หอเอนเมืองปิซา ประเทศอิตาลี 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง รวมถึงยังเป็นแลนด์มาร์กเด็ดที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างมาเยือน พร้อมไขปริศนาว่าทำไมสิ่งนี้ถึงยังคงตั้งอยู่ท่ามกลางแรงโน้มถ่วงโลก
สำหรับหอเอนเมืองปิซา 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ใช้เวลาในการก่อสร้างกว่า 200 ปี โดยแบ่งออกเป็น
3 ช่วง ช่วงแรกเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1173 (พ.ศ.
1716) ไม่ปรากฏชัดเจนว่าใครเป็นคนออกแบบ เมื่อสร้างไปได้ 3 ชั้น
การก่อสร้างก็มีอันต้องยุติลงในปี ค.ศ. 1178 (พ.ศ. 1721)
เพราะเมืองปิซาเข้าสู่ภาวะสงคราม
ต่อมาในปี ค.ศ. 1275 (พ.ศ. 1818) หอคอยแห่งนี้ได้รับการต่อเติมอีกครั้ง โดยสถาปนิกนามว่า จิโอวานนี ดิ ซิโมเน (Giovanni di Simone) เขาสร้างเพิ่มอีก 4 ชั้น และราวกับว่ามีอาถรรพ์อีกครั้ง ทำให้การก่อสร้างต้องยุติลงในปี ค.ศ. 1284 (พ.ศ. 1827) ด้วยเหตุสงครามอีกเช่นกัน กว่าจะมีการสร้างหอระฆังซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของหอคอยแห่งนี้ ก็กินเวลาไปอีกเกือบ 100 ปี เลยทีเดียว โดยหอระฆังชั้นสุดท้ายของหอคอยซึ่งสร้างโดย ทอมมาโซ ดิ แอนเดรีย ปิซาโน (Tommaso di Andrea Pisano) เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1372 (พ.ศ. 1915)
ทั้งนี้ ระหว่างการก่อสร้างช่วงแรก เพียงแค่ 5 ปี
หลังจากเริ่มทำการก่อสร้าง ก็พบว่าหอคอยเริ่มเอนลงไปทางเหนือแล้ว
โดยครั้งแรกที่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติของหอคอยแห่งนี้ก็ในช่วงที่มีการก่อสร้างเพิ่มเติมช่วงที่สอง
แต่ทว่าสถาปนิก จิโอวานนี ดิ ซิโมเน ก็ยังคงเดินหน้าสร้างต่อ
และสาเหตุที่หอเอนลง ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เป็นเพราะพื้นดินที่ใช้ในการก่อสร้างไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากชั้นดินมีลักษณะเป็นดินปนทรายและดินโคลน ทำให้ไม่แข็งแรงพอที่จะรองรับน้ำหนักของหอคอยขนาดใหญ่ได้ แต่ด้วยวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างซึ่งทำมาจากหินปูนและปูนขาว มีคุณสมบัติสามารถโค้งงอ และทนต่อแรงต่าง ๆ ได้ดีกว่าวัสดุอื่น ๆ อย่างพวกหินหรืออิฐ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมหอคอยแห่งนี้จึงไม่ถล่มไปเลย แต่กลับค่อย ๆ เอนลงเรื่อย ๆ
หอเอนเมืองปิซา (Leaning Tower Of Pisa) เป็นหอระฆังของศาสนาคริสต์ที่สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวสูงใหญ่ ตั้งอยู่ที่จัตุรัส Piazza del Duomo เมืองปิซา ประเทศอิตาลี ซึ่งมีเอกลักษณ์โดดเด่นที่ความเอนเอียงของหอระฆัง ซึ่งยอดของหอระฆังนั้นห่างจากแนวตั้งฉากของพื้นไปประมาณ 3.9 เมตร และใช้เวลาในการก่อสร้างกว่า 200 ปี ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เพื่อไปเยี่ยมชมความมหัศจรรย์และความงามให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งในชีวิต
ต่อมาในปี ค.ศ. 1275 (พ.ศ. 1818) หอคอยแห่งนี้ได้รับการต่อเติมอีกครั้ง โดยสถาปนิกนามว่า จิโอวานนี ดิ ซิโมเน (Giovanni di Simone) เขาสร้างเพิ่มอีก 4 ชั้น และราวกับว่ามีอาถรรพ์อีกครั้ง ทำให้การก่อสร้างต้องยุติลงในปี ค.ศ. 1284 (พ.ศ. 1827) ด้วยเหตุสงครามอีกเช่นกัน กว่าจะมีการสร้างหอระฆังซึ่งเป็นชั้นสุดท้ายของหอคอยแห่งนี้ ก็กินเวลาไปอีกเกือบ 100 ปี เลยทีเดียว โดยหอระฆังชั้นสุดท้ายของหอคอยซึ่งสร้างโดย ทอมมาโซ ดิ แอนเดรีย ปิซาโน (Tommaso di Andrea Pisano) เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1372 (พ.ศ. 1915)
และสาเหตุที่หอเอนลง ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า เป็นเพราะพื้นดินที่ใช้ในการก่อสร้างไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากชั้นดินมีลักษณะเป็นดินปนทรายและดินโคลน ทำให้ไม่แข็งแรงพอที่จะรองรับน้ำหนักของหอคอยขนาดใหญ่ได้ แต่ด้วยวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างซึ่งทำมาจากหินปูนและปูนขาว มีคุณสมบัติสามารถโค้งงอ และทนต่อแรงต่าง ๆ ได้ดีกว่าวัสดุอื่น ๆ อย่างพวกหินหรืออิฐ นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมหอคอยแห่งนี้จึงไม่ถล่มไปเลย แต่กลับค่อย ๆ เอนลงเรื่อย ๆ
โดยปัจจุบันนี้ หอเอนเมืองปิซาลาดเอียงลงมาประมาณ 13 องศาแล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า หอเอนมีโอกาสพังถล่มลงมาแน่นอน โดยทุก ๆ 20 ปี หอคอยแห่งนี้จะเอนลง 1 นิ้ว
และมีคนทำนายว่า หอคอยแห่งนี้จะพังถล่มลงมาในปี 2200
หากยังไม่มีใครหาทางป้องกันได้
แต่ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังเดินทางไปเที่ยวไม่ได้ ก็เก็บลิสต์เอาไว้เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางในฝัน ไว้ประเทศเปิดเมื่อไร เห็นทีว่าต้องเดินทางไปเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งให้ได้ ^ ^
ขอบคุณข้อมูลจาก