง (ผมเห็นคนท้องโย้ขึ้นมาขอพรด้วยนะ) แต่...กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ ต้องเดินขึ้นเขาอย่างน้อยเกือบชั่วโมง (เหนื่อยและเมื่อยมาก)



          แกะสลักตัวอักษรบนเสา



          อธิบายเพิ่มเติม...สำหรับภูเขาในศาลเจ้านั้น ถ้าใครมีเวลาและอยากออกกำลังกาย ก็สามารถเดินให้ครบรอบได้ (ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง) แต่ถ้าให้ผมแนะนำ...อย่าเลยครับ เอาเวลาไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า ทั้งเหนื่อย ทั้งล้า เฮ้อออออ

          เมื่อเดินเที่ยวกันจนพอใจแล้ว ก็ให้นั่งรถไฟย้อนกลับไปที่สถานีเกียวโต เพื่อจะเปลี่ยนรถไฟอีกสายไป "ป่าไผ่อาราชิยาม่า" (Path of Bamboo)

          นี่คือแผนที่ทางเดินไปป่าไผ่จากสถานีรถไฟ "Saga Arashiyama"



          ภายในป่าไผ่ครับ สวยมากจริง ๆ โดยเฉพาะตอนพระอาทิตย์กำลังตกดิน







          งานถ่ายแบบต้องมา



          เดินย้อนออกมาตรงทางเข้าป่าไผ่ แล้วเลี้ยวขวาเดินตรงไปจะเจอสะพานโทเง็ตสึเคียว (Togetsukyo) เป็นสะพานที่อยู่ในเมืองอาราชิยามา โดยสร้างเป็นสะพานไม้เสริมคอนกรีตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477 เป็นอีกจุดหนึ่งที่ขึ้นชื่อในการมาชมทิวทัศน์ ทั้งในฤดูใบไม้ผลิ (ซากุระ) และฤดูใบไม้ร่วง (ใบไม้เปลี่ยนสี)

          แต่...ตอนผมไปใบไม่ร่วงหมดละ ฮือออออ



          หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว ผมจึงตัดสินใจที่จะลองนั่งบัส เพื่อที่จะตรงไปเดินเล่นแถว "Gion" (เป็นย่านที่เป็นแหล่งบันเทิงยามกลางคืน แถบนี้บ้านเรือนจะเป็นแบบโบราณใช้เป็นทั้งห้องอาหาร ร้านน้ำชา และภัตตาคาร ที่ส่วนใหญ่มีเกอิชาไว้คอยรับและบริการแขก) แต่ตอนผมไปเดินก็เฉย ๆ นะ ไม่เห็นเหมือนสีลมบ้านเราเลย 555

          ตรอกเล็ก ๆ ออกแนวเงียบสงบ







          มื้อเย็นวันนี้ผมฝากท้องไว้กับร้าน Coco แกงกะหรี่ ผมว่ารสชาติเค้าเข้มข้นและให้ปริมาณเยอะกว่าไทยนะ...สรุปอร่อยกว่าไทย แต่สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุด คือ ร้านขนมหวานครับ ชื่อร้าน "KaraFuneya Coffee" ขนมหวานร้านนี้อร่อยสุด ๆๆๆๆ เลยยยยย







          หลังจากทานเสร็จก็เดินหารถไฟใต้ดินนั่งกลับสถานีเกียวโต แล้วจึงเดินกลับที่พัก

          วันที่ 6

          23 Feb : เที่ยวเกียวโต, ปราสาทนิโจ, วัดทอง, วัดน้ำใส

          วันนี้เราจะใช้ Kyoto Bus Pass (500 เยน) ซื้อไว้ตั้งแต่เมื่อวาน เก็บของเช็กเอาท์แต่เช้า แล้วโบกรถบัสฝั่งตรงข้ามโรงแรมไปสถานีเกียวโตเพื่อฝากกระเป๋าไว้ที่ Locker ในสถานี สถานที่แรกที่จะไป คือ..."ปราสาทนิโจ" (ค่าเข้าปราสาท 600 เยน) จุดเด่นของปราสาทนิโจ ก็คือ พื้นไม้ที่มีเสียงดังเหมือนนกไนติงเกลเวลาที่มีคนเดินผ่าน หรือที่เรียกว่า Nightingale floor เนื่องจากปราสาทนิโจเป็นทั้งที่พักและที่ออกว่าราชการเวลาท่านโชกุนมาเยือนเกียวโต เจ้าพื้นไม้ที่มีเสียงนกไนติงเกลนี้จึงได้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นระบบป้องกันความปลอดภัย ไว้เตือนให้เหล่าทหารซามูไรทั้งหลายไหวตัวทัน เมื่อมีผู้บุกรุกเข้ามา

          นอกจากจะช่วยระวังภัยแล้ว เสียงพื้นยังฟังไพเราะระรื่นหูเมื่อเทียบกับเสียงอ๊อดแอ๊ดของไม้ทั่วไป ทำให้ไม่รบกวนโสตประสาทของบุคคลสำคัญอย่างท่านโชกุน

          เริ่มต้นให้ขึ้นรถบัสสาย 50 ด้านหน้าสถานีเกียวโต ลงป้าย "Nijojo-mae"



          ปราสาทที่พักโชกุน (พื้นมีเสียง)


          ภายในรอบปราสาท

















          งานถ่ายแบบอีกงาน



          สถานที่เที่ยวที่ 2 คือ..."วัด Kinkakuji (วัดทอง)"

          ให้นั่งรถ Bus จากหน้าปราสาทนิโจ (น่าจะสาย 50 สายเดิมนะครับ) มาลงป้าย "Kinkakuji-mae" แต่....อย่าเพิ่งรีบร้อนเข้าวัดครับ ให้เดินย้อนออกมาทางปากซอยจนถึงถนนใหญ่ แล้วข้ามถนนเดินไปทางด้านขวา เพื่อจะไปกิน..."ข้าวหน้าเทมปุระแสนอร่อยยยยย !!!"

          รูปหน้าร้าน



          ภายในร้าน



          เมนูครับ อร่อยและไม่แพง



          อาหารจานหลักครับ "ข้าวหน้าเทมปุระ"





          ทานคู่กับราเมงร้อน ๆ หอมอร่อย



          ขอบอกเลยว่าร้านนี้...ถูก อร่อย และดีจริง ๆ ครับ เมล็ดข้าวที่ใหญ่และเหนียวหนึบ ไม่เละ กุ้งที่นุ่มและสด แป้งเทมปุระที่กรอบอร่อย ผักทอดที่ไม่อมน้ำมันเลย ขอยกนิ้วให้เลยครับ

          กินมื้อเที่ยงกันอิ่มแล้ว เราก็เดินย้อนกลับมาเพื่อเข้าชมวัดทอง (ค่าเข้า 400 เยน) วัดทอง...สวยอร่ามมากครับ







          สถานที่เที่ยวสุดท้ายของวันนี้..."วัดKiyomizudera (วัดน้ำใส)" (ค่าเข้า 300 เยน) นั่งรสบัสจากด้านหน้าวัด สาย 12 จากสถานี Kinkakuji-mae ไปลงที่ป้าย Gion และต่อสาย 100 202 206 207 ไปป้าย Kiyomizu-michi ครับ (อันนี้ก๊อบปี้เค้ามานะครับ แต่น่าจะตามนี้เพราะผมเองก็จำไม่ค่อยได้ละ ขึ้นรถมั่วอยู่สักพักเหมือนกัน แต่ดีที่เป็นบัตร Day อิอิ) พอลงรถแล้วให้เดินขึ้นเนินไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางจะมีร้านขายขนมและของฝากมากมาย แวะช้อปได้ตามอัธยาศัย (ไว้ซื้อขากลับก็ได้นะครับ)

          เริ่มที่มุมถ่ายแบบหน้าวัด



          ระฆังวัด



          มุมบังคับที่ทุกคนต้องถ่าย (ถ้ามาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะสวยมาก ๆๆๆ นะครับ)





          เจดีย์ข้างวัด



          น้ำศักดิ์สิทธิ์ (ผมเห็นบางคนเอามาดื่มเลย แต่ผมแอบเห็นว่าท่อส่งน้ำมันเป็นสนิมด้วยนะ ไม่แน่ใจว่ามองผิดรึเปล่า ผมเลยขอผ่านจ้า)



          เสร็จแล้วก็เดินย้อนกลับมาแถวตลาด หาของกินแล้วจึงนั่งรถไฟกลับที่พักใน Osaka (New Osaka Hotel) ร้านอะไร จำไม่ได้แล้ว แต่ก็...อร่อยยยย

          ข้าวหน้าเนื้อ



          ข้าวหน้าหมู



          ไก่คาราเกะ



          วันที่ 7

          24 Feb : เที่ยวเมืองโกเบ, กินเนื้อโกเบ

          นั่งรถไฟจาก Shinsaibashi มาลงสถานี Sannomiya (โกเบ)



          ขอแปะ City Loop Guild กับตารางรถไว้ก่อนนะครับ



          ตารางเวลาเดินรถ



          รถครับ



          ซื้อตั๋วรถ One Day Pass 680 เยน (ซื้อบนรถเลยนะครับ ที่อื่นไม่มีขาย) ขึ้น City Loop Busไปลงสถานีที่ 10 (Kitano) เดินเล่นชมตึกสวย











          ปิดด้วยงานถ่ายแบบ 55



          ขึ้นรถบัสต่อ กลับมาลงที่ป้ายที่ 13 (ฝั่งตรงข้ามสถานีรถไฟ) ให้เดินข้ามถนนกลับไปแล้วเดินเข้าด้านขวาของสถานี ที่เป็นถนนเล็ก ๆ เพื่อที่จะไปกิน "เนื้อโกเบ" จะเจอรูปปั้นนี้อยู่ด้านหน้าถนน



          เดินเข้ามาในถนนเล็ก ๆ ร้านเนื้อโกเบจะอยู่ด้านขวา (เดินเข้าไปนิดเดียวนะครับ ไม่ลึก) ถึงแล้ว Steak Land



          ร้าน "Steak Land" จะมีราคาโปรโมชั่น "Lunch Set" เวลาช่วง 12.00-14.00 น. แนะนำให้ไปตอนเที่ยงตรงหรือก่อนเวลาเล็กน้อยนะครับ เพราะเที่ยงปุ๊บคนเต็มปั๊บ เนื้อโกเบราคาชุดละ 2,980 เยนเท่านั้น !!! เสิร์ฟพร้อมข้าวและสลัด (รู้สึกข้าวจะเติมได้นะครับ เห็นคนอื่นเติม แต่ผมไม่ได้เติม) โต๊ะหนึ่งจะนั่งกันประมาณ 5-6 คน จะมีเชฟมาทำให้สด ๆ ตรงกลางโต๊ะเลยครับ (หัวเหม็นเสื้อเหม็นอีกแล้ว)

          เชฟเอาวัตถุดิบมาเตรียม



          ทำกันร้อน ๆ



          ผัดกันสด ๆ บอกได้ครับว่าจะเอา Rare, Medium, Well done



          เสิร์ฟพร้อมกระเทียมที่ทอดกันสด ๆ พร้อมทาน



          ขอบอกกกก...เนื้อนุ่มมาก ๆๆๆๆ เคี้ยวแล้วนุ่มในปากสุด ๆ หอม อร่อย ไม่ต้องจิ้มซอสที่ให้มาก็ได้ ทานกับข้าวร้อน ๆ

          ทานกันจนอิ่ม (พร้อมกลิ่นที่ติดทั่วทั้งตัวเลย แนะนำซื้อสเปรย์ดับกลิ่นติดไปด้วยนะครับ) ให้ขึ้นรถบัสที่ป้าย13 ไปลงป้ายที่ 17 เดินเล่นถ่ายรูปชิล ๆ ริมอ่าวโกเบ













          เราสามารถเดินมาเรื่อย ๆ จนถึงป้ายที่ 2 ได้เลยครับ

          *** ห้างที่อยู่ข้าง ๆ ของป้ายที่ 2 ต้องแวะ !!! นะครับ ***

          เดินเข้าไปในห้าง ด้านซ้ายมือจะเจอร้านขนมที่ชื่อว่า "Nana Green Tea" ผมไม่รู้ว่าอร่อยทุกอย่างรึเปล่า แต่แก้วนี้ที่ผมสั่ง...อร่อยมาก ๆๆๆๆ ชาเขียวหอมหวาน ช็อกโกแลตอร่อย ทุกอย่างผสมกันอย่างลงตัว ห้ามพลาดดดด !!!



          กลับมาขึ้นรถป้ายที่ 2 เพื่อไปลงป้ายที่ 3 เดินเข้าซอยเล็ก ๆ ด้านหลังป้าย เพื่อเข้าสู่ถนน "Motomachi Shopping Street" เราสามารถเดินดูของไปเรื่อย ๆ จนทะลุไปถึง "China Town" ได้เลยนะครับ (ป้ายที่ 4) ร้านขายของซ้ายขวา แต่คนค่อนข้างน้อย



          ทางเข้า China Town



          ของกินขายเพียบ



          เสร็จแล้วจึงนั่งรถไฟกลับ Osaka เก็บของในโรงแรมเสร็จแล้วก็ออกมาหาอะไรกิน ไปเจอร้านข้าวแกงกะหรี่แบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น อยู่ถนนด้านหลังโรงแรม (ไม่มีรูปหน้าร้านอ่ะครับ ขอโทษจริง ๆ) เป็นแกงกะหรี่เนื้อสับแบบดั้งเดิม...อร่อยแบบบอกไม่ถูก



          วันที่ 8

          25 Feb : เก็บตกใน Osaka

          วันนี้ทั้งวันเป็นวันแห่งการช้อปปิ้งหลาย ๆ สิ่งที่เราเล็งไว้ตลอด 7 วันที่ผ่านมา ผมได้เดินสำรวจราคาของทุกร้าน...ย้ำ !!! ทุกร้าน แล้วจดว่าร้านไหนของถูกสุด (แต่ก็มีหลวมตัวซื้อของที่แพงกว่ามาบ้าง) แล้วจึงมาจัดการซื้อในวันนี้ มื้อสาย ผมฝากท้องไว้กับ Sushi Zanmai (ย้อนขึ้นไปดูแผนที่ที่ผมทำไว้ได้ครับ) ใครจะมาแนะนำมากินช่วง 10.00-15.00 น. มี lunch set คุ้มมาก !!!



          อันนี้เมนู Special ชิ้นที่ 4 จากซ้าย อร่อยล้ำมากกกกกก



          ตกเย็นก็เก็บของแล้วเช็กเอาท์จากโรงแรม มุ่งตรงสู่สนามบิน Kansai เก็บตกภาพยามค่ำคืนนิดนึง









          แต่...เราจะแวะช้อปปิ้งที่ "Rinku Outlet" ที่สถานี Rinku Town (สถานีก่อนถึงสนามบิน)





          อันนี้รวมรูปของกินที่ผมกินมาตลอดทั้งTrip ครับ หุหุ (น้ำหนักขึ้นมา 2 กิโลกรัม)



          สรุปยอดค่าใช้จ่ายครับ...

          ค่าโรงแรม : 27,182 เยน
          ค่ารถ : 9,800 เยน
          ค่า Endo Sushi+ซุปหอย : 4,565 เยน
          ค่าเข้าวัดทั้งหลาย : 1,450 เยน
          ค่าข้าวเฉลี่ย 7 วัน (ค่าข้าววันแรกมื้อเย็นใช้ค่าเนื้อโกเบแทนไป) ตีมื้อละ 1,000 เยน : 21,000 เยน
          เนื้อโกเบ : 2,980 เยน
          ค่า Bmobile Net Sim Unlimited 14 วัน : 3,980 เยน
          รวมทั้งสิ้น...70,957เยน x อัตราแลกเปลี่ยน 0.32 = 22,706 บาท

          ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่สละเวลามาดูกระทู้ของผมนะครับ ผมหวังว่ากระทู้นี้จะสามารถใช้เป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนได้บ้างไม่มากก็น้อย เหมือนกับที่ผมได้เคยขอความช่วยเหลือเรื่องข้อมูลก่อนไปเที่ยวจากเพื่อน ๆ ใน Pantip มาก่อน...ผมขอบอกก่อนว่าผมไม่ได้รู้เรื่องญี่ปุ่นทุกเรื่องครับ ผมรู้เรื่องเฉพาะสถานที่ที่ผมได้มีโอกาสไปเที่ยว ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนมีปัญหาสงสัยในกระทู้ หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมเคยไป สามารถสอบถามข้อมูลได้ ผมยินดีให้ความช่วยเหลือครับ ขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับเพื่อน ๆ ที่ติดตามอ่านมาจนจบ...สุดท้ายนี้ถ้าไม่เป็นการรบกวนเพื่อน ๆ จนเกินไป ขอเพื่อน ๆ ช่วยย้อนขึ้นไป "โหวต" เพื่อเป็นกำลังใจให้ผมในการทำกระทู้รีวิวครั้งต่อ ๆ ไปนะครับ ขอบคุณครับ ^___^

          สำหรับเพื่อน ๆ คนรักแมว ผมมีเพจแมวน่ารัก ๆ ที่ผมเลี้ยงไว้ 3 ตัว ยังไงเพื่อน ๆ สามารถแวะเข้าไปติดตามไปชมกันได้นะครับ เอาไว้ดูคลายเครียดเวลาเบื่อ ๆ เซ็ง ๆได้ครับ ขอบคุณครับ ^^

          เฟซบุ๊ก สามแมวเก๋า

          ป.ล. หน้า Kitano Cho Plaza ซื้อชีสพุดดิ้งโกเบ อร่อยมากกกกกก






เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เที่ยวโอซาก้า-นารา-เกียวโต-โกเบ พร้อมตะลุยกินของอร่อย อัปเดตล่าสุด 2 มิถุนายน 2557 เวลา 16:53:17 121,673 อ่าน
TOP
x close