x close

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล (อ.ส.ท.)

ธเนศ งามสน...เรื่อง
ธเนศ งามสม, โสภณ บูรณประพฤกษ์ และธีระพงษ์ พลรักษ์...ภาพ



ผืนแผ่นดิน

          แรกก้าวออกไปบนชายหาด ผมคล้ายก้าวออกไปพบโลกกว้าง ผืนทรายทอดยาวจรดภูเขาและโค้งขอบฟ้า ห้วงน้ำสีครามดูราวโลกอีกใบ ค่อย ๆ ปูลาด ราบเรียบ แลลับสายตา ดวงตะวันเคลื่อนคล้อย เหยี่ยวแดงบินร่อน ทิวสนเอนไหว ขณะเรือลำน้อยกำลังบ่ายหน้าห่างจากฝั่ง

          "มรสุมใกล้มาแล้ว" ชายผิวกร้านแดดลมเอ่ย มือหยาบใหญ่ถักทอตาข่ายอวนดูแข็งแกร่งทว่านุ่มนวลราวมือจิตรกร เราพบหมู่บ้านเล็ก ๆ นี้ก่อนแสงสุดท้ายจะลับหาย เรือนไม้เจ็ดแปดหลังสร้างหลบคลื่นลมอยู่หลังภูเขา เขตอำเภอกะเปอร์ จังหวัดระนอง เรื่องเล่าพาเราย้อนกลับไป นับร้อยปีแล้วที่ครอบครัวหนึ่งลงรากฝากชีวิตในอ่าวเล็ก ๆ นี้ นอกจากปูปลาอุดมสมบูรณ์ ความที่ชุกชุมด้วยเคย-สินธุ์ทะเลอันเป็นที่มาของกะปิรสชาติดี ที่นี่จึงได้ชื่อว่า บ้านอ่าวเคย

          "เราทำประมงตั้งแต่รุ่นปู่ย่า เราฝากชีวิตไว้กับทะเล" ชายผิวกร้านแดดลมบอก น้ำเสียงฟังคล้ายแข็งกระด้าง ทว่าชัดเจนและเต็มเปี่ยมด้วยความหมาย

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล

          ในโลกยุคนี้คงมีน้อยนักที่จะฝากชีวิตไว้กับสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในสังคมที่แข่งกันคล้ายเล่นพนันขันต่อ การมอบหัวใจก็เหมือนแขวนตนเองไว้บนโยงใยอันเปราะบาง เช่นเดียวกับพวกเขา เมื่อโลกถูกปรับเปลี่ยน ผืนดินและภูเขารอบ ๆ บ้านถูกประกาศเป็นพื้นที่อนุรักษ์ บางสิ่งย่อมกระทบวิถีที่ดำเนินมาเนิ่นนาน

           "แต่ก่อนจะต่อเรือใหม่ ตะเคียนชาต้นเดียวก็เหลือพอ" ชายชาวเลบอกแล้วก็ถอนหายใจ ตะเคียนชาที่ว่าคือไม้ยืนต้นบนภูเขา ตัวเรือนั้นมีอายุใช้งานราว 30 ปี ล้มไม้ลงแล้วก็เติบใหญ่พอดีสำหรับต่อเรือลำใหม่ คนรุ่นปู่ย่าดำเนินวิถีมาแบบนี้ ทว่าในรุ่นพวกเขา เรือลำใหม่คือเงินที่ต้องจ่ายจำนวนร่วมแสน

          ดวงตะวันเริ่มคล้อย เสียงทิวสนต้องลมดังคล้ายฝนโปรยละออง ผมก้าวออกไปที่ชายหาด มิตรใหม่วัยไล่เลี่ยกันแบกสัมภาระลงไปเรือหัวโทงลำไม่ใหญ่นัก อาจยากเย็นเมื่อต้องเผชิญพายุร้าย ทว่ารอยยิ้มกลับปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา

          "เดี๋ยวมันก็ผ่านไป" ชายหนุ่มบอกขณะบ่ายหัวเรือออกจากฝั่ง เกลียวคลื่นค่อย ๆ กลืนกลบผืนทราย เสียงอาซานจากมัสยิดกังวานแว่วมา อีกไม่นานจะถึงเวลาละหมาด โมงยามที่พวกเขาจะได้ใกล้ชิดองค์อัลลอฮฺ ได้สำรวจตรวจตราและขัดเกลาจิตใจของตน ณ ที่หนึ่งที่ใด อาจเป็นชายหาดบนเกาะเล็ก ๆ หรือบนเรือลำน้อยผ้าสะอาดจะวางปูลงไป เสียงสวดมนต์จะแว่วยินพร้อม ๆ กับเสียงเกลียวคลื่นซอนซบผืนทรายและเสียงเต้นอันเยือกเย็นของหัวใจ

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล


สายลมตะวันออก

          นกออกตัวนั้นสบายปีกกว้างบินร่อนมุ่งทิศตะวันตก คล้ายว่าเราบ่ายหัวเรือตามมันไป เบื้องหน้านั้นปรากฏเกาะค้างคาว จุดหมายแรกที่ "บังอิบ" จะพาเราไปเยี่ยมเยือน นึกย้อนคืนวันกว่า 3 ปีแล้ว ที่ผมไปเยือนที่นั่นพร้อมมิตรสหายแม้จะด้วยการงานพาไป ทว่าชายหาดอันสงบงามก็ทำให้เรามีความทรงจำดี ๆ กลับมาไม่น้อย จากแหลมสนชายฝั่งเขตรอยต่ออำเภอกะเปอร์และสุขสำราญ บังอิบพาเราฝ่าคลื่นลมมายังทิศตะวันตกขณะพายุตั้งเค้าแล้วบนผืนแผ่นดินใหญ่

          "ที่เราเรียกว่านกออก เพราะมันจะมาพร้อมลมมรสุมตะวันออก" ชายผิวกร้านแดดลมบอกผมเช่นนั้น เพียงนกออกหายลับไปกับขอบฟ้า ฝนระลอกแรกก็ตามเรามาถึงเกาะค้างคาว ต้นหูกวางทะเลบนชายหาดคือร่มเงากำบังลมฝน จนตะวันบ่ายคล้อย แดดอุ่นก็ค่อย ๆ ส่องฉายอาบไล้ชายหาดหน้าเกาะ ซึ่งไร้รอยเท้าใด ๆ ราวผิวนวลเนียนของหญิงวัยแรกสาว

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล

          ไม่รู้อย่างไร ผมขอมิตรร่วมทางไม่ให้เหยียบย่ำผืนทรายมากเกินควร ขณะอีกด้านนั้นเป็นหาดกรวด ดารดาษด้วยกรวดหินกลมมนมันเลื่อมราวกับใครบางคนประดิดประดอยสลักเสลา

          จากเกาะค้างคาวบังอิบบ่ายเรือไปยังทิศใต้ ราวอึดใจก็เทียบชายหาดอ่าวเขาควาย เกาะกำตก เกาะนี้อีกเช่นกันที่ผมเคยมาเยือน หลังถูกคลื่นสึนามิโถมซัด ดงสนบริเวณอ่าวก็ล้มราบเป็นหน้ากลอง ในปีนั้นสนต้นใหญ่ล่อนเปลือยเหลือเพียงเนื้อซีดขาว มันถูกคลื่นชัดลงไปกองก่ายเกยทั่วชายหาด ดูไม่ต่างจากร่างไร้ลมหายใจหลังสงคราม แต่กับวันนี้...อ่าวเขาควายดูแปลกตาจนต้องทบทวนทิศเหนือและใต้ เพราะมันห่มคลุมด้วยดงสนรุ่นใหม่ ซึ่งเบียดเสียดซ่อนพรางเวิ้งอ่าวอีกด้านไว้ ทั้งซุงสนก่ายเกยก็หายสูญไปด้วย

          "ทะเลนี่มีเรื่องประหลาดเยอะนะครับ" บังอิบเอ่ยแล้วก็ยิ้มไร้ความหมาย ผมพยักหน้าเห็นคล้อย ไม่เพียงดงสนจะคืนกลับมา บ่อน้ำริมชายหาดก็กลับมามีน้ำจืดใสสะอาด ยามเดินลอดเข้าไปในดงสนรอบตัวนั้นปรากฏสรรพเสียงนานา ทั้งแมลงกรีดปีกและนกหลากสีสัน มันทั้งแว่วหวาน กังวาน และสั้นกระชั้นชวนตื่นใจ เมื่อพบว่ากำลังอยู่บนเกาะห่างไกลเช่นนี้

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล


ทะเล

          ใครบางคนที่มีเลือดทะเลบอกกับผมว่า มรสุมนั้นอยู่ไม่นานเท่าปลาหรือท้องฟ้า หากไม่เขลาคร้านอาหารมีอยู่มากมายทั่วผืนน้ำกว้าง

          บ่ายเรือจากเกาะกำตก ดูเหมือนลมฝนจะจากไปเช่นกัน ฟ้าครามอาบแสงตะวันบ่าย ทะเลสีสดอย่างที่เราคาดหมายแล่นเรือลงใต้ไปอีก เกาะกำกลาง ปรากฏเคียง เกาะกำนุ้ย เราแวะเยือนเกาะแรก สนต้นใหญ่หน้าหาดทำให้เราเย็นชื่นผ่อนคลาย

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล

          บังอิบเล่าว่า เกาะกำกลางมีอีกชื่อหนึ่งว่า "เกาะญี่ปุ่น" เพราะแต่ก่อนมีคนญี่ปุ่นมาเลี้ยงปลาอยู่ที่นี่ แต่พอหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็กลายเป็นเกาะร้าง ร่องรอยที่เหลือคือต้นมะพร้าวสูงเคียงยอดไม้ กล่าวถึงเกาะกำกลางมันมีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับเกาะอื่น ๆ พื้นที่ไม่ถึง 20 ไร่ ลักษณะเป็นแนวยาวคล้ายกำแพงผุดอยู่กลางทะเล ปลายด้านทิศตะวันออกเป็นแนวกองหินยื่นออกไป คล้ายครีบหลังของฉลามซึ่งชาวเลคุ้นเคยเป็นอย่างดี

          เดินเลาะชายหาดแคบ ๆ ไปสุดกองหิน ผมแวะไปยังที่ราบตรงตีนเขา นกปรอดตัวหนึ่งบินผ่านมา มันลงเกาะที่กิ่งไม้แล้วเอียงคอมองเหมือนไม่เคยเห็นมนุษย์มานาน ขณะนกกางเขนดงก็ร้องแว่วหวานอยู่ในดงไม้ มองไปรอบตัวเกาะเล็ก ๆ นี้มีไม้ใหญ่ขึ้นคลุมหนาตา อีกทั้งต้นไทรก็แผ่กิ่งสาขาอยู่หลายต้นด้วยกัน หากเป็นนกหรือสัตว์เล็ก ๆ อย่างกระรอก ไก่ป่า เกาะนี้คงเปรียบได้กับสวนสวรรค์ เพราะสมบูรณ์ทั้งอาหารและบ้านอันปลอดภัย แม้จะโดดเดี่ยวห่างไกลกลางทะเลเวิ้งว้าง

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล


ลมหายใจ

          นกแก๊กฝูงนั้นบินตามกันไปเคียงเรือนยอดไม้ เรียวปีกกว้างวาดดังดั่งเสียงคลื่นซัดผืนทราย บ่ายเรือจากเกาะกำกลาง เราลงใต้มาเรื่อย ๆ กระทั่งใกล้ถึงชายฝั่ง "บังแอน" ซึ่งเป็นนายท้ายอีกคนพาเราเข้าไปในเวิ้งอ่าวแห่งหนึ่งหลัง เกาะเฒ่า ที่ซึ่งรายล้อมด้วยป่าโกงกางและทิวเขาเขียวครามเย็น ยามนั้นเองที่ฝูงนกแก๊กปรากฏอยู่เบื้องหน้า ไม่เพียงฝูงนกแก๊ก ทั้งเหยี่ยวแดงและนกออกก็บินร่อนทั่วท้องฟ้า ขณะเบื้องล่างลิงแสมพาฝูงออกหาอาหาร แต่ละตัวกุมก้อนหินไว้ในมือ เมื่อพบหอยนางรมก็ฉวยขึ้นมาทุบกินอย่างคล่องแคล่ว

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล

          ภาพต่าง ๆ ที่เห็นล้วนทำให้เราประหลาดใจ ไม่เพียงเวิ้งอ่าวเล็ก ๆ นี้จะสมบูรณ์หลากหลาย มันยังเป็นบ้านซึ่งเหลือน้อยนักแล้ว ที่ชีวิตยังคงวิถีเฉกเช่นเป็นมาแต่บรรพกาล เราจากเวิ้งอ่าวนั้นมาขณะตะวันเคลื่อนคล้อย เสียงก้อนหินกระทบเปลือกหอยค่อย ๆ ลับหาย แทนที่ด้วยเสียงคลื่นลมตีหัวเรือ และเสียงตะโกนทักทายระหว่างชายชาวเล

          "กระเบนติดเบ็ดครับ" บังแอนชี้มือไปข้างหน้า มองเห็นเรือหัวโทงมีหลังคาลอยเอื่อยไปทางใต้

          "กระเบนตัวใหญ่ แค่แผ่ครีบก็พาเรือไปได้แล้ว" บังไกร เจ้าของเบ็ดบอกขณะฝืนสายเอ็นตึงเขม็ง เหงื่อผุดพรางเต็มใบหน้า ใช้เวลานานหลายอึดใจปลายสายเบ็ดจึงหมดแรงว่ายฝืน และเมื่อดึงขึ้นจากน้ำก็พบว่ามันคือกระเบนนกตัวใหญ่หนักมากกว่า 30 กิโลกรัมขึ้นไป

          "สมบูรณ์ใช่ไหมครับ" บังแอน เอ่ยพลางมวนใบจากจุดสูบ แล้วเรื่องราวจากชาวเลก็ค่อย ๆ ถ่ายทอดออกมา ปลาโลมาฝูงใหญ่ ฤดูแมงกะพรุนซึ่งลอยเต็มทั่วทั้งอ่าว และชุมชนประมงเล็ก ๆ อันสงบงาม เสมือนโลกอีกใบ...

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล

          บ่ายคล้อยแล้วที่เรามาถึง บ้านแหลมนาว ชุมชนชาวเลเล็ก ๆ ซึ่งอิงแอบภูเขาและทะเลคราม

          "อัสลามุอลัยกุม" โต๊ะอิหม่ามประจำหมู่บ้านเอ่ยอวยพรแด่ผู้มาเยือน ผมยื่นมือน้อมรับมิตรไมตรี แล้วจากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏในดวงตา หญิงสาวคลุมฮิญาบนางหนึ่งพาผมไปเยือนบ้านเก่าแก่ "เนะ" หรือพ่อเฒ่าของลูกหลานเมตตาเล่าเรื่องแต่หนหลังปีนี้เนะอายุล่วง 110 ปีแล้ว หมู่บ้านนี้ก็เก่าแก่ไล่เลี่ยกัน

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล

          เนะเล่าว่าเดินเท้ามาจากสตูล เพื่อนหนุ่มบางคนบ่ายหน้าไปนครศรีธรรมราช บ้างนั่งรถไฟเข้ากรุงเทพฯ ทว่าสำหรับเนะแกบอกว่าไม่รู้อย่างไรจึงฝากชีวิตใหม่ ณ หมู่บ้านชาวเลเล็ก ๆ นี้ ด้วยภูมิประเทศซึ่งเป็นแหลมยื่นออกไป ทั้งยังเป็นเขาสูงและป่าไม้ ไม่มีถนนเข้าถึง ที่นี่จึงไม่ต่างจากเกาะกลางทะเล เรือหัวโทงนั้นเป็นพาหนะหนึ่งเดียว มันทั้งเก่าแก่ เรียบง่าย และมีความหมายยิ่งในการดำรงชีวิต

          "สงบงาม"...คงเป็นเหตุที่เนะและใครอีกหลายคนเลือกที่นี่ ผมนึกในใจขณะขึ้นไปเยือนโรงเรียนประถมบนไหล่เขา จากบนนั้นเวิ้งอ่าวเล็ก ๆ ปรากฏโค้งราวดวงจันทร์เสี้ยว เรือนน้อยสร้างเรียงเคียงทะเลและภูเขา ไกลออกไปคือผืนแผ่นดินใหญ่ ไม่มีสีสันใด ๆ นอกจากสีครามของผืนน้ำและเขียวสดเย็นใจของทิวเขาห่มป่าไม้ ในยามนั้นเองที่ภาพต่าง ๆ ผุดพรายเข้ามา เวลาหมุนเคลื่อนเลือนไป น้ำขึ้นและลง ทิวสนเอนไหว นกออกและลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้ น้ำเสียงนุ่มเย็นของเนะและเสียงเกลียวคลื่นแห่กล่อมผืนทราย วันเวลาหมุนเคลื่อนเลือนลับ 1 สัปดาห์ที่แหลมสน ภาพใบหน้าแห่งผู้คนและทะเลเป็นเช่นนี้

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล


ขอขอบคุณ

          ชุมชนชาวเลมากน้ำใจแห่งบ้านอ่าวเคย บ้านแหลมนาว และบ้านบางเบน พ่อเฒ่าเนะ โต๊ะอิหม่าม และครูโรงเรียนบ้านแหลมนาว บังอิบ บังแอน-นายท้ายมากฝีมือ และบังใหม่-สำหรับคำแนะนำอันมีค่า

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล

คู่มือนักเดินทาง

          แหลมสน คือ ชายหาดทอดยาวช่วงอำเภอกะเปอร์และอำเภอสุขสำราญ จังหวัดระนอง

          ด้วยภูมิประเทศเป็นภูเขาทอดยาวลงมาจรดทะเล จึงเกิดเวิ้งอ่าวน้อยใหญ่และชายหาดโค้งขาวน่าเที่ยวชม เช่น หาดแหลมสน อ่าวบางเบนอีกทั้งหมู่เกาะกำซึ่งประกอบด้วยเกาะเล็กเกาะน้อยจำนวน 8 เกาะด้วยกัน

          สำหรับชายหาดบนผืนแผ่นดินใหญ่ สามารถขับรถเที่ยวชมได้โดยสะดวก เดินทางมาจากระนองก่อนถึงตัวอำเภอกะเปอร์ราว 6 กิโลเมตร มีทางแยกขวาไปถึงอ่าวบางเบน ระยะทาง 10 กิโลเมตร ถึงสี่แยกบ้านบางเบน เลี้ยวขวาไปราว 3 กิโลเมตร จะถึงบ้านอ่าวเคย หากเลยสี่แยกไปเล็กน้อยจะมีทางเลี้ยวซ้ายไปทำเรือบ้านแหลมนาว

          หมู่เกาะกำน่าไปเยือน กลุ่มเรือนำเที่ยวบ้านบางเบนมีเรือหัวโทงให้บริการ 1 ลำนั่งได้ไม่เกิน 10 คน ตลอดทั้งวันราคา 1,900 บาท โทรศัพท์ 08 6271 0373

แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล

พักค้างแรมคืน

          แหลมสนมีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่มากนัก แต่ก็ทดแทนด้วยความสวยสงบ ตรงสี่แยกบ้านบางเบนมีร้านอาหาร 2 ร้าน ร้านพี่ตุ๊ก สะอาด รสชาติค่อนข้างดี

          จากสี่แยกเลี้ยวขวาไปทางบ้านอ่าวเคยมีที่พักติดชายหาด อันดามัน พีช รีสอร์ท ราคา 600 บาทขึ้นไป โทรศัพท์ 0 7782 0239

          สอบถามข้อมูลท่องเที่ยวเพิ่มเติม สายด่วนท่องเที่ยว โทรศัพท์ 1672

 



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

หนังสืออสท. ปีที่ 53 ฉบับที่ 9 เมษายน 2556


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
แหลมสน...ใบหน้าแห่งผู้คนและทะเล อัปเดตล่าสุด 24 กรกฎาคม 2556 เวลา 13:39:49 3,494 อ่าน
TOP