ตัดขาดโลกโซเชียล ไปเที่ยวเขื่อนรัชชประภา 3 วัน 2 คืน

          ชวนไปเที่ยวหน้าฝน ...หนีจากเมืองกรุงที่วุ่นวายไปนอนแพรับลมเย็น ๆ เล่นน้ำใส ๆ ให้หายเหนื่อยที่เขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) จังหวัดสุราษฎร์ธานี กันดีกว่า เพราะในช่วงหน้าฝนเขื่อนรัชชประภาจะมีปริมาณน้ำมากและอากาศจะสดชื่น มีสายหมอกคลอเคลียทั้งบนสายน้ำและยอดเขา ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้เล็กใหญ่ มีภูเขาหินปูนรูปร่างสวยงาม อยู่ท่ามกลางน้ำใสสีเขียวมรกต มีความงดงามจนได้ชื่อว่าเป็น "กุ้ยหลินเมืองไทย" อ๊ะ ๆ ถ้ายังไม่แน่ใจว่าจะไปดีไหมก็ตามบันทึกการเดินทางของ คุณสมาชิกหมายเลข 1466681 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ไปเที่ยวเขื่อนรัชชประภา นอนแพชิล ๆ กันดีกว่าค่ะ


          สวัสดีค่ะทุกคน วันที่ 14 กรกฎาคม 2558 เราและเพื่อนอีก 5 คน ได้ไปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลานมา รู้สึกประทับใจและรู้สึกตัวเองโชคดีตลอดการเดินทางเลย ก็เลยอยากแบ่งปันประสบการณ์ดี ๆ เผื่อว่าคนอื่น ๆ จะได้ไปเที่ยวกันบ้าง บอกก่อนว่าเราไม่ได้ซื้อแพ็กเกจนะคะ เราแยกจองระหว่างแพที่พักกับเรือค่ะ (ซึ่งกิจกรรมทางน้ำที่มีให้ก็เหมือนกับแพ็กเกจเลย)

          วันที่ 13 กรกฎาคม 2558

          เริ่มออกเดินทาง เราเดินทางโดยรถไฟค่ะ โดยขบวนรถด่วน หมายเลข 83 เราเลือกเป็นชั้น 3 คือเบาะธรรมดาค่ะ ถูกดี ราคาอยู่ที่ 257 บาท เริ่มออกจากสถานีรถไฟกรุงเทพฯ เวลา 17.05 น.

          วันที่ 14 กรกฎาคม 2558

          ถึงสถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี เวลาประมาณ 05.30 น. พอถึงสถานีรถไฟปุ๊บก็เข้าห้องน้ำสถานี ทำธุระของตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินออกจากสถานีรถไฟไปแล้ว เดินตรงไปทางซ้ายมือจะมีรถเมล์ สุราษฎร์-พุนพิน รอช้าอยู่ไยขึ้นไปเลยค่ะ ราคา 15 บาทเท่านั้น นั่งสุดสายนะคะ ลงที่ตลาดเกษตร 1 จากนั้นเดินข้ามถนนมาที่ตลาดเกษตร 2 ตอนแรกว่าจะหาอะไรทานกันที่ตลาดเกษตร 2 แต่ไม่มีอะไรขายเลยค่ะ เลยเดินไปเรื่อย ๆ หารถตู้ไปหน้าเขื่อน เจอคิวรถตู้ไปหน้าเขื่อน คิดราคาคนละ 150 บาท พาไปแวะหน้าเขื่อนเพื่อถ่ายรูปก่อนแล้วค่อยไปที่ท่าเรือ พวกเราเลยบอกลุงว่า "ลุงคะพวกหนูหิว" ลุงใจดีเลยพาพวกเราไปแวะทานข้าวก่อน ที่ร้านครัวลุงอ๊อดค่ะ เป็นร้านอาหารภูเก็ต รสชาติใช้ได้ เมนูก็จะเป็น ข้าวต้ม ต้มเลือดหมู หมูฮ้อง บะหมี่ฮกเกี้ยน เป็นต้น

          จากนั้นเลยขอให้คุณลุงคนขับรถพาแวะเพื่อซื้อเสบียงไปทานที่เขื่อน ด้วยความใจดีคุณลุงก็แวะให้ที่โลตัส ซื้อของเสร็จก็มุ่งหน้าไปที่หน้าเขื่อนเลยค่ะ คุณลุงชวนคุยตลอดทาง น่ารักมากกกกกกกกกกกกก แล้วก็ติดต่อเรือให้ด้วย ไปถึงจะได้ลงเรือเลย คุณลุงก็ชวนคุยตลอดทางค่ะ แต่เราหลับตลอดทางเช่นกัน 555555 คุณลุงให้เบอร์มาด้วยค่ะเผื่อตอนกลับจะได้โทรหาได้เลย (ใครต้องการเบอร์ลุงก็ส่งข้อความมาถามได้นะคะ)

          เวลาประมาณ 10.00 น. ถึงหน้าเขื่อนค่ะ แวะถ่ายรูปก่อน



          บรรยากาศหน้าเขื่อนค่ะ ลมแรงมาก ครึ้ม ๆ เหมือนฝนจะตก น้ำในเขื่อนสีสวยมาก แค่นี้ก็ตื่นเต้นแล้วค่ะ เวลาประมาณ 10.30 น. ถึงท่าเรือ




          แค่ได้เห็นน้ำใกล้ ๆ ลมเย็น ๆ แบบนี้หัวใจก็เต้นแรงแล้วค่ะ สูดหายใจเข้าลึก ๆ ^..^ ก่อนขึ้นเรือก็ซื้อเสื้อกันฝนติดไปด้วย เพราะช่วงนี้ฝนตกเผื่อขากลับจะได้ไม่เปียกค่ะ ราคาตัวละ 35 บาท จากนั้นก็เริ่มออกเดินทางกันเลยค่ะ



          บรรยากาศระหว่างเดินทางนะคะ ลมแรงเย็นสบายค่ะ หลังจากที่ผ่านเขาลูกข้างหน้าไปก็ No Service ทันที บ๊ายบายโลกภายนอก พี่คนขับเรือเค้าให้เลือกว่าจะชมกุ้ยหลินเมืองไทยเลยมั้ย หรือว่าจะชมตอนขากลับ พวกเราเลยเลือกจะไปชมตอนขากลับค่ะ เพราะขากลับจะได้มีอะไรทำ (อารมณ์เหมือนอยากยื้อเวลาอยู่ที่นี่นาน ๆ 555)

          เวลาประมาณ 11.30 น. เดินทางถึงแพค่ะ เราเลือกแพไกรสร เป็นแพของอุทยานแห่งชาติเขาสกค่ะ ราคาอยู่ที่คืนละ 400 บาท พักได้ห้องละ 2 คน มากสุด 3 คน แต่คนที่ 3 จ่ายเงินเพิ่มคืนละ 150 บาท พอถึงแพปุ๊บก็เอาของเข้าไปเก็บที่แพ จากนั้นก็หิวค่ะ แต่กับข้าวยังไม่เสร็จเลยต้องนั่งรอ ระหว่างรอก็เดินถ่ายรูปทั่ว ๆ และฝนก็ตกลงมาต้อนรับพวกเรา




          อาหารมื้อแรกบนแพไม่ได้ถ่ายไว้เพราะด้วยความหิวค่ะกินก่อนเลย นึกได้หลังจากกินเสร็จแล้วว่าจะถ่ายรูป 5555 แต่บอกเลยค่ะอร่อยทุกอย่าง กับข้าวมีประมาณ 4 อย่าง ก็ที่จำได้ก็มีต้มจืดแตงกวายัดไส้ ไข่เจียว แกงพริกใต้ใส่ปลาใส่ฟักทอง และก็ผัดเปรี้ยวหวาน อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก (ก.ไก่ล้านตัว) แล้วเติมได้ทุกอย่างเลย ไม่อั้น ป้าที่ดูแลแพ (ป้าแตน) บอกพวกเราว่า “กินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ” พวกเราก็จัดไป เติมไข่เจียวอีก 1 จาน แกงพริกใต้อีก 1 ชาม อื้อหือ ! มารู้ตัวว่าอิ่มก็ตอนที่กับข้าวหมดแล้ว เพลินมากจริง ๆ ค่ะ จากนั้นก็มีผลไม้มาตบท้าย (แตงโมกับสับปะรด)

          หลังจากที่กินข้าวกลางวันจนอิ่ม ก็เปลี่ยนชุดเพื่อไปเที่ยวรอบ ๆ เขื่อนกันต่อ แต่ฝนก็ยังไม่หยุดตก แต่พวกเราไม่หวั่นอุปสรรคใด ๆ ลงเรือไปทั้งฝนตก ๆ แบบนั้น ที่แรกที่จะไปกันคือ "น้ำตก" ค่ะ พี่คนขับเรือบอกว่า ให้รีบ ๆ ทำเวลาเพราะใช้เวลาเที่ยวไปประมาณ 3 ชั่วโมง เราก็คิดว่าใช้เวลานานขนาดนี้มันคงไกลน่าดูเลยนะ เราถามพี่คนขับตลอดทางว่าพี่ไม่หนาวเหรอ ? ไม่เหนื่อยเหรอ ? อีกไกลมั้ย ? และมารู้อีกทีน้ำตกก็อยู่ตรงหน้าแล้วค่ะ ใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น จากนั้นก็รู้เลยว่าโดนแกล้งแล้วล่ะ 555555



          ช่วงนี้ฝนตกค่ะ น้ำเยอะมาก ไหลแรงด้วย แต่ไม่อันตรายนะคะ สวยมาก พวกเราก็ปีนขึ้นน้ำตกกันไป แต่กลัวกล้องตกน้ำเลยไม่ได้ไปเก็บภาพไว้ นอนเล่นข้างบนอยู่แป๊บหนึ่งก็ลงมากระโดดน้ำกันข้างล่าง




          จากนั้นพี่คนขับเรือก็พาเราไปทัวร์แพอื่น แพที่เราไปทัวร์แพแรกคือ "แพภูผาวารี" ไปกระโดดน้ำวัดใจที่บันไดความสูง 9 เมตร





          จากนั้นก็ไปต่อกันที่ "แพภูตะวัน" ไปพายเรือคายักท่ามกลางสายฝน สนุกมากกกกกกกกกกกกก



          หลังจากที่กระโดดน้ำกันเต็มที่ก็เหนื่อยล้าเต็มที ไม่รู้วันเวลาเลยว่ากี่โมงแล้ว พี่คนขับเรือจึงพาเรากลับไปที่แพที่พัก ก็เหมือนเป็นอัตโนมัติค่ะ เห็นแพตัวเองแล้วหิวข้าวทันที 555555 อาหารมื้อนี้ก็ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เช่นเคย ด้วยความหิว แต่จำได้ว่ามีปลาแรดทอดกรอบจิ้มน้ำจิ้ม ผัดฟักทอง (อาหารที่เพื่อนเรารีเควสป้าแตนไป ป้าแกบอกว่าถ้ามีของก็จะทำให้ น่ารักจริง ๆ) ต้มจืดน่องไก่ผักกาดดอง อะไรอีกอย่างจำไม่ได้ เติมได้ไม่อั้นอีกเช่นเคย ยกเว้นปลาแรดทอดค่ะ บอกเลยอร่อยมากกกกกกกกกกกกก พวกเราเติมข้าวกันคนละ 2 จานค่ะ แล้วตบท้ายด้วยผลไม้อีกเช่นเคย (แตงโมและสับปะรด)




          หลังจากที่กินอิ่มก็ถึงเวลาอาบน้ำค่ะ ห้องน้ำมี 4 ที่ คือของพี่ทหารและฝั่งป่า ห้องน้ำก็สะอาดดีค่ะ ข้างบนในป่าอีก 1 ที่ และฝั่งที่พักพี่ทหารอีก 1 ที่


          อาบน้ำเสร็จปุ๊บไฟก็มาค่ะ ไฟที่นี่จะเปิดให้ใช้เวลา 18.00-22.00 น. นะคะ เราก็ชาร์จแบตฯ กล้องเลยค่ะ เอาไว้เก็บภาพสวย ๆ คืนนี้ฝนตกตลอดเลย อากาศเลยเย็น ๆ ฟ้าครึ้ม ๆ นอนแอร์ธรรมชาติ สบายมากเลยค่ะ คืนนี้มองไม่เห็นดาวเพราะฝนตกตลอด บรรยากาศช่างชวนง่วงบวกกับเหนื่อยล้าเต็มที ราตรีสวัสดิ์นะคะ


          วันที่ 15 กรกฎาคม 2558

          ตื่นมารอดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนตี 5 ครึ่ง แต่ฝนตกไม่เห็นพระอาทิตย์ อากาศเย็น ๆ แบบนี้นั่งจิบกาแฟอุ่น ๆ บอกเลยว่าฟินมาก



          จากนั้นก็ถึงเวลาของอาหารเช้า เช้านี้มีแพนเค้กและขนมปัง (ด้วยความหิวลืมถ่ายอีกเช่นเคย) อร่อยมาก ๆ ค่ะ แป้งนุ่ม หวานกำลังดีและหอม กินกับไซรัปและแยมรสต่าง ๆ อร่อยมาก กินไปกินมาพวกเรารู้สึกเลี่ยนเพราะชอบกินอาหารคาวมากกว่า เลยบอกป้าว่าขอไข่ดาวได้มั้ย ป้าก็รีบไปในครัวและทอดไข่ดาวมาให้ทันที น่ารักมากกกกกกกกก ป้าบอกว่ากินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ 555555

          หลังจากที่กินข้าวเช้าเสร็จก็รอฝนหยุดตกสักพักแล้วก็ออกไปส่องสัตว์กัน (ไม่ได้เอากล้องไปเพราะฝนตก กลัวกล้องเปียก) อยากเจอกระทิงป่ามาก แต่ไม่มีดวงที่จะเจอ เจอค่างแว่น นกเงือก 10 ตัว และก็เหยี่ยว จากนั้นก็บอกพี่คนขับเรือว่าพี่พาไปดูที่แทงปลาหน่อยได้มั้ย พี่คนขับเรือก็จัดไปตามรีเควส จอดเรือและลงไปแทงปลา พวกเราก็ลงไปเล่นน้ำตรงนั้น น้ำใสมาก เห็นที่พื้นเลยค่ะ มีสาหร่ายหางกระรอก มีลูกปลาเสือมาตอดเท้า น่ารักมาก แต่พี่ไม่ได้ปลาเลยสักตัว น่าจะเพราะพวกเราเสียงดัง 555555 ขอโทษนะคะพี่ จากนั้นก็กลับแพของเรา ก็เป็นอัตโนมัติอีกเช่นเคยเห็นแพแล้วหิวทันที  มื้อนี้ไม่ลืมที่จะถ่ายภาพเก็บไว้



          กับข้าวก็จะมีผัดฟักทอง ต้มจืดแตงกวายัดไส้หมูสับ ปลากดราดพริกแกงใต้ และไข่ปลาทอด อื้อหือออออออ อร่อยมาก อร่อยทุกอย่าง เราชอบไข่ปลาทอดมาก เพราะหอมสมุนไพรที่ใส่ลงไปทอดด้วย อร่อยสุด ๆ เติมข้าว 2 จาน

          หลังจากที่กินข้าวกลางวันอิ่มแล้วก็ฟรีสไตล์เลยค่ะ พวกเราก็กระโดดน้ำ พายเรือ พายไปฝนก็ตก ๆ หยุด ๆ แดดเริ่มออกนิด ๆ สนุกสนานกันไป ไม่ลืมที่จะเก็บภาพบรรยากาศรอบ ๆ เอาไว้













          พวกเราพายคายักไปหมู่บ้านชาวประมงที่ขังปลาที่จับได้มาไว้ในกระชัง แถวนั้นมีร้านขนมด้วย เลยกลับมาบอกพี่คนขับเรือว่าทำไมไม่บอกว่ามีร้านขนมจะได้เตรียมตังค์ไป (แกล้งพี่แก) พี่แกก็รู้สึกผิดจริงซะงั้น พาพวกเรานั่งเรือไปซื้อขนมเฉยเลย 55555555 ราคาของที่ร้านนั้นก็เพิ่มจากราคาเดิม 5 บาท เป็นค่าขนส่ง และแล้วพวกเราก็ได้เสบียงสำหรับคืนนี้แล้ว ขอบคุณมากเลยนะคะพี่แม็ก (ชื่อพี่คนขับเรือ)



          บรรยากาศตอนเย็น ๆ ก่อนกินข้าวเย็นค่ะ จากนั้นก็ถึงเวลากินข้าวเย็น ลืมถ่ายอีกตามเคย ด้วยความหิว แต่อร่อยทุกอย่างเช่นเคย แล้วก็ถามป้าแตนว่ามื้อเช้ามีอะไรกิน ป้าเลยบอกว่าข้าวต้มหรือไม่ก็ขนมปัง พวกเราเลยบอกว่าข้าวต้มไม่อิ่มท้อง รีเควสข้าวผัดกับไข่ดาวไป ป้าแกก็บอกว่าได้ ใจดีมากเลยค่ะ หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วก็มานั่งคุยกับพี่ทหารที่ดูแลแพ เค้าก็เล่าประวัติเขื่อนให้ฟัง ฮามากเลยค่ะแต่ละคน น่ารักสุด ๆ คุยกันจนดึกก็ถึงเวลานอนแล้ว นอนได้สักแป๊บเราก็ลุกมาเข้าห้องน้ำ คืนนี้ฝนไม่ตกดาวเต็มฟ้าเลยค่ะ สวยมาก เห็นดาวเป็นกลุ่ม ๆ เส้น ๆ คล้ายทางช้างเผือกเลย


          กะว่าจะตื่นมาตอนตี 3 เพื่อถ่ายทางช้างเผือก แต่ก็หลับยาวเลย ตื่นอีกที 6 โมงครึ่ง เสียดายมาก

          วันที่ 16 กรกฎาคม 2558

          เพื่อนปลุกมาดูพระอาทิตย์ขึ้น เป็นแสงแรกของทริปนี้เลยนะคะ สงสัยพระอาทิตย์คงตื่นมาส่งเรากลับบ้าน




          จากนั้นก็ถึงเวลากินข้าวเช้ามื้อสุดท้ายที่แพไกรสรแห่งนี้ ข้าวผัดไก่ฉีกไข่ดาว...อร่อยมาก แถมตักแกงจืดมาให้ซดด้วย น่ารักสุด ๆ ไปเลยค่ะ ประทับใจ



          จากนั้นก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำ เก็บของ เตรียมตัวกลับบ้าน ก่อนกลับบ้านก็แวะชมกุ้ยหลินเมืองไทยตามสัญญา ช่วงนี้ฝนตกต้นไม้บนเขาเขียวขจีเลยล่ะค่ะ อุดมสมบูรณ์มาก แค่ได้มาสูดอากาศที่นี่ก็ถือเป็นกำไรชีวิตแล้ว นั่งเรือไปเรื่อย ๆ ก็ถึง "กุ้ยหลินเมืองไทย" หรือ "เขาสามเกลอ" แชะภาพคู่กับเขาสามเกลอสักหน่อย


          จากนั้นก็เดินทางกลับไปที่ท่าเรือค่ะ ยังไม่อยากกลับเลย



          ก่อนกลับขอแชะภาพกับพี่คนขับเรือสักนิด ขอบคุณที่พาพวกหนูไปซื้อขนม พาไปเที่ยว แถมแบ่งปันเรื่องราวต่าง ๆ และเล่นไพ่ด้วยกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะพี่ จากนั้นก็นั่งรถตู้ไปที่สถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี ราคา 150 บาท หลังจากกินข้าวเสร็จก็เหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่ารถไฟจะมา เลยนั่งรอที่ร้านคาเฟ่เล็ก ๆ ชื่อร้านว่า One More สั่งเครื่องดื่ม เค้กไอศกรีม และชาร์จแบตโทรศัพท์ให้พร้อมสำหรับการเดินทาง


          จากนั้นเมื่อใกล้เวลารถไฟจะมาก็เดินไปที่สถานีรถไฟ เราขึ้นรถเร็วขบวนที่ 174 ค่ารถไฟ 217 บาทค่ะ เมื่อรถไฟมาก็ได้เวลา บ๊ายบายสุราษฎร์ธานีที่รัก ไว้เจอกันใหม่นะ


          สรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมด (ไป 6 คน)

          ค่าอาหารและค่าแพ 3 วัน 2 คืน = 1,400 บาท
          ค่ารถตู้ไป-กลับ 150x2 = 300 บาท
          ค่ารถเมล์ 15  บาท
          ค่าเรือ 4,500/6 = 750 บาท
          ค่ารถไฟไป- กลับ 257+217 =  474 บาท
          รวมทั้งหมด 2,939 บาท/คน

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก  คุณสมาชิกหมายเลข 1466681 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม