x close

เที่ยวอิหร่านคนเดียว กับมิตรภาพสุดประทับใจระหว่างทาง

อิหร่าน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Mr.JT สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก Kittinan Chit-euakul

          อิหร่าน หรือชื่อทางการว่า สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน นับเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นดินแดนแห่งอารยธรรมอันเก่าแก่ที่สุดในโลก อีกทั้งประเทศนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวสุดงดงามมากมายที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกอยู่หลายแห่ง เอาเป็นว่าถ้าอยากทำความรู้จักกับอิหร่านในอีกมุมมองหนึ่ง ก็ตามบันทึกการเดินทางของ คุณ Mr.JT สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้มีโอกาสไปเยือนอิหร่านคนเดียว และเก็บเกี่ยวกับประสบการณ์ดี ๆ สุดประทับใจมาบอกเล่าให้เราได้อ่านกันค่ะ
 


          "ไปอิหร่านคนเดียวบ้าหรือเปล่า ?" ประโยคคำถามที่ผมได้ยินซ้ำ ๆ หลังจากจองตั๋วเดินทางไปประเทศอิหร่าน ถึงจะมีเสียงค้านจากครอบครัวและเพื่อนฝูงรอบข้าง แต่ขอสานความตั้งใจเดิมที่เคยวางแผนไว้เมื่อสองปีก่อนให้สำเร็จภายในปีนี้

          อิหร่านมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก ๆ ครับ ลำพังแค่มรดกโลกก็มีจำนวนมากถึง 17 แห่งด้วยกัน ผมมีโจทย์อยู่ 14 วัน จึงเลือกเที่ยวเมืองสำคัญ ๆ ด้านประวัติศาสตร์ แต่ก็แทรกสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติไว้ด้วย จะได้ไม่รู้สึกเอียนโบราณสถานมากจนเกินไป เมืองที่ผมเลือกมีทั้งหมด 7 เมือง คือ Tehran, Ahvaz, Shiraz, Yazd, Garmeh, Esfahan (Isfahan) และ Kashan

          การขอวีซ่า

          1. ติดต่อบริษัททัวร์ในประเทศอิหร่านให้เป็นผู้ดำเนินการขอ Code Visa โดย Agent ที่ผมใช้ คือ http://key2persia.com/ (ค่าบริการ 30 ยูโร) ส่วนเพื่อนของผมเคยใช้ของ http://touranzamin.com/ (ค่าบริการ 35 ยูโร) ซึ่งเท่าที่ลองติดต่อทั้งสองบริษัท touranzamin.com จะตอบอีเมลไว ส่วน key2persia.com ใช้เวลา 5-7 วัน

          2. หลังจากส่งใบคำร้องไปให้ทางบริษัททัวร์แล้ว ผมต้องชำระเงินผ่านบัญชีของธนาคารนอกประเทศอิหร่าน เนื่องจากอิหร่านยังโดนมาตรการคว่ำบาตร จึงไม่สามารถทำธุรกรรมกับอิหร่านได้โดยตรง บริษัท key2persia มีบัญชีในประเทศเยอรมนี ถ้าโอนจากธนาคารไทยจะมีค่าธรรมเนียมการโอนประมาณ 1,150 บาท ราคานี้ไม่รวมค่าดำเนินการขอวีซ่าของทางบริษัททัวร์ 30-35 ยูโร นะครับ ถ้าไปหลายคนก็หารค่าธรรมเนียมการโอนได้ แต่ถ้าไปคนเดียวอย่างผม ผมใช้วิธีฝากเพื่อนที่รู้จักในเยอรมนีโอนเงินให้ ซึ่งเขาไม่เสียค่าธรรมเนียมการโอน เพื่อนผมบอกว่ากลับมาไทยไว้ค่อยไปเอาเงิน แต่ก็สามารถโอนคืนผ่าน western union ได้ครับ ค่าธรรมเนียมอยู่ประมาณ 700 บาทเศษ

          3. เมื่อโอนเงินให้ทางบริษัททัวร์แล้วก็อีเมลส่งหลักฐานการโอน จากนั้นเขาจะดำเนินการขอ Code และแจ้งหมายเลข Code กลับมาให้

          4. เมื่อได้รับ Code แล้ว โทรตรวจสอบกับทางสถานทูตอิหร่าน โทรศัพท์ 0-2390-0871-3 หากได้รับทราบแล้วก็เดินทางไปสถานทูตอิหร่าน อยู่ในซอยสุขุมวิท 49/11 (เลยโรงพยาบาลสมิติเวชไปนิดเดียว) โดยเตรียมเอกสารไป ดังนี้

          Visa Code
          รูปถ่าย 2 นิ้ว พื้นขาว 2ใบ
          ค่าวีซ่า 1,750 บาท
          Passport อายุมากกว่า 6 เดือน

          ผมได้ Passport คืนหลังยื่นวีซ่า 3 วัน วีซ่าที่ได้รับเป็น Single Entry และพำนักได้ไม่เกิน 30 วัน

อิหร่าน

          แผนการเดินทาง

          อย่างที่เกริ่นไปครับว่าอิหร่านมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก แผนที่วางไว้เดิมพอตอนไปเที่ยวจริงตัดสินใจปรับแผนเอาดื้อ ๆ ระหว่างเดินทางจริง ซึ่งนั่นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริง ๆ ครับ ลองมาดูแผนการเดินทางของผมดีกว่า

          Day 1 Bangkok-Tehran
          Day 2 Tehran-Ahvaz
          Day 3 Ahvaz-Shiraz
          Day 4 Shiraz
          Day 5 Shiraz
          Day 6 Shiraz-Yazd
          Day 7 Yazd
          Day 8 Yazd-Garmeh
          Day 9 Garmeh
          Day 10 Garmeh-Esfahan
          Day 11 Esfahan
          Day 12 Esfahan
          Day 13 Esfahan-Kashan
          Day 14 Kashan-Tehran-Bangkok

อิหร่าน

Day 1 : Bangkok-Tehran

          Highlight : National Jewels Museum, Park-e Shahr, Tehran Bazaar, Imam Khomeini Mosque, Azadi Tower

อิหร่าน

อิหร่าน

          ผมบินถึงเตหะรานด้วยสายการบินการ์ตาแอร์เวย์ เครื่องดีเลย์นิดหน่อยก็เลยถึงตอนตี 5 ติดต่อให้รถแท็กซี่ของโรงแรมมารับ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็ถึงตัวเมือง ค่ารถ 25 ดอลลาร์ ราคาพอ ๆ กับค่าห้อง แต่เวลาง่วงสุด ๆ แพงก็ยอมจ่าย ถึงโรงแรมขอเช็กอินเช้าเลยต้องเสียค่าห้องเพิ่มอีกครึ่งวัน ขึ้นไปหลับ 4 ชั่วโมง ตกใจตื่นเพราะยังไม่ได้ปรับนาฬิกา เวลาอิหร่านช้ากว่าไทย 02.30 ชั่วโมง อากาศเย็นก็เย็นกว่ามาก 20 องศา (28 เมษายน)

อิหร่าน

          ครึ่งวันหมดไปกับการนอน ออกจากโรงแรมก็เดินทางไปแลกเงิน แล้วเดินหาพิพิธภัณฑ์โคตรเพชร National Jewels Museum กว่าจะเดินหาทางเข้าเจอ เดินผ่านไปสองรอบเพราะดูแทบไม่ออกว่าข้างในเป็นคลังสมบัติของชาติอยู่ เสียดายด้านในห้ามไม่ให้ถ่ายรูป จึงไม่สามารถบรรยายความอลังการพันล้านดวงได้หมด ขอบอกว่าต้องไม่พลาดจริง ๆ สำหรับ National Jewels Museum (ค่าเข้าชม 150 บาท)

อิหร่าน

อิหร่าน

          จากนั้นเดินไป Park-e Shahr สวนสาธารณะกลางเมืองเตหะราน ถึงไม่ได้สวยอย่างที่คิด แต่ถือว่าก็เป็นสถานที่พักผ่อนได้ดีทีเดียว ทะลุไป Tehran Bazaar ตลาดนัดขนาดใหญ่ของเมือง คนเยอะ ของก็เยอะมาก เดินจนตาลาย อยากให้ลองชิมไอศกรีมน้ำแครอท อร่อยชื่นใจมากทีเดียว ส่วนด้านในตลาดมีมัสยิดอิหม่ามโคไมนี่ สามารถเดินเข้าไปถ่ายรูปได้ฟรีครับ

อิหร่าน

อิหร่าน

อิหร่าน

          หลังจากกลับมาพักเหนื่อยที่โรงแรม ถามเส้นทางไป Azadi Tower จากเจ้าหน้าที่โรงแรม เดินไปลงรถไฟใต้ดินสาย 2 สีน้ำเงิน ลงสถานี Azadi แล้วเปลี่ยนเป็นสาย 4 สีเหลือง ลงสถานี Meydan-e Azadi เดินอีกหน่อยก็ถึง Azadi Tower อยู่กลางวงเวียนขนาดใหญ่ แต่กว่าจะเดินทางมาถึงเสียเวลาไปเกือบ 2 ชั่วโมง เพราะน้ำใจแสนดีงามของคนอิหร่าน ขณะกำลังจะซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินหญิงวัยกลางคนเข้ามาทักทายเป็นภาษาถิ่น พอเห็นตัวหนังสือภาษาฟาร์ซีในมือว่าจะไป Azadi Tower เธอพาไปซื้อตั๋วพร้อมจ่ายเงินแล้วพาลงไปส่งถึงชานชาลา จะคืนเงินเธอก็ไม่เอา ทั้ง ๆ ที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้สักคำ น้ำใจของคนอิหร่านที่ได้อ่านมาเจอเข้ากับตัวเองวันนี้ ทำให้เที่ยวอย่างสบายใจ ถ่ายรูปจนเพลินถึงเกือบ 4 ทุ่มเลยทีเดียว

          ป.ล. ขอแฝงสาระ Azadi Tower ตึกรูปตัววายคว่ำหัว สัญลักษณ์การฉลองครบรอบ 2,500 ปี ของจักรวรรดิเปอร์เซียเมื่อปี 1971 และสัญลักษณ์ของการปฏิวัติมุสลิมเมื่อปี 1979 (จำได้เพราะหนังเรื่อง Argo)

อิหร่าน

Day 2 : Tehran-Ahvaz

          Highlight : Saadabad Palace, Golestan Palace, National Museum

อิหร่าน

          เช้าวันที่ 2 เช็กเอาท์แล้วฝากกระเป๋าที่โรงแรม ลงรถไฟใต้ดินสถานี Mallat ค่ารถ 20,000 เรียล (20 บาท) ลงสถานี Tajrish แล้วเดินถามคนขับรถตู้เขียวไปยัง Saadabad Palace ผมพูดภาษาฟาร์ซีไม่ได้ แต่ใช้หลักชี้ตัวเขียนภาษาฟาร์ซีในหนังสือ Lonely Planet คนขับรถก็เข้าใจให้ผมนั่งด้านหน้ารถ จ่ายค่ารถแค่ 10 บาท รถวิ่งขึ้นไปตามเนินเขาไม่ถึง 20 นาที ก็จอดตรงทางเข้าของพระราชวังซาดาอาบัด

อิหร่าน

อิหร่าน

          ค่าเข้าชมพระราชวังซาดาอาบัด 150 บาท ด้านในมีพระราชวังให้เข้าชมเยอะมาก เจ้าหน้าที่จะคอยถามว่าเข้าชมทั้งหมดเลยหรือไม่ ผมแนะนำให้ซื้อตั๋วแค่ 2 พระราชวังก็พอครับ คือ White Palace กับ Green Palace โดยต้องจ่ายเพิ่มพระราชวังละ 50 บาท รวมทั้งสิ้น 250 บาทครับ

          เนื้อที่ของพระราชวังซาดาอาบัดกว้างขวางมาก เดินกันเมื่อยขาเลยทีเดียว แต่ถ้าไม่อยากเมื่อยก็จะมีรถมินิบัสวนรับ-ส่งตามจุดต่าง ๆ โดยเสียค่ารถแค่ 10 บาท ก็คุ้มอยู่ครับ ควรจ่ายตอนขาขึ้น Green Palace ทางขึ้นชันมาก ได้เหงื่อเลยล่ะครับ เสริมอีกนิดหนึ่งควรเตรียมน้ำดื่มและขนมมาด้วยสักหน่อย ซื้อที่มินิมาร์ทตรงวงเวียนก่อนทางเข้าพระราชวังนะครับ ผมขอไม่เน้นเรื่องสถานที่ว่ามีความสำคัญอย่างไรบ้าง ขอเน้นเรื่องประสบการณ์มากกว่านะครับ ไว้มีเวลาจะลงเพิ่มให้ในตอนสรุปสุดท้าย

อิหร่าน

          ผมใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง ก็เดินทางกลับ รอบนี้นั่ง Share Taxi แค่ไปยืนตรงถนนเดี๋ยวจะมีคนขับรถแท็กซี่เข้ามาถามเองครับว่าไปไหน ถึงเขาจะมีผู้โดยสารอยู่แล้ว ถ้ายังไม่เต็มคนขับก็จะไล่จอดรับผู้โดยสารข้างทางไปเรื่อย ๆ ครับ เที่ยวกลับจ่ายแพงกว่านิดหน่อย 20 บาท กลับไปยังสถานีรถไฟฟ้า Tajrish แล้วนั่งไปลงสถานี Imam Khomeini เหมือนเดิม

อิหร่าน

          จากนั้นก็เดินไปยังอีกพระราชวังหนึ่งครับ Golestan Palace ใกล้กับ Tehran Bazaar เลย ความจริงจะเข้าไปชมตั้งแต่เมื่อวานแต่เหลือเวลาแค่ชั่วโมงกว่า ผมเลยเลือกที่จะมาช่วงบ่าย 2 ของวันนี้ครับ ค่าเข้าชมคล้ายกับ Saadabad เก็บค่าผ่านประตู 150 บาท จากนั้นก็ให้เราเลือกว่าจะเข้าชมพระราชวังไหนบ้าง ถ้าเลือกทั้งหมดก็จ่าย 500 บาท โดยผมเลือกซื้อตั๋วเหมาครับ อันที่จริงไม่คุ้มเลย ถามเจ้าหน้าที่ว่าห้องไหนถ่ายรูปได้เลือกซื้อเฉพาะห้องนั้นจะคุ้มกว่า

          Golestan Palace เป็นมรดกโลกอันดับที่ 17 และเป็นมรดกโดกล่าสุดของอิหร่านเมื่อปี 2013 หากเปรียบเทียบสองพระราชวังแล้วความคุ้มค่าผมยกให้กับ Golestan เลยครับ สำหรับคนชอบถ่ายรูปให้มาช่วงบ่ายแก่ ๆ นะครับ ถ้ามาช่วงเข้าด้านหน้าของพระราชวังจะย้อนแสง

อิหร่าน

อิหร่าน

          ถัดจากพระราชวังสวนกุหลาบผมเดินย้อนไปยังพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ค่าเข้าชม 150 บาท ราคามาตรฐานเดียวทั่วทั้งประเทศ เมื่อวานผมพลาดจำวันผิดพิพิธภัณฑ์ปิดทุกวันจันทร์ จึงกลับมาเข้าชมวันนี้ ยอมรับว่าผมคาดหวังไว้เยอะมากครับ พอได้เข้าไปดูจริงๆ โอ๊ย ! อยากจะฉีกตั๋วทิ้ง ถึงค่าเข้าชมจะถูกแล้วแต่หากนับจำนวนวัตถุโบราณแล้วถือว่าน้อยมาก ๆ ห้องก็เล็ก แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าอารยธรรมใหญ่ของโลกจะเหลือโบราณวัตถุล้ำค่าเพียงแค่นี้ ผมเคยไปดูที่อียิปต์ เม็กซิโก ดีกว่ามาก ๆ เสียดาย เสียเวลา พาลทำเอาผมอารมณ์เสียไปด้วยเลย

อิหร่าน

          จบวันที่สองผมเดินทางไปสนามบินเพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง Ahvaz โดยจองตั๋วผ่านบริษัททัวร์ที่ผมทำขอCode ทำวีซ่า โดยค่าตั๋วเครื่องบินประมาณ 1,000 บาท ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง แต่ผมโชคร้ายเครื่องบินเสียเวลาทำให้เดินทางถึงเมืองอาห์วาซเที่ยงคืนครึ่งเลยทีเดียว

          ค่าใช้จ่ายวันนี้รวมค่าโรงแรม ประมาณ 1,728 บาท

Day 3 : Ahvaz-Shiraz

          Highlight : Chonqa Zanbil, Shush, Shushtar

อิหร่าน

          ผ่านวันวุ่น ๆ หลังจากไฟล์ทดีเลย์ทำให้ถึงเที่ยงคืนครึ่ง โรงแรมที่จะมาพักอีเมลไปหา 3 รอบ แต่ไม่ได้รับเมลตอบ ก็เลยใช้วิธีพิมพ์แผนที่กับชื่อโรงแรมแล้วยื่นให้แท็กซี่ที่สนามบินอาห์วาซ แต่พอไปถึงโรงแรมปรากฏห้อง เต็มเจ้าหน้าที่บอกว่าอีเมลนั่นเป็นเว็บเก่าเลิกใช้ไปนานแล้ว ก็ถึงว่าทำไมไม่มีคนตอบเมล แต่เจ้าหน้าที่โรงแรมก็ใจดีมาก ช่วยโทรหาโรงแรมให้ 2-3 แห่ง จนได้ที่ Adseri Hotel คืนละ 1,120 บาท จ่ายค่าแท็กซี่ 2 รอบ รอบละ 50 บาท หลับยาวทำให้ตื่นสาย พอเกิดอาการเพลียทำให้เซ็งหมดอารมณ์เที่ยว แต่พอคิดอีกที ไหน ๆ ก็มาแล้ว ออกเดินทางช้าหน่อยดีกว่าเสียวันไปฟรี ๆ เลยให้โรงแรมหาแท็กซี่ แผน คือ เหมารถไปจองตั๋วรถบัส VIP ไปชีราซ เที่ยว 20.00 น. ตั๋วแบบ 24 ที่นั่ง ราคา 370 บาท

อิหร่าน

          หลังจากได้ตั๋วก็เดินทางไปยังจุดหมายแรก Chogha Zanbil อยู่ห่างเมืองอาห์วาซไปราว 90 กิโลเมตร คนขับหลงทางแป๊บหนึ่ง เดาว่าคงมาครั้งแรกเหมือนกัน (หัวอกเดียวกันเด๊ะ) จนในที่สุดก็หาเจอ ค่าเข้าเหมือนเดิม 150 บาท แต่เงียบมาก ไร้เงามนุษย์ ผมเดินตามลำพังคนเดียว เพราะที่นี่อยู่ค่อนข้างไกลและไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว ทำให้คนเข้าชมต่อวันน้อยเหลือเกิน ขนาดที่นี่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยนะ

          Choqa Zanbil/Chongha Zanbil ชื่อท้องถิ่นมีความหมายว่า "เนินเขารูปตะกร้าขนาดใหญ่" เป็นพระราชวังและวัดของเมืองโบราณ Dur Untashi มีอายุมากกว่า 3,200 ปี อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอิหร่าน ยูเนสโกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก เมื่อปี พ.ศ. 2522

อิหร่าน

          นั่งรถต่อไปอีก 35 กิโลเมตร ก็ถึงเมือง Shush แหล่งอารยธรรมเก่าแก่พอ ๆ กับ Persepolis ได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักรบาบิโลเนียน แต่น่าเสียดายที่นี่ถูกทำลายเหลือเพียงที่ดินโล่งกว้างใหญ่ เหลือเพียงตัวปราสาทและพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมีขนาดเล็กมาก ๆ เล็กกว่าเมื่อวานหลายเท่า ไม่คุ้มเลยให้ตายเหอะ เพราะจินตนาการไว้สูงส่งมาก ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ 150 บาท

อิหร่าน

          สถานที่สุดท้าย Shushtar ห่างออกมาอีก 60 กิโลเมตร ภาพแรกที่เห็นตื่นตาตื่นใจมาก ๆ สวยและแปลก Shushtar Water Mills ค่าเข้าชม 150 บาท ถึงแม้ว่าจะมีนั่งร้านให้รกตาอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงความสวยงาม นี่คือระบบชลประทานที่มีอายุหลายพันปี สมควรแล้วที่เป็นมรดกโลกอีกแห่งของอิหร่าน

อิหร่าน

          จบโปรแกรมสมความตั้งใจ ทั้ง Chongha Zanbil และ Shushtar สวยงาม ยิ่งใหญ่ อลังการเป็นที่สุด พอกลับถึงท่ารถได้เวลาจ่ายค่าแท็กซี่...แทบช็อก เพราะราคาคำนวณตามระยะทางวิ่งทั้งสิ้นเกือบ 400 กิโลเมตร คิดเป็นเงิน 2,800 บาท !!  พยายามข่มใจไม่คิดมากถือว่าซื้อประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต มาคนเดียว รถสาธารณะก็ไม่มี จึงต้องจ่ายแพงเช่นนี้

อิหร่าน

          **แท็กซี่สีเหลืองเหมือนที่นิวยอร์กเลย ^_^ ค่าใช้จ่ายตลอดทั้งวัน 5,240 บาท (วันที่จ่ายแพงที่สุดในทริปเลยครับ)

Day 4 : Shiraz

          Highlight : Nasir-Ol Molk, Persepolis, Arg-e Karim Khan, Vikil Bazaar, Vikil Mosque, Shah-e Cheragh

อิหร่าน

          6 โมงเช้า รถบัสถึงชีราซตรงเวลา อากาศหนาวกว่าที่อาห์วาซน่าดู เรียกแท็กซี่จ่าท่ารถ 50 บาท พาวนไปตระเวนหาโรงแรมมากกว่า 10 แห่ง แต่ทุกที่เต็มหมด เอ๊ะ...วันอะไรกัน ? หรือเข้า High season สุดท้ายได้โรงแรมเล็ก ๆ ใกล้กับมัสยิดนาซิร์โอมอล์ค (Nasir-Ol Molk) ค่าห้อง 500 บาท มีแอร์ ทีวี ห้องน้ำในตัว ไม่มี Wi-Fi จ๊ากไม่มี Wi-Fi ผมคงลงแดงตายภายใน 24 ชั่วโมง แต่หมดทางเลือกไม่อย่างนั้นนอนริมถนนแน่ ๆ

อิหร่าน

          พักเหนื่อยครู่หนึ่งก็ออกเดินเที่ยวต่อ เดินไปมัสยิดนาซิร์โอมอล์คเพื่อมาดูแสงกระทบแดดเช้าของกระจกในห้องสวด ค่าเข้า 150 บาท ไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ สวยจนผมนั่งมองดูแสงจากกระจกสีได้ไม่รู้เบื่อ

อิหร่าน

          ระหว่างถ่ายรูปอยู่เพลิน ๆ ได้รู้จักเพื่อนใหม่เป็นชาวญี่ปุ่น 4 คน ต่างคนต่างมาเที่ยวคนเดียว แต่มารู้จักกันที่มัสยิดแห่งนี้ เรื่องแปลกที่นำสิ่งดี ๆ และเป็นสีสันให้กับการเดินทางของผมครั้งนี้ด้วย

อิหร่าน

          ทุกคนสนุกสนานกับการถ่ายรูปมุมต่าง ๆ ของห้องสวด จนได้เวลาแยกย้ายเพราะสมาชิก 3 คน นัดรถแท็กซี่เพื่อไปยัง Persepolis พอผมได้ยินเข้าเลยเอ่ยปากขอร่วมทางไปด้วย ซึ่งทั้ง 3 คน ตอบรับอย่างเต็มใจ โดยผมจ่ายเงินเพิ่มแค่ 300 บาท ถ้าราคาทัวร์ปกติจะอยู่ที่คนละ 20 ดอลลาร์ โชคดีผมได้คนขับชื่อ Mr. Morteza เขาเป็นคนขับรถแท็กซี่ที่มีชื่อในหนังสือ LP ด้วย เขาเป็นมิตรและให้คำแนะนำกับพวกเราดีมาก ๆ ระหว่างทางพวกเราบ่นหิวเขาจึงจอดริมสวนสนเพื่อชงชาให้ดื่ม ท้ายรถเขามีอุปกรณ์ครบครัน ชา กาแฟ น้ำตาล น้ำร้อน และคุกกี้ !

อิหร่าน

          55 กิโลเมตร จากตัวเมืองชีราซ รถก็มาจอดด้านหน้าของเมืองโบราณเปอร์เซโปลิส ค่าเข้า 150 บาท (อีกแล้ว) ลุง Morteza บอกพวกเราให้ทิ้งเป้ไว้ในรถ หิ้วไปเฉพาะกล้องกับกระเป๋าเงิน ด้านหน้าจุดตรวจ เจ้าหน้าที่จะเครื่องสแกนไม่ให้นำกระเป๋าทุกชนิดเข้าไป เพราะ 8 ปีก่อน เคยมีนักท่องเที่ยวพยายามขโมยหินกลับไปเป็นที่ระลึก ความยิ่งใหญ่อลังการของเปอร์เซโปลิสทำให้ผมฟินแล้วฟินอีก บอกตามตรงเลยว่าผมมาอิหร่านก็เพื่อสิ่งนี้ และที่นี่ก็ยังเป็นมรดกโลกอีกเช่นกันครับ

อิหร่าน

อิหร่าน

อิหร่าน

          ถัดจากเปอร์เซโปลิสพวกเราก็ไปต่ออีก 2 ที่ ห่างออกไปอีกราว 10 กิโลเมตร Naqsh-e Rostam และ Naqsh-e Rajab ทั้งคู่มีงานแกะสลักหน้าผาหินคล้ายเพตรา โดยสลักจากยอดภูเขาหินที่โผล่จากดินแค่เล็กน้อย สลักไปด้วยขุดเอาดินและเศษหินออก จนกลายเป็นภูเขาหนึ่งลูก ค่าเข้าเข้าถูกกว่าที่อื่น 100 บาท และ 50 บาท ตามลำดับ จากนั้นก็กลับเข้าตัวเมืองกินเคบับแกะ อร่อยสุด ๆ ค่าอาหารต่อคนจ่ายไปแค่คนละ 160 บาท

อิหร่าน

อิหร่าน

Day 4 : Shiraz [2]

          ชีวิตไร้อินเทอร์เน็ตเกือบสองวันเต็ม กลัวทางบ้านเป็นห่วงก็เลยซื้อซิมมือถือ ราคา 250 บาท เติมเงินแล้วแต่เราต้องการ เริ่มที่ 50 บาท ใช้เน็ตได้ราว 3 ชั่วโมง เติมเงินก็ง่ายมากครับ เดินเข้าร้านขายของชำเอาบัตรเติมเงินตัวอย่างให้เขาดู แล้วยื่นเงิน 50,000 เรียล จากนั้นก็ยื่นมือถือให้เขาช่วยกดรหัสให้ คือให้เขาทำให้ทุกสิ่ง 555 แล้วอย่าคาดหวังความเร็วแบบ 3G นะครับ ผมเจอแต่ Edge อย่างเดียวเท่านั้น แต่ก็ดีกว่าไม่มีเน็ตใช้เลย ผมยังเกาะกลุ่มกลับเพื่อนญี่ปุ่น เราเดินไป Arg-e Karim Khan ป้อมปราการขนาดใหญ่กลางเมือง ด้านในเป็นพิพิธภัณฑ์เข้าชมได้ (150 บาท)

อิหร่าน

อิหร่าน

          จากนั้นก็เดินไปตลาดวิคิล (Vikil Bazaar) แวะมัสยิดวิคิล (150 บาท) เสาเกลียวตรงห้องโถงด้านในเป็นจุดเด่นของที่นั่นครับ

อิหร่าน

          เดินต่อเข้าไปในตัวตลาด เพื่อนญี่ปุ่นคนหนึ่งอยากแลกเงินจึงเข้าไปถามกับคนขายพรม ซึ่งนักท่องเที่ยวมักจะแลกผ่านร้านค้ามากกว่าธนาคารที่ให้เรตต่ำกว่า วันนั้นเขาแลกได้ 1 ดอลลาร์ = 33,000 เรียล พอ ๆ กับที่ผมแลกในเตหะราน สูตรคำนวณจึงง่ายต่อผมมาก ๆ เพราะตอนแลกเงินบาทมา 33 บาทจุดเศษนิดหน่อย ทำให้เวลาคิดเป็นเงินไทย 1 บาท เท่ากับ 1,000 เรียล จำได้ง่าย ๆ มากแค่ตัด 000 ทิ้งก็ได้เป็นเงินบาทแล้ว ^__^

อิหร่าน

          โชคดีของเราจริง ๆ เจ้าของร้านใจดีมาก เขามี Wi-Fi แจกรหัสให้พวกเรานั่งเล่นเกือบครึ่งชั่วโมง คนญี่ปุ่นก็ติดเฟซบุ๊กนะ อัพ ๆๆ ผมยังสู้ไม่ได้ ก็เลยเดินถ่ายรูปเรื่อย ๆ ปกติผมเองไม่ค่อยได้ถ่ายรูปแนว Portrait สักเท่าไร แต่ที่อิหร่านทุกคนยินดีให้ถ่ายรูปมาก ส่วนใหญ่เสนอตัวเป็นแบบให้ด้วยซ้ำ ทริปนี้ผมจึงมีรูปคนอิหร่านในกล้องหลายร้อยรูปเลยเชียวครับ

อิหร่าน

อิหร่าน

          พวกเรายังเดินในตลาดครับ เดินไปมุมไหนก็มีคนทักทาย "Hello" ตลอดทาง ไม่ว่าเด็ก วัยรุ่น คนชรา รู้สึกเหมือนมีไฟความเป็นซุปตาร์กรุ่น ๆ ข้างในตัว (อิอิ) ผมสนุกกับการเดินตลาดมาก ๆ ครับ ถ่ายรูปผู้คน ชิมขนมฟรี จนมีคุณป้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเรา เธอพูดภาษาฟาร์ซีใส่ราวกับว่าเราจะเข้าใจสิ่งที่เธอพูด เธอเริ่มชี้นำอะไรพวกเราบางอย่าง พาเราเดินลัดเลาะไปในตลาด แอบคิดแง่ลบในใจว่าต้องพาไปร้านขายของแน่ ๆ แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด คุณป้าพาเราไปยังมัสยิด Shah-e Cheragh วันนี้คนหลั่งไหลมายังมัสยิดอย่างมืดฟ้ามัวดิน เธอพาเราไปแถวถ่ายรูปกับคนอิหร่าน พูดคุยและแนะนำพวกเราเหมือนกับเป็นญาติ บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและปลอดภัยเป็นอย่างมาก

อิหร่าน

          คุณป้าพาเราฝากกระเป๋าเพราะด้านในไม่อนุญาตให้เอากล้องถ่ายรูปเข้าไป แต่ยังใช้มือถือได้จึงสามารถเก็บภาพด้านมัสยิดที่ประดับประดาด้วยกระจกนับล้าน อลังการไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อนเลย ในพื้นที่มัสยิดนี่เองทำให้ผมเจอกับนักศึกษาแพทย์สาว 2 คน เธอเล่าว่าเราโชคดีที่ได้มาวันนี้ เพราะนี่คืองานสวดขอพรประจำปี ผมแปลกใจที่เขาอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาในพื้นที่มัสยิดได้โดยไม่หวงห้าม

อิหร่าน

อิหร่าน

          ผมจะถูกตั้งคำถามจากสองหมอว่า "ทำไมถึงมาเที่ยวอิหร่าน ?" เพราะคนทั้งโลกมองอิหร่านในภาพลบ ผมบอกเธอว่า ผมเคยได้ยิน ได้ฟังถึงอิหร่านในมุมที่แตกต่างออกไปจากสื่อต่างประเทศ ผมเลยอยากมาลองพิสูจน์ด้วยตัวเอง ซึ่งวันนี้ผมก็ได้คำตอบแล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างที่ชาวตะวันตกหรืออเมริกากล่าวหาเลย คนอิหร่านเป็นมิตรมาก แค่วันนี้ผมเจอแต่รอยยิ้มและคำทักทาย "Welcome to Shiraz" ตลอดทั้งวัน

อิหร่าน

          เราอยู่จนพิธีกรรมเริ่มขึ้นได้สักพักจึงขอตัวกลับ คุณป้ายังเดินตามมาส่งถึงตรงถนนสายหลัก พวกเราไม่รู้จะขอบคุณคุณป้าคนนี้ยังไง เธออยู่กับเราเกือบ 4 ชั่วโมง โดยไม่ร้องขอค่าตอบแทน ผมไม่น่ามองเธอในแง่ลบเลย รู้สึกผิดจริง ๆ -_- หลังจากนั้นพวกเรากินแซนด์วิชสไตล์อิหร่านเป็นมื้อค่ำใกล้กับโรงแรมที่ผมพัก ได้ลองเบียร์ไร้แอลกอฮอล์รสเลมอนรสชาติอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว

อิหร่าน

          จากนั้นเราก็แยกย้าย เพื่อนญี่ปุ่น 2 คน ต้องเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้ ส่วนอีกคนชื่อนาโอะ จะยังอยู่ชีราซอีก 3 วัน ผมจึงนัดกับเขาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

          ค่าใช้จ่ายตลอดวัน 2,857 บาท (รวมโรงแรม 2 คืน)

Day 5 : Shiraz

          Highlight : Eram garden, Tomb of Hafez, Tomb of Sadi, Madraseh ye Khan,  Artig Jame

อิหร่าน

          วันที่สองในชีราซเที่ยวแบบสบาย ๆ ออกสาย 9 โมง นั่งแท็กซี่ไป Eram Garden สวนสวยที่สุดแห่งเมืองชีราซ และเป็นที่ตั้งของพระราชวังเก่าอีกด้วย ค่าแท็กซี่ 50 บาท ค่าเข้าชม 150 บาท พื้นที่ด้านในมีดอกไม้นานาพรรณ แต่กุหลาบมีเยอะเป็นพิเศษ นับเป็นประเทศที่กุหลาบหลายสายพันธุ์และนิยมน้ำมาทำน้ำกุหลาบอีกด้วย

อิหร่าน

          นาโอะ เพื่อนชาวญี่ปุ่นตามมาสมทบเรียบร้อย เราเดินเล่นในสวนเกือบ 2 ชั่วโมง จากนั้นเดินออกมาหาร้านอาหาร ซึ่งวันศุกร์แบบนี้ร้านค้าเกือบทั้งหมดปิดทำการ (วันหยุดของประเทศอิหร่านคือวันศุกร์ครับ) ระหว่างเดินอยู่มีนักศึกษามหาลัยชีราซเข้ามาคุย เขาแนะนำร้านอาหารใกล้ ๆ แล้วยังเล่าว่าวันนี้เขาไปสอบแข่งขันเพื่อเข้าทำงานในบริษัทน้ำมันแห่งชาติของอิหร่าน ความหวังที่เขาจะมีรายได้สูงและเป็นที่ยอมรับในสังคม น้ำเสียงและสายตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ผมอวยพรให้เขาสมหวัง ก่อนผมถึงร้าน ได้เจอกลุ่มเด็กนักเรียนชาย 4 คน เข้ามาทักทาย "Where are you from ?" คนที่นี่เป็นมิตรกันจริง ๆ พวกเขาเดินนำเราก็ไปถึงร้านอาหาร...ใจดีกันทั้งประเทศหรือเปล่านะ (ผมตั้งข้อสงสัย)

อิหร่าน

          พอกินเสร็จเราจะไปต่อยัง Tomb of Hafez ระหว่างเดินอยู่คิดว่ากำลังจะเรียกแท็กซี่ แต่มีรถเก๋งคันหนึ่งจอดเทียบ วัยรุ่นคนหนึ่งลงจากรถแล้วถามผมว่าจะไปไหน พอบอกว่าจะไป Tomb of Hafez เขาชวนให้ขึ้นรถ เดี๋ยวเขาจะขับรถไปส่ง จะว่าผมไว้ใจคนง่ายก็ได้ครับ แต่ผมอยู่อิหร่านมา 4 วัน ยังไม่เคยเห็นใครประสงค์ร้ายเลย นาโอะก็เห็นด้วยกับผม และเขาก็ไปส่งเราที่ประตูทางเข้าของ Tomb of Hafez จริง ๆ ผมล่ะทึ่งกับน้ำใจคนอิหร่านมากครับ

          Tomb of Hafez เป็นหลุมศพของกวีเอกของอิหร่าน เช่นเดียวกับ Sadi ผมใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง แล้วนั่งรถแท็กซี่อีก 40 บาท ไปยัง Tomb of Sadi

อิหร่าน

อิหร่าน

          Tomb of Sadi ความสงบและสวยงาม ผมว่ายังสู้ Tomb of Hafez ไม่ได้ ทั้งคู่มีค่าเข้าชมเท่ากัน 150 บาท แต่ความพิเศษของ Tomb of Sadi คือ ผมได้รู้จักกับนางฟ้าตัวน้อย ๆ น้องลิลลี่ เป็นเด็กหญิงชาวอิหร่านที่ไม่กลัวคนแปลกหน้าอย่างผมเลย เธอเข้ามาหา ยอมให้เป็นนางแบบตัวน้อย ๆ ชวนผมคุยในภาษาที่ผมไม่เข้าใจ จูงมือผมพาเดินเล่น (เด็กจูงมือผู้ใหญ่ 555) วิ่งไปเด็กดอกไม้ยื่นให้ผม ไม่ให้ผมไปไหน จนพ่อแม่เธอต้องมาขอโทษขอโพยผม ผมกลับยินดีเพราะความน่ารักของเด็กคนนี้ ผมถ่ายรูปเธอไว้เยอะ พอพ่อได้เห็นรูปจึงเอ่ยปากขอรูปเหล่านั้น พอถึงกรุงเทพฯ ผมจึงทำตามที่สัญญาไว้ ส่งรูปไปให้เขาทั้งหมดด้วยความเต็มใจ

อิหร่าน

          ออกจาก Tomb of Sadi เรานั่งแท็กซี่กลับย่านเมืองกลางเมือง ไปยังป้อมคาริมคานอีกครั้ง เพื่อไปชิมไอศกรีมชื่อดังของชีราซ เป็นไอศกรีมเนื้อแน่น เหนียวหนึบ เติมน้ำมะนาวและแท่งแป้งเล็ก ๆ กรุบกรอบ อร่อยดีครับ ถ้วยละ 20 บาท ระหว่างรอคิวก็ได้รู้จักกับหนุ่มอิหร่าน 2 คน คนแรกเป็นครูสอนศาสนาและอีกคนเป็นทหาร เราไปนั่งกินไอศกรีมตรงสนามหญ้าข้างป้อมคาริมคาน ผมได้ฟังเขาเล่าประสบการณ์การเป็นครูสอนศาสนาเด็กอนุบาลอย่างสนุกสนาน บุคลิกที่เป็นกันเองและมีอารมณ์ขันแบบนี้ ผมเชื่อได้ว่านักเรียนต้องรักเขามากแน่นอน

อิหร่าน

          หลังจากนั้นผมกับนาโอะก็ขอตัวแยกจากทั้งสองหนุ่ม เราเดินผ่านตลาดเมื่อวานสภาพวันนี้เงียบสงัดแตกต่างจากเมื่อวานอย่างมาก และอีกครั้งที่มีนักเรียนมาเข้าคุยกับพวกเรา เขาอายุ 18 ปี มีความทะเยอทะยานอยากหนีให้พ้นจากประเทศอิหร่าน เพราะระเบียบและกฎข้อห้ามากมายทำให้เขาอยากใช้ชีวิตอย่างที่เขาต้องการ เป้าหมายสูงสุดของเขาคือการได้ไปใช้ชีวิตในลอนดอน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ฟังทัศนคติในด้านลบสุด ๆ ของคนอิหร่าน ผมรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียวครับ นอกจากเขามาชวนคุยแล้ว ยังพาเราไป Madraseh ye Khan และ Artig Jame สองมัสยิดสำคัญของเมืองชีราซ ทั้งสองที่ไม่เสียค่าเข้าชมครับ

อิหร่าน

          ฟ้าเริ่มมืด...ก่อนเด็กหนุ่มคนนั้นจะจากไปเขาขอเงิน 100 บาท ค่านำเที่ยว เขาบอกจะเก็บเป็นเงินเพื่อไปให้พ้นจากประเทศนี้ รวมเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ผมจะยินดีที่จะจ่ายให้เขา พร้อมอวยพรให้เขาทำตามฝันได้สำเร็จ นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมโดนขอเงินจากคนอิหร่านตลอด 14 วัน ระหว่างเดินกลับโรงแรม ผมเห็นคนอิหร่านกำลังต่อคิวซื้ออะไรบางอย่าง ด้วยความสนใจจึงชวนนาโอะแวะเข้าไปดู ปรากฏว่ามันคือร้านขนมปังอิหร่าน แผ่นแป้งบาง ๆ ขนาดใหญ่พอ ๆ กับถาดส้มตำ สร้างความสนใจให้กับเราสองคนมาก จึงแอบถ่ายรูปจากนอกร้าน แต่เจ้าของร้านเห็นเข้าจึงเรียกเราสองคนเข้าไปถ่ายใกล้ ๆ ถึงหน้าเตาปิ้งขนมปัง ทั้งพ่อค้า ลูกค้า ยิ้มแย้มอย่างยินดีให้คนแปลกหน้าทั้งสองคน ร้านข้างเคียงก็มารุมพวกเราด้วย กลายเป็นคนดังไปในเสี้ยววินาที สนุกดีจังเลย...ก่อนกลับเจ้าของร้านขนมปังแจกขนมปังร้อน ๆ ให้เราสองคนฟรีอีกหนึ่งแผ่น !!  โอ๊ยยยยย จะหาคนใจดีและเป็นมิตรเท่าคนอิหร่านได้อีกไหมในโลกใบนี้ !!!

อิหร่าน

อิหร่าน

          ผมเดินถึงหน้าโรงแรมและร่ำลากับนาโอะ ขอบคุณมิตรภาพดี ๆ ตลอดระยะเวลา 2 วันเต็ม ๆ เราคงเจอกันอีกครั้งในกรุงเทพแน่นอน

          ค่าใช้จ่ายตลอดวัน 1,150 บาท

Day 6 : Shiraz-Yazd

          Highlight : Old city, Jameh Mosque, Amir Chakhmaq complex

อิหร่าน

          ตื่นเช้าเดินทางต่อไปเมืองถัดไป Yazd โดยต้องนั่งรถบัสใช้เวลา 7 ชั่วโมง โดยปกติแล้วนักสะพายเป้มักเดินทางรอบเที่ยงคืนจะได้ถึงเมืองยาซด์เช้า ผมเลือกเดินทางกลางวันเพราะมีเวลาเหลือ เดิมตั้งใจจะนั่งรถบัสกึ่งทัวร์ แวะจอดระหว่างทางให้เที่ยวโบราณสถาน 2 แห่ง แต่น่าเสียดายรถบัสประเภทนี้ไม่ได้วิ่งทุกวัน ทำให้ผมต้องใช้รถบัสธรรมดาแทน อีกสาเหตุที่ผมมีวันเดินทางเหลือ เพราะแผนเดิมจะเดินทางไปทางทิศตะวันออก จุดหมายคือเมือง Kerman และ Bam อีกหน่อยเดียวก็ถึงพรมแดนปากีสถาน เหตุผลที่ต้องเปลี่ยนแผนกะทันหันก็เพราะโปรแกรมท่องทะเลทรายผมต้องเหมารถแท็กซี่เพียงคนเดียว ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 250 ดอลลาร์ ถ้าผมไปเกรงว่าเงินจะเหลือไม่พอถึงวันกลับ บัตร ATM หรือบัตรเครดิตไม่สามารถใช้ได้ในประเทศนี้ อย่างที่ผมเคยเล่าว่าอิหร่านยังโดนคว่ำบาตรเรื่องนิวเคลียร์ ทำให้ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินชนิดใด ๆ ได้เลย แต่ก็ยังมีร้านค้าบางแห่งซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ๆ ที่รับบัตรวีซ่า (เจอมาแค่สองร้าน) เงินสดก็ไม่กล้าพกมาเยอะ จึงจำเป็นต้องวางแผนการใช้เงินให้รอบคอบ สรุปผมจึงจำเป็นต้องตัด Kerman และ Bam ทิ้งไป แต่นั่นกลายเป็นการตัดสินใจที่ถูก ไว้ผมจะเล่าในวันถัดไปครับ

          ผมนั่งแท็กซี่ไปท่ารถบัส 50 บาท ได้ตั๋วรถ VIP เที่ยว 10.00 น. ค่ารถ 175 บาท ความจริงมีเที่ยวก่อนหน้านี้ครับ แต่ตั๋วเต็มซะก่อน ราคาถ้าซื้อผ่านเอเจนซีจะเสียเงินเพิ่มอีกราว 100 บาท รถออกตรงเวลานะครับ เสียตรงรถแวะรับคนตามรายทางจนกระทั่งที่นั่งเต็ม

อิหร่าน

อิหร่าน

          **จงดูท่ารถนะครับ

          วิวระหว่างทางไปเมืองยาซด์แปลกตามากทีเดียวครับ ผมนั่งดูเพลินจนแทบไม่ได้หลับเลย

อิหร่าน

          **ห้องหลังเล็ก ๆ เรียงกันเป็นที่นอนของแพะและแก

อิหร่าน

          16.30 น. รถบัสมาถึงท่ารถเมืองยาซด์ ซึ่งอยู่ห่างจากย่านเมืองเก่าที่ผมจะไปพักพอดู พอลงจากรถได้ก็โดนคนขับแท็กซี่ยืนให้ผมเลือกว่าจะไปกับคนไหน เขาให้ผู้โดยสารเลือกครับ ไม่แย่งลูกค้ากัน

อิหร่าน

          ผมยื่นกระดาษในมือให้คนลุงคนหนึ่ง มีแผนที่และที่อยู่ของ Silk Road Hotel ซึ่งมีภาษาฟาร์ซีกำกับ ก่อนหน้านี้ผมโทรมาสอบถามห้องว่างแล้ว ปรากฏว่าห้องเดี่ยวเต็มเหลือเป็นห้องรวม แต่สุดท้ายคุณลุงกลับพาผมไปยัง Oasis Hotel ซึ่งอยู่ใกล้กันมาก มีห้องเดี่ยวแต่เป็น 3 เตียง เจ้าของบอกราคา 900 บาท ผมขอต่อรองจนเหลือ 800 บาท นอนแผ่คนเดียว 3 เตียงเลย

อิหร่าน

อิหร่าน

อิหร่าน

          **วิวจากดาดฟ้าของ Oasis Hostel

          หลังจากเช็กอินจ่ายค่าที่พัก 2 คืน นั่งพักในสวน จิบชาฟรีพักหนึ่งแล้วจึงออกเดินเล่น เริ่มจาก Jameh Mosque ผ่าน Yazd Bazaar แล้วมุ่งหน้าไปยัง Amir Chakhmaq Complex ซึ่งอยู่ใจกลางของเมือง จะว่าไปตลาดเมืองไหนก็คึกคักเสมอ ที่นี่ก็เช่นเดียวกัน ระหว่างทางก็แวะตามรายทางเรื่อยเปื่อยครับ เที่ยวสบาย ๆ ไม่รีบร้อนครับ

อิหร่าน

อิหร่าน

          Jameh Mosque

อิหร่าน

          ชิมแป้งทอดไส้ไก่ ชิ้นละ 15 บาท แป้งกรอบ ไส้หวาน อร่อยมาก ๆ

อิหร่าน

          เมืองยาซด์เป็นหนึ่งในเมืองบนเส้นทางสายไหม ประชากรในยาซด์มีหน้าตาแนวอาตี๋อาหมวยจำนวนมากทีเดียว ยาซด์จึงเป็นเมืองแรกที่มีคนทักผมว่าหน้าตาเหมือนคนอิหร่าน (ภูมิใจ) แต่ก็ยังมีคนทักทายบ้างประปราย ไม่โดนรุมล้อมเหมือนกับชีราซครับ

อิหร่าน

          เดินมาถึง Amir Chakhmaq Complex ที่นี่เปรียบเสมือนสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมือง ดังจะเห็นกิจกรรมหลากหลายบนเนื้อที่แห่งนี้ เช่น วาดภาพ เล่นฟุตบอล นั่งพูดคุย ปิกนิก ฯลฯ ผมเดินเล่นกระทั่งค่ำ จากนั้นก็กลับเข้าที่พัก วันนี้โปรแกรมสบาย ๆ ซึ่งวันพรุ่งนี้ก็อารมณ์ประมาณนี้เหมือนกันครับ

อิหร่าน

อิหร่าน

          ค่าใช้จ่ายตลอดวัน 2,035 บาท

Day 7 : Yazd

          Highlight : Yazd Old City

อิหร่าน

          เช้าวันสบาย ๆ อีกวันหนึ่ง ตื่นมานั่งศึกษาแผนที่พร้อมกินอาหารเช้า เริ่มคุ้นเคยกับอาหารเช้าอันแสนเบาหวิวของคนอิหร่าน ขนมปังนาน ชีส แยม เนย มะเขือเทศฝาน และแตงกวาเสิร์ฟเป็นลูก เส้นทางในย่านเมืองเก่าวกวนมากครับ ตรอกแคบ ๆ แสนจะวกวน งานนี้มั่นใจว่าต้องหลงทางบ้างแน่นอน

อิหร่าน

          ก่อนเริ่มสำรวจยาซด์ผมขอคำแนะนำจากเจ้าของ Oasis Hotel พรุ่งนี้ผมควรหาแท็กซี่ไปทัวร์ครึ่งวัน แล้วค่อยไปขึ้นรถเพื่อไปเมือง Garmeh แอบถามเขาเรื่องแผนที่ผมเปลี่ยนใจไม่ไป Kerman-Bam เขาบอกว่าไป Garmeh ดีกว่า รับรองว่าผมจะต้องชอบแน่นอน ผมเชื่อคนง่ายอยู่แล้ว ก็คนในประเทศแนะนำมาจะไปเชื่อไกด์บุ๊กล้วน ๆ คงไม่เหมาะ ผมจึงตกลงกับเขาตามนั้น

          เมื่อหมดห่วงเรื่องแผนวันรุ่งขึ้นก็ได้เวลาออกเดิน เริ่มจาก Jameh mosque อีกครั้ง แล้วทะลุประตูด้านข้างทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เลาะไปตามถนนเส้นเล็ก ๆ บางช่วงถนนแคบเกินไป จนรถยนต์ไม่สามารถผ่านได้ ในย่านเมืองเก่านี้ ผมเพลินกับการมองมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานรุ่นเก่า ๆ ที่ผมคุ้นตาในหนัง ที่นี่มีอยู่เกลื่อนเลยล่ะครับ ผมเดินวกไปวนมา ขนาดมีแผนที่และผมค่อยข้างจะแม่นเรื่องอ่านแผนที่ แต่สุดท้ายก็หลงทางจนได้ ผมงมทางอยู่ครู่หนึ่งจนจับทางได้

อิหร่าน

          เส้นทางเดินผมใช้แผนจาก LP เลยครับ เริ่มจากพิพิธภัณฑ์เหรียญกษาปณ์ (ค่าเข้า 20 บาท) บ้านโบราณตระกูลลาไร (50 บาท) คุกอเล็กซานเดอร์ ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวดองกับอเล็กซานเดอร์มหาราชแม้แต่น้อย (50 บาท) หลุมศพ 12 อิหม่าม (50 บาท)

อิหร่าน

          จากนั้นก็แวะพักที่ Kohan Hotel เป็นบ้านทรงโบราณ นักท่องเที่ยวชอบมาพักหรือมากินกาแฟกันครับ แค่เข้าไปขอชมวิวฟรีเขาก็ยินดีต้อนรับ

อิหร่าน

          ผมเดินเล่นอีกพักหนึ่งก่อนกลับไปกินข้าวกล่องที่โรงแรม ผมไม่ได้กินอาหารไทยแซ่บ ๆ หลายวัน โชคดีที่หิ้วเอาข้าวและกระเพราไก่โรซ่ามาด้วย ช่วยชีวิตได้ดีทีเดียว หายอยากไปได้พักหนึ่งครับ สี่โมงออกเดินอีกรอบ แต่แวะอีกแล้วไปนั่งจิบชาที่ Silk Road Hotel วันสุดแสนชิลจริง ๆ ครับ แวะพักรอบที่ 3 ของวันแล้ว

อิหร่าน

          เวลาเหลือครับ เดิมจะไป Temple of Fire แต่ดันลืมหยิบแผนที่มา เรียกแท็กซี่เขาก็ไม่เข้าใจ ก็เลยเปลี่ยนแผนไปชิมชูครีมที่ร้านตรงแยก Amir Chakhmaq Complex 5 ลูก 30 บาท รสชาติอร่อยดีทีเดียว และแวะเข้าไป Water Museum แล้วนั่งรอจนตะวันตกดิน จึงเดินกลับกินมื้อเย็น Buffet ที่ Macopolo Restaurant หัวละ 280 บาท ก่อนเข้ากลับเข้าโรงแรมก็เลยได้เก็บภาพกลางคืนเป็นที่ระลึก สิ้นสุดวันอันแสนชิลได้อย่างสมบูรณ์แบบ

อิหร่าน

          ค่าใช้จ่ายตลอดวัน 620 บาท

Day 8 : Yazd-Garmeh

          Highlight : Maybod, Kharanaq, Chak Chak

อิหร่าน

          ตื่นเช้าไปทัวร์ครึ่งวันเจ้าของโรงแรมถามผมตอน 7 โมง บอกว่าวันนี้ทัวร์มีแค่ผมคนเดียว เหมาแท็กซี่ตามลำพัง 1,200 บาท ผมคิดครู่หนึ่งจึงตัดสินใจไป ดีกว่านั่งรออยู่ที่โรงแรมจนบ่ายสองโมง เอาไงเอากัน !

          "อาลี" คนขับแท็กซี่มาดเคร่งขรึมวัย 50 ปี จะเป็นคนพาผมไปยัง 3 สถานที่ คือ Maybod, Kharanaq และ Chak Chak โดย Meybod เป็นเมืองแรก ห่างจากยาซด์ราว 50 กิโลเมตร เป็นเมืองโบราณอายุ 7,000 ปี แล้วมีอะไรน่าสนใจบ้าง ?

          - ป้อมปราการเมย์บด ป้อมสูงขนาดใหญ่สามารถชมวิวได้ 360 องศา (ค่าเข้า 100 บาท)

          - Caravasarai หรือโรงแรมใช้พักแรมของขบวนคาราวานขนส่งสินค้า

          - Ice House โกดังเก็บน้ำแข็ง (หิมะ) ในช่วงฤดูหนาวสำหรับใช้ในหน้าร้อน (ฤดูหนาวของอิหร่านมีหิมะด้วยนะครับ)

          - Pigeon House หอคอยนกพิราบอาบุ 200 ปี ภายในแบ่งเป็นช่องขนาดพอดีตัวนกพิราบ มีทั้งสิ้น 1,000 ช่อง เพื่อเลี้ยงเป็นอาหารและนำมูลไปใช้เป็นปุ๋ย

อิหร่าน

อิหร่าน

          เดินทางต่อไปยัง Chak Chak (ค่าเข้า 30 บาท) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามลัทธิ Zoroastrian ตั้งอยู่กลางหุบเขาสูง เพราะที่นั่นมีแหล่งน้ำปริศนาผุดจากภูเขาอันแห้งแล้ง นั่นเป็นความเชื่อต่อเทพเจ้าก่อนยุคอิสลาม Chak Chak คือ เสียงน้ำหยดที่หลายพันปีก็ไม่มีวันเหือดแห้ง (ของไทยคงต้องเรียก ติ๋ง..ติ๋ง) ที่นี่ผมได้เพื่อนใหม่อีกคนเป็นชาวญี่ปุ่น เขาเดินทางมาอิหร่านคนเดียวเหมือนผม เราคุยกันแค่ครู่เดียวก่อนที่เขาจะไป Meybon ส่วนผมจะไป Kharanaq

อิหร่าน

อิหร่าน

          เส้นทางไป Kharanaq เต็มไปด้วยภูเขาสูงตลอดสองข้างทาง วิวที่ผมเคยเห็นเป็นครั้งแรก

อิหร่าน

          Kharanaq หมู่บ้านดินอายุ 4,000 ปี เคยมีคนอาศัย 2,000 คน หมู่บ้านมี 3 ชั้น ดูคล้ายตึกแถว ชั้นล่างเป็นคอกเลี้ยงสัตว์ ในแต่ละวันประตูหมู่บ้านเปิดวันละ 2 ครั้ง พอหมดวันทุกคนจะหลับเข้าไปในหมู่บ้านรวมถึงสัตว์เลี้ยง หมู่บ้านนี้มีคนอยู่อาศัยมาจนกระทั่งชาวบ้าน 600 คน สุดท้ายได้ย้ายออกไปเมื่อสัก 40 ปีก่อน หลังจากการเข้ามาถึงของระบบไฟฟ้า ปัจจุบันจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดยไม่เก็บค่าเข้าชม

อิหร่าน

          จบทริปครับ เป็นทัวร์ครึ่งวันที่ถือว่าคุ้มค่าทีเดียว หลังจากนั้นผมก็กลับเข้าเมืองยาซด์อีกครั้ง ใช้เวลาแค่ 1.10 ชั่วโมง ไปยังท่ารถบัสเพื่อไปเมืองคูร์ (Khur) โดยอาลีมาส่งตรงท่ารถ ช่วยจัดการซื้อตั๋วรถ ราคา 110 บาท ใช้เวลา 5 ชั่วโมง เสร็จเรียบร้อยผมจ่ายค่าทัวร์ให้กับอาลี 1,200 บาท ผมนึกว่าอาลีจะกลับเลย เขารู้ว่าผมหิวจึงพาไปร้านแฮมเบอร์เกอร์ใกล้กัน พอผมเตรียมจะจ่ายเงินอาลีกลับควักเงินจ่ายให้ผม หืม ?? "อาลีเอาเงินไปเถอะ" เขากลับปฏิเสธเพราะอยากเลี้ยงกลางวันผม อาลีทำเอาผมงงและซึ้งแทบจะกินน้ำตาแทนแฮมเบอร์เกอร์ ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลยให้ตายเถอะ

          พอกินเสร็จอาลียังไม่ไปครับ เดินมาหาผมพร้อมกับแครกเกอร์และน้ำส้ม 1 กล่อง อาลีบอกว่าไว้กินบนรถ อาลีไปเมืองไทยกับผมเถอะ...ผมแซวเล่น ขอบคุณในน้ำใจที่มีให้ผมอย่างล้นเหลือ เท่านั้นยังไม่พอนะครับ อาลียังพาผมไปขึ้นรถ ไล่บอกคนทั้งคันรถตั้งแต่คนขับยันเด็กท้ายรถ เขาฝากฝังให้ช่วยดูแลผมและช่วยหารถที่จะไปหมู่บ้านกาห์เม่ต่อให้ด้วย สรุปคนทั้งคันรู้จักผมหมดเลยครับ -__- ผมเองไม่รู้จะเอ่ยคำขอบคุณอาลีกี่ครั้งถึงจะเพียงพอต่อน้ำใจที่มีให้นักเดินทางคนนี้ เขายืนส่งผมจนกระทั่งรถออก และแล้วผมก็มีญาติชื่ออาลีครับ 555

อิหร่าน

          5 ชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงเมืองคูร์ คนขับรถบัสก็หารถตู้ที่จะไปส่งผมยัง Ateshooni เกสต์เฮาส์ของหมู่บ้าน Garmeh ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีก 20 กิโลเมตร เย็นวันนั้นพระอาทิตย์ตกสวยมาก ส่งท้ายวันอันสุดแสนประทับใจในยาซด์

อิหร่าน

          ค่าใช้จ่ายตลอดวัน 1,440 บาท

Day 9 : Garmeh

          Highlight : Salt lake, sand dune

อิหร่าน

          ตื่นสายหน่อย เมื่อคืนกะจะนอนไวหน่อยแต่ได้ยินเสียงกลองคลอคู่กับเสียงเครื่องสายจึงออกมาฟังเจ้าของเกสต์เฮาส์และเพื่อนนักดนตรีที่แวะผ่านมาค้างด้วย จึงได้ฟังทั้งคู่เล่นดนตรีสด ๆ ให้ฟัง สักพักคู่รักชาวเยอรมันออกจากห้องมาร่วมฟังด้วย เล่นจบไปสองเพลงหญิงชาวเดนมาร์กลุกไปเอาเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่งหน้าตาแปลก ๆ คล้ายโล่ของกัปตันอเมริกา เธอแนะนำว่าเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองของออสเตรีย ซื้อจากฮังการีแล้วหิ้วมาด้วยตลอดทาง เสียงไพเราะกังวาน ฟังจนจบทำให้หลับสบายเลยทีเดียว

อิหร่าน

          จวนแปดโมงอาบน้ำ ชิลมาก รอมื้อเช้าที่จะเสิร์ฟตอน 09.30 น. ครึ่งเช้าจะไปทัวร์ Salt Lake หรือทะเลเกลือแห่งอิหร่าน ผมไม่ได้ไปคนเดียวมีเพื่อนใหม่ "อังเดร” กับ “หลุยส์เซียน่า" คู่รักสองหมอชาวบราซิล และ "โทมัส" หนุ่มปารีสผู้มั่นใจ (เกินไป) คำแรกที่พอรู้ว่าผมมาจากไทย เขาพูดทำนองว่า "โอ๊ะ คนจากประเทศยากจนเริ่มท่องโลกเป็นแล้วเหรอเนี่ย" อืม...มุกตลกที่ไม่ขำเอาเสียเลย (เลว)

          ออกเดินทางตอน 10 โมง ราว 1 ชั่วโมง ถึงบ่อเกลือ ตาน้ำที่ไหลจากใต้ดินเป็นน้ำเกลือไหลนองเต็มลานกว้าง ตามที่ผมอ่านมาอิหร่านมีทะเลเกลืออยู่หลายแห่ง จากนั้นไปจุดที่ 2 ลานทะเลเกลือกว้างกว่าที่แรก กินพื้นที่หลายตารางกิโลเมตร นึกถึง Uyuni ที่โบลิเวีย (เป้าหมายใหญ่ของผมปีหน้า) ถ้าไม่ได้ไปโบลิเวียมาอิหร่านได้เห็นเหมือนกันครับ ^^

อิหร่าน

          **ขออวดรูปเด็ด ๆ สักรูปครับ อิอิ

อิหร่าน

          เรากลับถึงโรงแรมบ่ายโมงตรง ค่ารถ 800 บาท แชร์กัน 4 คน ก็เลยเหลือคนละ 200 บาท ทัวร์นี้ทำให้ผมสนิทกับ 2 หมอชาวบราซิลมากขึ้น กลับมาพักได้ช่วงหนึ่ง 4 โมงเย็นต้องออกไปทัวร์ทะเลทรายอีก นั่งดูวิวจากหน้าต่างของเกสต์เฮาส์ Garmeh เป็นโอเอซิสกลางทะเลทราย มีตาน้ำไหลจากภูเขา ทำให้พื้นที่บริเวณนี้เขียวชอุ่มอุดมไปด้วยต้นไม้โดยต้นเฉพาะอินทผาลัม

อิหร่าน

          4 โมงเย็น ผมไปทัวร์ทะเลทรายคนเดียวครับ คนขับรถคนเดิมแต่ครั้งนี้เขาพาหลานสาววัย 4 ขวบ มาด้วย เขาพาผมไปคนละเส้นทางกับเมื่อเช้า ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง (ไกลเนอะ) ผมถึงหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง น่าจะมีคนอาศัยไม่กี่ร้อยคน ผมเห็นเด็กหนุ่มกำลังง่วนกับการให้อาหารอูฐ จากนั้นเขาก็เตรียมอานใส่หลังอูฐและเตรียมม้าไว้สำหรับจูงอูฐต่อหนึ่ง อืม...ตกลงมีแค่ผมคนเดียวสินะ ทัวร์วีไอพีชัด ๆ

อิหร่าน

อิหร่าน

          1 ชั่วโมง ผ่านไปอย่างรวดเร็ว 350 บาท ผมได้โยกเยกบนหลังอูฐสมใจ ทะเลทรายช่วงที่อูฐเดินถือว่าไม่สวยเท่าที่นึกภาพเอาไว้ เดินถ่ายรูปรอบเมืองคิดว่าทัวร์จบแค่นี้ แต่ที่ไหนได้คนขับพาไปทะเลทรายอีกจุดหนึ่งซึ่งห่างไปอีกราว 10 กิโลเมตร

อิหร่าน

          มันต้องอย่างนี้ !!! เนินทรายสูงสันคมกริบจากแรงลม กินเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาลเหมือนที่จิตนาการเป๊ะ ! คนขับรถให้เวลาผมชั่วโมงครึ่ง ผมย่ำไปตามเนินทรายกองมหึมา มันสูงและชันไม่ใช่เล่น จังหวะที่ก้าวย่างก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน พระอาทิตย์จวนจะตกแล้วด้วยผมเร่งฝีเท้าจนปีนถึงยอด จึงได้พบกับหนุ่มลิทัวเนียและเยอรมนีที่เจอกับที่เกสต์เฮาส์เมื่อเช้านี้ ทีแรกพวกเขาเดาว่าผมต้องเป็นนักท่องเที่ยวจีนแน่ ๆ ใช่ที่ไหนล่ะ...ชายไทยรูปงามนามเพราะต่างหาก !

อิหร่าน

อิหร่าน

          ผมหย่อนตัวลงนั่งข้าง ๆ พวกเขา สักพัก 2 คู่รักเดนมาร์กที่เล่นดนตรีเมื่อคืนก็ขึ้นมาสมทบ ตลกดีพวกเรา 5 คนมาเจอกันอีกครั้งที่ทะเลทราย -_- ทุ่มครึ่งแล้วดวงอาทิตย์กลมโตสีเหลืองอร่ามดูคล้ายเมื่อวาน ต่างกันตรงที่ไร้เงาของภูเขาบดบัง ผืนทรายแบนเรียบกว้างไกลสุดสายตา ท้องฟ้าก็ไร้เมฆ มีลมเย็น ๆ พัดสบาย ช่างเป็นเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุด ใกล้ตะวันลับฟ้าทุกคนนั่งมองมันอย่างเงียบ ๆ คอยมองวินาทีที่ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ แตะปลายขอบฟ้าแล้วจมหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงท้องฟ้าสีส้มอ่อน สวยจริง ๆ นับเป็นภาพความทรงจำพิเศษแห่งปี

          ได้เวลากลับที่พัก ทั้ง 4 คน ยังนั่งกันต่อ ผมบอกลาเดินออกมาได้สัก 2-3 ก้าว ตัดสินใจหันมาบอกพวกเขาว่า "You know tomorrow is my birthday !" ทั้งสี่คนทำหน้าแปลกใจแล้วตะโกน Happy Birthday ให้กับผม ผมพยักหน้าและยิ้มขอบคุณ ^__^

อิหร่าน

          กลับถึงเกสต์เฮาส์ 3 ทุ่มเศษ ถึงเวลามื้อค่ำพอดี ผมนั่งร่วมวงกับเพื่อนบราซิล คืนนี้มีสมาชิกใหม่หลายคน ห้องพักเต็ม ผมไดรู้จักกับโรแบร์โต้ ตากล้องจากอิตาลี ครอบครัวชาวอิรัก-อิหร่าน เราคุยกันครู่หนึ่ง จากนั้นผมก็มาสนทนากับเพื่อนบราซิลมากกว่า หลังจากอิ่มผมชวนทั้งหมดขึ้นไปดูดาวบนหลังคาของเกสต์เฮาส์ คืนนี้ฟ้าเปิดเห็นดาวจำนวนมาก พวกเราพูดคุยทำความรู้จักกันมากขึ้น แต่อยู่ได้ไม่นานเจ้าของเกสต์เฮาส์เชิญแขกทุกคนไปฟังดนตรี คืนนี้เขาจะเล่นดนตรีอีกครั้ง

          เขาเตรียมเครื่องดนตรี ปิดไฟ สร้างบรรยากาศสลัว ๆ เข้ากับเสียงดนตรี พอเริ่มบรรเลงทุกคนก็อยู่ห้วงภวังค์ของเสียงกลอง กระพรวน และเครื่องสาย คืนนี้เขาเล่นเพียง 3 เพลง จวนเที่ยงคืนแล้วเขาคงอยากให้แขกพักผ่อน ผมดูนาฬิกาแล้วหันไปสารภาพว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็เป็นวันเกิดผม หลุยส์เซียน่าทำหน้าประหลาดใจ "จริงเหรอ ? งั้นไอจะไม่ไปนอนจนกว่าจะพ้นเที่ยงคืน รอแฮปปี้เบิร์ธเดย์ยูก่อน"

          00.00 น. เสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์ภาษาบราซิลดังขึ้น ทุกคนที่ยังนั่งอยู่หันมามอง พอรู้ว่าเป็นวันเกิดผม ต่างพากันอวยพรผมกันใหญ่ ทั้งเขินทั้งมีความสุข ผมกล่าวขอบคุณทุกคนโดยเฉพาะเพื่อนบราซิลของผม จากนั้นก็ขอตัวไปพักผ่อน ถึงห้องได้แป๊บเดียวเสียงเคาะประตูดังขึ้น อังเดรกับหลุยส์เซียน่ายื่นกล่องขนมจากอิสฟาฮาน "Your Birthday Gift !" ผมโผเข้ากอดทั้งคู่ แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าทั้งคู่จะน่ารักขนาดนี้ ผมพูดขอบคุณ ผมมีความสุขมากเสียจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

อิหร่าน

          ค่าใช้จ่ายตลอดวัน 1,400 บาท

Day 10 : Garmeh-Esfahan

          Highlight : Germeh

อิหร่าน

          วันนี้ตั้งใจเดินสำรวจหมู่บ้าน ปีนภูเขาด้านหลังโอเอซิส และทำสปาเท้าฟรีครับ ผมเดินตามเส้นร่องน้ำที่ชาวบ้านทำไว้แค่ 10 นาที ก็เจอกับตาน้ำของโอเอซิส "Just follow the fish" เสียงหลุยส์เซียน่าดังก้องในหู เธอแนะนำผมถ้าหาตาของน้ำไม่เจอ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ในร่องน้ำมีปลาตัวเล็ก ๆ ว่ายทวนกระแสน้ำ ในซอกของภูเขามีน้ำแร่ผุดขึ้นมา เป็นบ่อเล็ก ๆ น้ำใสมากมาย ปลาตัวเล็ก ๆ ว่ายเต็มไปหมด แล้วผมหาที่เหมาะ ๆ นั่งแช่เท้าริมบ่อ ให้ปลาคอยเล็มผิวหนังที่ตายแล้ว Fish Spa แบบธรรมชาติสุด ๆ ผมนั่งสปาเท้าอยู่คนเดียวตลอด 1 ชั่วโมง ไม่มีใครมารบกวน มันเงียบเสียจนเกือบหลับคาบ่อเลยครับ

อิหร่าน

          เสร็จจากสปาเท้า ลองปีนเขา กว่าผมจะหามุมได้มันไม่ง่ายเลย กลัวตกลงแล้วบาดเจ็บ...ไม่คุ้มเอา จึงปีนขึ้นไปพอเก็บรูปมุมสูงของโอเอซิสได้ก็พอใจละครับ

อิหร่าน

          ผมเดินกลับเกสต์เฮาส์นอนเล่นตรงห้องรับแขก เจอลมพัดเย็น ๆ เผลอหลับไปเกือบชั่วโมง พอบ่ายโมงรถแท็กซี่มารับไปยังท่ารถเมืองคูร์ แต่ก่อนเดินทางจ่ายค่าที่พัก 2 คืน รวมอาหาร 6 มื้อ 1,800 บาท ก็ถือว่าไม่แพงเลย แอบสงสัยด้วยซ้ำว่าทำไมถูก เพราะทีแรกเขาบอกราคา 35 ดอลลาร์ต่อคืน พอเช็กเอาท์แล้วเหลือแค่คืนละ 30 ดอลลาร์เอง แถมยังแพ็กอาหารเที่ยงให้ไปกินบนรถอีกด้วย

          รถแท็กซี่ไปจอดตรงท่ารถ มีโรแบร์โต้ร่วมแชร์ค่ารถด้วย เลยจ่ายไปแค่ 60 บาท ค่ารถบัสไปอิสฟาฮาน 90 บาท (รถหวานเย็น) ไม่มีรถ VIP ใช้เวลาเดินทาง 6 ชั่วโมง ตรงสถานีเจอกับ Mantas อีกรอบ เราไปอิสฟาฮานเหมือนกัน เลยมีเพื่อนเที่ยวต่อจากสองคู่รักบราซิล

อิหร่าน

          รถบัสจอดพักหนึ่ง 6 ชั่วโมง หลับได้แป๊บหนึ่ง นอกนั้นไม่ไหว...ร้อน นั่งฟังเพลงจนถึงสถานีรถบัสที่อิสฟาฮานตอน 2 ทุ่มครึ่ง จากนั้นก็นั่งแท็กซี่ไปหาโรงแรมกับมันตัสด้วยกัน เราได้โรงแรมไม่ไกลกับอิหม่ามสแควร์ ราคาคืนละ 16 ดอลลาร์ หลังตรวจเช็ก Wi-Fi แรงได้ดั่งใจ จึงออกไปหาข้าวเย็นกิน จากนั้นเดินไปไม่ไกลก็ถึงอิหม่ามสแควร์ เราอยู่แค่ได้ครู่เดียวเพราะลมเย็นมาก อุณหภูมิเหลือ 19 องศา

อิหร่าน

          ค่าใช้จ่ายตลอดวัน 2,240 บาท

Day 11 : Esfahan

          Highlight : Hakim mosque, Jameh mosque, Imam mosque, Si-o-seh & Khaju bridge

อิหร่าน

          9 โมง เริ่มต้นเที่ยวในอิสฟาฮาน ข้ามถนนจากหน้าโรงแรมซอกแซกไปตามตรอกผ่านตลาด ร้านค้า ร้านขายของชำ บ้านเรือนคล้ายห้องแถว จนไปถึง Hakim Mosque เข้าฟรีเพราะตอนนี้กำลังซ่อมแซมอยู่ ผมแวะดูนิดเดียว เพราะนั่งร้านรกรุงรัง

อิหร่าน

          จากนั้นเดินอีกไกลพอสมควรกว่าจะถึง Jameh Mosque มัสยิดที่เก่าที่สุดของอิสฟาฮาน (น่าจะเดินเกือบ 2 กิโลเมตร) ค่าเข้า 150 บาท Jameh Mosque มีอายุ 800 ปี เป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอิหร่าน ลวดลายกระเบื้องของที่นี่มีความสวยงามมาก ๆ เรียกว่าอลังการจริง ๆ ที่นี่ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 2012 อีกด้วย

อิหร่าน

          จากนั้นเดินเลาะตามตลาดมาจนถึงจัตุรัสอิหม่าม เป็นตลาดที่ยาวมาก ๆ เดินไปเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด น่าจะ 2 กิโลเมตรหรือยาวกว่านั้น ปกติชอบเดินตลาดนะ แต่มาเจอที่นี่ยอมแพ้เลย เดินไม่ไหวจริง ๆ ระหว่างเส้นทางเจอโต๊ะอิหม่ามของโรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่ง เชื้อเชิญเข้าไปดูด้านใน แนะนำเกร็ดต่าง ๆ ของศาสนาอิสลาม อธิบายความหมายลวดลายบนกระเบื้อง คนปกติอย่างเรา ๆ คงเข้าใจว่าเป็นเส้นกราฟิกธรรมดา ๆ แต่ทว่ามันคือตัวหนังสือเป็นชื่อของพระอัลเลาะห์เลยทีเดียว

อิหร่าน

          ผมชอบวิถีชีวิตคนในตลาดมากครับ เก็บรูปกันเพลินเลย คนที่นั่นใจดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมจึงถ่ายรูปได้สะดวกยิ่งขึ้น

อิหร่าน

          เราแวะหาอะไรกินกันก่อน โดยมันตัสหาข้อมูลว่ามีร้าน Teahouse ชื่อดัง ตกแต่งร้านด้วยของเก่าอย่างมีสไตล์ ที่ตั้งหายากมาก หลบอยู่ในหลืบ คนเยอะ แต่พอหาที่นั่งได้สั่งชาเสิร์ฟกับขนมหวานคล้ายครองแครงทอดและผลึกน้ำตาล แล้วลองสั่ง "โดห์ล" เครื่องดื่มสีขาวทำจากโยเกิร์ตผสมใบสะระแหน่ มีส่วนผสมอย่างอื่นด้วย ดูดลงคอเฮือกแรกอธิบายไม่ถูก รู้แค่ว่าหน้าตัวเองเหยเกมาก รสชาติเหมือนแป้งข้าวเม่า หมักอีกหน่อยคงเป็นเหล้าละ พอกินได้นะแต่ไม่ชอบ ดูด 2-3 ทีแล้วก็วาง ไม่ไหวอย่างแรง จากนั้นผมลองสั่งของคาวมากินเล่นด้วย เนื้อบดผสมเครื่องเทศ กินกับน้ำแกง แป้งนาน มีน้ำจิ้มรสเปรี้ยวคล้ายเต้าเจี้ยว เมนูนี้พอกินได้หน่อย ทั้งสามรายการคิดเป็นเงิน 300 บาท

อิหร่าน

อิหร่าน

          พอเริ่มมีแรงเลยเดินต่อเข้าไปยัง Imam Mosque มรดกโลกที่ขึ้นทะเบียนพร้อมกับจัตุรัส มีมัสยิดที่เด่นของเมืองอิสฟาฮานก็ว่าได้ ค่าเข้า 150 บาท ด้านในไม่ต้องบรรยายมาก ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกถือได้ว่าต้องไม่ธรรมดาแน่นอน เข้ามาที่นี่ผิดหวังพอสมควร เพราะกลางจัตุรัสเต็มไปด้วยนั่งร้านและผ้าใบ มีสองวัตถุประสงค์ บำรุงซ่อมแซมพื้นที่โล่งกลางมัสยิด ขึงผ้าใบเพื่อกันแดดให้คนที่เข้ามาสวดใหญ่กันในวันศุกร์

อิหร่าน

          ครึ่งวันเก็บเพียงเท่านี้ก่อน แดดเริ่มร้อน คนเริ่มเยอะ บางบริษัทหยุดวันพฤหัสบดี ทำให้คนในจัตุรัสดูหนาแน่นกว่าเมื่อคืนวาน ก่อนกลับสามสาวชาวอิสฟาฮานเข้ามาทักทาย เธอแนะนำแม่และพี่สาว ตัวเธอเองเคยมาเรียนที่มาเลเซียสองปี จึงคุ้นเคยกันประเทศไทย ทั้งสามคนแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่เรายังไม่ได้ไป บอกว่าควรไปที่ไหน ไม่ต้องไปที่ไหน เป็นคำแนะนำที่มีประโยชน์มาก ๆ

อิหร่าน

          จัตุรัสกับโรงแรมอยู่ไม่ไกลกัน เราเลือกกลับเข้าที่พักก่อนออกเดินต่อช่วงเย็น ก่อนกลับเดินหาร้านไอศกรีมฮาเฟส อยู่บนถนนฮาเฟสใกล้จัตุรัส เราสั่งขนมหวานหน้าตาและรสชาติคล้ายเต้าหูสดราดน้ำเชื่อมสีเข้ม เมนูนี้เด็ดจริง อร่อยมาก นุ่มลิ้นกินง่าย ส่วนไอศกรีมดังของร้าน คือ ไอศกรีมซัฟฟรอน สีเหลืองนวลเหมือนไอศกรีมมะม่วง แต่มีรสเปรี้ยวแหลมของมะนาว พอกินได้นะ เพราะผมไม่ชอบกินไอศกรีมเปรี้ยว ๆ ครับ

อิหร่าน

          พอ 1 ทุ่ม ก็เดินต่อ บนถนนเวลานี้คนเยอะมาก ๆ แทบจะเดินเบียดกัน บรรยากาศคึกคัก คนออกมาใช้จ่าย พบปะตามร้านอาหารกับบาร์น้ำผลไม้ เข้าใจหัวอกคนที่นี่นะ หาที่สังสรรค์ได้แค่นี้ สวนสาธารณะ บ้าน บาร์น้ำผลไม้ ถึงว่าเคยเจอคำถามว่าเบียร์รสชาติเป็นยังไง อร่อยไหม ดื่มทุกวันไหม พวกเขาอยากลอง อยากรู้ คงอยากสังสรรค์เหมือนพวกเราที่มีอิสระ มีทางเลือกได้เยอะกว่า ดังนั้นเราต้องภูมิใจไว้นะ

          มันตัสพาเดินไปหาร้าน Shahrzad ร้านอาหารชื่อดังของอิสฟาฮาน เป็นร้านใหญ่ หรู ลูกค้าแน่น พนักงานเสิร์ฟเยอะ (มาก) เดินขวักไขว่ ชวนตาลาย ระบบการจัดการแปลก ๆ รับออร์เดอร์แล้วยังมีคนมาวนถามซ้ำ 2-3 คน (เพลีย) เมนูที่สั่งเป็น Mix Kabab เนื้อไก่พันด้วยเนื้อวัวย่างบนเตา สีสันน่ากิน แต่ติดเค็มไปหน่อย กินเสร็จต้องซดน้ำเปล่าตามอีกครึ่งขวดใหญ่ มื้อนี้กินดีจ่ายหนักหน่อย 370 บาทต่อคน จัดว่าแพงที่สุดตั้งแต่เดินทางมา

อิหร่าน

          ออกจากร้านเดินไปที่สะพานเก่าแก่ของอิสฟาฮาน เสน่ห์ของที่นี่อยู่ที่สะพานโบราณนี้เลย สวยไม่แพ้สะพานดัง ๆ ของยุโรป แต่ตอนนี้ไม่มีน้ำมาเกือบ 2 ปี ทางการผันเส้นทางของแม่น้ำไปเลี้ยงเมืองยาซด์และเมืองอื่น ๆ จนหมด ไม่ปล่อยให้ไหลมาบ้างแม้แต่น้อย ผมถามคนท้องถิ่นว่าแม่น้ำจะไหลมาอีกไหม พวกเขาตอบไม่ได้ พูดแค่ว่า "Only God Knows" เสียดายจริง ๆ

อิหร่าน

          Si-o-seh และ Khaju Bridge สองสะพานที่เคยมีชื่อเสียงและสวยงาม ตอนนี้หมดสิ้นแล้วซึ่งเสน่ห์ แต่ก็ยังเป็นสถานที่ที่ควรแวะมาชม สถานที่รวมตัวของวัยรุ่นในเมือง ใต้สะพาน Khaju จะมีกลุ่มคนรวมตัวร้องเพลง หลายคนเสียงดี ฟังเพลินมาก ๆ และที่สะพานคาจูยังมีสิ่งน่าสนใจ เช่น เสียงสะท้อนจากมุมโค้งของสะพาน แค่หันหน้าไปพูดกับแนวโค้งใต้สะพาน แล้วให้อีกคนไปฝั่งตรงข้ามจะสามารถได้ยินคำพูดทุกคำอย่างชัดเจน อีกเรื่องคือรูปสลักหินรูปเสือ มีด้านละ 2 ตัว ถ้ายืนมองเสืออีกฝั่งตรงข้ามฝั่งของแม่น้ำ (มีน้ำซะที่ไหน) จะเห็นว่าตาของเสือเรืองแสงได้เองอย่างน่าอัศจรรย์ เข้าใจว่าตาเสือทำมุมได้พอดีแสงไฟของสะพาน ทำให้ตาเสือเรืองแสงได้

อิหร่าน

          เคล็ดลับเหล่านี้ได้มาจาก 2 นักศึกษามหาวิทยาลัยในอิสฟาฮาน ทั้งคู่เข้ามาคุยด้วย พาเดินจากสะพานไซโอเซจนถึงสะพานคาจู เล่าหลาย ๆ เรื่องที่น่าสนใจของอิสฟาฮาน พาเที่ยวเกือบ 2 ชั่วโมง เลยทีเดียว นี่เป็นอีกข้อพิสูจน์ความเป็นมิตรและความน่ารักของคนอิหร่าน สร้างความประทับใจอีกแล้ว ^_^

อิหร่าน

          วันนี้เดินเยอะมาก จบทริปที่สะพานแล้วเรานั่งรถแท็กซี่กลับโรงแรม เดินต่อไม่ไหวละ ค่าแท็กซี่ 80 บาท กลับถึงห้องหลับเป็นตายด้วยความอ่อนเพลีย

          ค่าใช้จ่ายตลอดวัน 730 บาท

Day 12 : Esfahan

          Highlight : Chehel sotun palace, Ali Qapu Palace, Sheikh Lotfollah Mosque

อิหร่าน

          ครึ่งเช้านี้แล้วฉายเดี่ยว จากนั้นมันตัสจะไปเจอที่อิหม่ามสแควร์ตอนบ่ายโมงครับ เป้าหมายแรก Chehel Sotun Palace พระราชวังฤดูร้อนที่เหลือรอดจากการทำลายช่วงปฏิวัติอิสลาม ค่าเข้า 150 บาท ที่นี่มี Audio Guide ให้เช่าด้วย 100 บาท เดินเข้าไปคาดหวังแค่สวนสวย ๆ กับสถาปัตยกรรมของพระราชวังไม้แห่งนี้ ฟังคำอธิบายจาก Audio Guide ยี่ห้อ Nokia (สูญพันธุ์ไปแล้ว) อันที่จริงเขาเอามือถือตกรุ่นมาดัดแปลงนี่เอง เข้าท่าอยู่นะ !

          สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทึ่งมาก คือ จิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามมาก ๆ แต่ละภาพมีเรื่องราวที่น่าสนใจทั้งสิ้น เช่น ภาพการทำสงครามกับสุลต่านอินเดีย ภาพการต้อนรับเจ้าเมืองเติร์กเมนิสถาน แนะนำมาตั้งแต่ 09.00 น. เลยครับ คนจะได้ไม่เยอะ

อิหร่าน

          ต่อจากนั้นผมก็เดินไปอิหม่ามสแควร์อีกครั้ง ยืนลังเลอยู่ว่าจะเข้าไปดู Ali Qapu Palace พระราชวังที่อยู่เขตของจัตุรัส ช่วงนี้กำลังซ่อมแซม ระเบียงที่สวยงามเป็นไฮไลท์ของพระราชวังกลับเต็มไปด้วยนั่งร้าน และ 3 สาวที่พบเมื่อวานก็บอกว่าไม่ต้องเข้าไปหรอก พวกภาพเขียนโดนทำลายหมดแล้ว เฮ้อ...มาแล้วผิดจังหวะจริง ๆ สถานที่หลายแห่งกำลังซ่อมแซม คงใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ แม้แต่ในเมืองเองถนนก็อยู่ในช่วงการก่อสร้างรถไฟใต้ดิน เขาว่าอีก 6 เดือนจะเปิดใช้ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าไปดูเพราะอยากเห็นวิวจากมุมสูงของจัตุรัส

          จ่ายไป 150 บาท ตั้งแต่ทางเข้าจนถึงระเบียบแทบหาความสวยงามไม่เจอ อาจจะมีงานจิตรกรรมลวดลายดอกไม้ตรงเพดานเหลืออยู่บ้าง ตัวระเบียงก็ดูแย่กว่าที่คิด นั่งร้านกั้นคนให้เข้าไปดูและถ่ายรูปแค่เสี้ยวเดียว เริ่มรู้สึกเสียดายตังค์ พระราชวังก่อนคุ้มว่ามาก จุดสุดท้ายห้องด้านบนสุดของพระราชวัง เดินผ่านบันไดวนสู่ Music Room ส่วนตัวถือว่าห้องนี้เป็นไฮไลท์ของพระราชวัง (ช่วงซ่อมแซม) การประดับตกแต่งผนังและเพดานที่แปลกที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ดูคล้ายรังผึ้งแต่จะเป็นรูปแจกันทรงต่าง ๆ สวยดี แต่ก็ยังคิดว่าไม่ค่อยคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป

อิหร่าน

          เดินข้ามไปฝั่งตรงข้ามพระราชวัง Sheikh Lotfollah Mosque ค่าเข้าถูกกว่าแค่ 100 บาท ลวดลายของโดมด้านนอกที่มองว่าสวยแล้ว ด้านในชนะเลิศกว่า กระเบื้องตกแต่งละเอียดตระการตาเป็นอย่างมาก คุ้มค่าเงินจริง ๆ

อิหร่าน

          ยังพอมีเวลาเหลือราว 1 ชั่วโมง ก่อนเวลานัดหมาย ออกจากมัสยิดเลี้ยวขวาเดินไปเรื่อย ๆ จะเจอกับตรอก ด้านในเป็นร้านค้า ร้านอาหาร สิ่งที่ตามหาคือร้านกาแฟ ซึ่งได้เจอจริง ๆ ร้านแรกเลยก็ว่าได้ Roozegar Cafe ลาเต้แก้วละ 70 บาท และมี Wi-Fi ด้วย...แจ่มมาก ก็เลยได้สำราญกับกาแฟจนเวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

อิหร่าน

          13.00 น. ออกมาจากร้านตรงไปหามันตัสที่ป้อมตำรวจท่องเที่ยว เขาต้องการหาซื้อเครื่องเทศก่อนจะไปสนามบินคืนนี้ แต่ร้านค้า 90% ปิด จึงต้องเดินหาอยู่พักหนึ่ง พอเจอเขาซื้อเสร็จเราก็ไปหาร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยง

อิหร่าน

          ผมพามันตัสย้อนมาที่ร้านกาแฟ ช่วงที่เดินออกมาจากร้านมองเห็นร้านอาหารชั้น 2 ดูน่าสนใจทีเดียว "Traditional Banquet Hall" เป็นชื่อของร้าน มีแท่นสำหรับนั่งวางต่อเป็นแนว ถอดรองเท้าขึ้นแท่นนั่งกินแบบนี้แปลกดีแฮะ ผมลองสั่งเมนูชื่อ Dizi ดูคล้ายซุป พนักงานถามว่า "จะบดไหม ?" ผมพยักหน้า เขาก็เอาแท่งสเตนเลสคล้ายสากออกมา ซึ่งหลังจากแยกน้ำออกเขาก็เอาแท่งตำส่วนที่เป็นเนื้อสัตว์ บดขยี้ด้วยลีลาอันน่าสนใจ จากนั้นเขาก็เทเอาเนื้อบดลงในจานเป็นอันเสร็จสิ้น กินคู่แป้งนาน ขอบอกว่าเมนูนี้อร่อยจริง ๆ น้ำซุปล้ำมาก ๆ ขนาดก็กำลังพออิ่มเลยล่ะ

          ตบท้ายด้วยของหวานสักหน่อย Khoreshst a mast คล้ายคัสตาร์ด เนื้อสีเหลืองนวลน่ากิน ทำจากโยเกิร์ต น้ำผึ้ง มะนาว ซัฟฟรอน และเนื้ออะไรบางอย่าง รสชาติเปรี้ยว ๆ มัน ๆ แต่ออกไปทางเปรี้ยวซะเยอะ พอกินได้นะ แต่ก็ไม่ชอบเท่าไร หรือคงเพราะอิ่มด้วยมั้ง ? มื้อนี้จ่ายไป 480 บาท (2 คน)

อิหร่าน

อิหร่าน

          อิ่มแล้วกลับห้องไปพักผ่อนสักหน่อย พอถึงโรงแรมก็ร่ำลากะมันตัส นาน ๆ จะได้เพื่อนเป็นคนลิทัวเนีย หวังว่าคงได้เจอกันอีกในไทย ผมหลับไปพักหนึ่งก็ออกไปถ่ายรูปที่อิหม่ามสแควร์แก้เบื่อ ถ่ายรูปจนพอใจอยู่แค่ 3 ทุ่มก็กลับ แวะซื้อแซนด์วิชกินหน่อยหนึ่ง จากนั้นก็เข้าโรงแรมเตรียมแพ็กกระเป๋า พรุ่งนี้ไปเมือง Kashan เมืองสุดท้ายแล้วก็ปิดทริปอิหร่านอย่างสมบูรณ์

อิหร่าน

          ค่าใช้จ่ายตลอดวัน 820 บาท

Day 13 : Esfahan-Kashan

          highlight : Soltaniyeh Mosque, Kashan historical houses, Kashan Bazaar

อิหร่าน

          แพ็กกระเป๋าเรียบร้อยเดินทางต่อไปยังเมืองสุดท้าย Kashan หลังจากเช็กเอาท์ผมจ่ายค่าห้องไป 1,520 บาท จากนั้นก็นั่งแท็กซี่ไปท่ารถบัส แต่แท็กซี่หวังดีพาไปส่งที่ท่ารถแท็กซี่เหมาจ่าย 750 บาท ถ้ามาหลายคนก็คุ้มดีไม่ต้องเสียเวลารอครับ แต่ผมขอเลือกรถบัสดีกว่า ค่ารถจากโรงแรม 80 บาท รถบัสไปคาซานออกทุก ๆ 30 นาที-1 ชั่วโมง ค่ารถแค่ 70 บาท โชคไม่ดีตอนไปถึงตั๋วเต็ม มีอีกทีรอบ 12.00 น. เลย ต้องนั่งรอเกือบสองชั่วโมง แต่ก็ไม่เป็นไรครับเวลาผมมีเหลือเฝือ ใช้เวลาแค่ 02.30 น. ผมก็ถึงเมืองคาซาน รถทำเวลาได้ดีทีเดียว

          ท่ารถคาซานเล็กมาครับ ผมรีบลงจากรถ ไม่ได้ถ่ายรูปเลยจนถึงโรงแรม ตรงท่ารถมีแท็กซี่จอดเต็มไปหมด โดนแท็กซี่ถามเป็นภาษาฟาร์ซี แปลกดีแฮะ หรือว่ายิ่งอยู่นานยิ่งหน้าเหมือนคนอิหร่านก็ไม่รู้ แต่พอเขารู้ว่าผมเป็นต่างชาติก็มีคนอาสามาช่วยสื่อสาร ผมบอกไปว่าจะไปพักที่ Ehsan Historic Guest House แต่ผมยังไม่ได้โทรจอง เขาจึงช่วยโทรไปถามให้ (ใจดีจริง ๆ) พอรู้ว่าห้องว่างเขาก็ช่วยเรียกแท็กซี่ไปส่งยังที่พัก (ค่ารถ 50 บาท)

อิหร่าน

          Ehsan Historic Guest House บ้านเก่าที่ดัดแปลงให้เป็นที่พัก มีห้องให้เลือกหลายแบบครับ มีตั้งแต่ 40 ดอลลาร์เป็นต้นไป ห้องรวม 4 เตียงแค่ 400 บาท ผมพักแค่คืนเดียวจึงเลือกนอนห้องรวมครับ

อิหร่าน

          พักครู่เดียวผมก็ออกเดินสำรวจเมืองคาซานเลยครับ เริ่มจากข้ามถนนหน้าเกสต์เฮาส์ไปยัง Agha Bozorg Mosque & Madraseh มัสยิดเก่าแก่สร้างเมื่อปี 1880 ในช่วงราชวงศ์เซลจุก (Seljuk) ปัจจุบันเป็นโรงเรียนชายล้วน ระหว่างผมเดินถ่ายรูปอยู่มีเด็กนักเรียนตัวสูงสัก 185 เซนติเมตร เข้ามาทักทายเป็นภาษาอังกฤษ เขาชวนผมคุยและซักไซ้ "คุณมาจากไหน มาอิหร่านทำไม มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมมาคนเดียว ชอบอิหร่านตรงไหน อยากเห็นอะไรในคาซาน ?" ... น้องครับ คือว่าพี่กำลังจะส่งพี่ประกวด Mr. Kashan หรือยังไง น้องซักถามซะละเอียดมาก ๆ แต่ผมก็ทยอยตอบคำถามไปเรื่อย ๆๆๆ จากนั้นเขาแนะนำตัวว่าชื่อ Reza และเรียกให้เพื่อนสนิทอีก 2 คน เข้ามาคุยเป็นเพื่อนผม มัสยิดกลายได้เป็นจุดเริ่มต้นมิตรภาพในอิหร่านขึ้นอีกครั้ง

อิหร่าน

          Reza, Abbas และ Moshen สามหนุ่มวัย 17-18 ปี เริ่มคุยกับผมมากขึ้น พวกเขาอาสาพาทัวร์ทั่วเมืองคาซานตั้งแต่ 4 โมงเย็นถึง 3 ทุ่ม เขาพาเข้าไปชม Traditional Tea House บ้านสมัยโบราณอายุเกือบ 200 ปี เพราะคาซานเคยเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าในราชวงศ์แซนด์ บ้านพ่อค้าที่มีฐานะดีมักสร้างบ้านในลักษณะตรงกลางบ้านเป็นลานเปิดโล่ง มีสระน้ำอยู่ตรงกลาง และมักมีชั้นใต้ถุนสำหรับควบคุมอุณหภูมิให้เย็นในหน้าร้อนและอุ่นในหน้าหนาว โดยบ้านเด่น ๆ ที่ควรเข้าไปชม ได้แก่ Ameriha House, Tabatabei House, Borujeridi House และ Abbasian House โดยทั้งหมดผมชอบ Borujeridi และ Abbasian รายละเอียดของภาพวาด งานแกะสลัก และกระจกสี อลังการงานสร้างมากครับ ส่วนค่าเข้าชมราคาเท่ากัน บ้านละ 100 บาท

อิหร่าน

อิหร่าน

          Reza พาผมเข้าออกจนครบ 4 แห่ง ออกมายืนสับสนจำความต่างของแต่ละบ้านแทบไม่ได้ มันคล้ายกันหมด จะว่าไปเลือกสัก 2-3 หลัง ก็พอละครับ จากนั้นเด็ก ๆ ก็พาผมเดินเลาะไปตามตรอก ผ่าน Imamzadeh-ye Sultan Mir Ahmad shrine มัสยิดโดมทรงกรวย แปลกไม่เคยเห็นมาก่อน

อิหร่าน

          จากนั้น Reza พูดว่าจะพาผมไปรู้จักกับเพื่อน ๆ ในตลาด ก่อนไปเจอเพื่อนพวกเขาพาผมไปนั่งร้านชาเก๋ ๆ กลางโดมของ Bazaar โดยผมอาสาเลี้ยงตอบแทนที่พวกเขาพาผมเดินเที่ยวจนทั่ว ผมจ่ายค่าชาแค่ 30 บาท (3 แก้ว...ถูกจัง)

อิหร่าน

          จิบชาเสร็จแล้วเขาก็พาผมไปเจอเพื่อนกลุ่มใหญ่ที่ร้าน Bazaar Cafe ร้านอาหารเล็ก ๆ แต่แนวมาก บรรยากาศดีสุด ๆ พรุ่งนี้เด็ก ๆ ยังอาสาจะพาไปเที่ยวต่ออีก โดยให้ผมไปหาที่มัสยิดตอนบ่าย คงไม่มีสักวันที่ไม่ประทับใจคนอิหร่านเลย ซึ้งใจจริง ๆ ครับ

อิหร่าน

อิหร่าน

          ผมกินแค่น้ำมะนาวเดี๋ยวจะกลับไปกินข้าวที่เกสต์เฮาส์ เพราะต้องรีบกลับไปคุยเรื่องทัวร์ Abeyaneh วันรุ่งขึ้น แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะนัดเด็ก ๆ อีกครั้งช่วงบ่าย พวกเขายังเดินมาส่งผมถึงหน้าเกสต์เฮาส์ นี่ถ้าอุ้มเข้าขึ้นเตียงนอนได้พวกเขาอาจจะทำก็ได้นะครับ (ล้อเล่น) ก่อนร่ำลากันเขาบอกว่าดีใจที่ได้ผมเป็นเพื่อนใหม่ "You are my FRIEND now" ผมฟังแล้วจักจี้หูนิด ๆ เด็กมัธยมวัยว้าวุ่น เรียกผมว่าเพื่อน ! อืม F-Father อาจจะดูรื่นหูและเหมาะสมมากกว่าหรือเปล่านะ (อิอิ)

อิหร่าน

          ค่าใช้จ่ายตลอดวัน 2,100 บาท

Day 14 : Kashan-Tehran-Bangkok

          Highlight : Abeyaneh

อิหร่าน

          เช้าวันสุดท้ายงัวเงียสุด ๆ เมื่อคืนโดนยุงเล่นงานตลอดคืน แถมรุมกัดเฉพาะแถวใบหน้า แย่จริง ๆ แต่คิดซะว่าคืนนี้ขึ้นเครื่องปุ๊บจะได้หลับเลย จัดแจงแพ็กกระเป๋าแล้วฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ รอจน 9 โมงเช้าซื้อทัวร์ครึ่งวันไป Abyaneh ผมได้รูมเมทสาวฮ่องกง เธอชื่อ ซู เดินทางมาอิหร่านคนเดียว 15 วัน คล้ายผม เราแชร์ค่าแท็กซี่คนละ 400 บาท เรานั่งไปไกลพอสมควร คนขับซิ่งน่าดู ระหว่างทางเราผ่านสนามซ้อมรบของทหารอิหร่าน ในเขตนี้ห้ามมีการถ่ายรูปเด็ดขาด มีเจ้าหน้าที่คอยจับตามองตลอดเวลา

          เมื่อถึง Abyaneh เราจ่ายค่าเข้าชม 50 บาท คนขับให้เวลาเรา 2 ชั่วโมง Abyaneh อยู่ตีนเขาคาคาสครับ มีความสูงเกือบ 4,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล อะบียาเน่ห์เป็นหมู่บ้านเก่าแก่อายุ 1500 ปี เอกลักษณ์อยู่ตรงบ้านทุกหลังใช้อิฐสีแดง เดินสำรวจในหมู่บ้านเพลินดีนะครับ แต่ระวังอย่าเผลอไปถ่ายรูปผู้หญิงโดยไม่ได้รับอนุญาต ควรลองขอก่อน ถ้าเขาไม่เต็มใจก็อย่าไปฝืนใจนะครับ

อิหร่าน

          ผมเจอคนงานกำลังขนหินซ่อมถนน รูปนี้ผมเอาไปอวดสาว ๆ ได้เสียงกรี๊ดกันสนั่น พ่อเทพบุตรแรงงาน

อิหร่าน

อิหร่าน

          ครบ 2 ชั่วโมง เราก็เดินทางกลับครับ แต่ก่อนกลับตามโปรแกรมทัวร์ครึ่งวัน เราจะได้แวะไปที่ Fin Garden หนึ่งในสวนสวยที่สุดแห่งของอิหร่าน สร้างอยู่บนบ่อน้ำแร่ จึงมีน้ำแร่สะอาดไหลตลอดเวลา ค่าเข้าชม 150 บาทครับ ผมกับซูใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเราก็เดินทางกลับ ผมเองก็เริ่มออกอาการอ่อนเพลีย หาวนอนตลอดเวลา

อิหร่าน

          เมื่อถึงเกสต์เฮาส์เดิมตั้งใจจะไปพบสามหนุ่ม...แต่ไม่ไหว ผมออกอาการง่วงกะจะงีบสักพัก ที่ไหนได้ผมหลับยาวจากบ่าย 2 ถึง 6 โมงเย็น แย่แล้วนัดพวกเด็ก ๆ ไว้ ผมจึงรีบเดินไปที่มัสยิดเพื่อจะบอกลา ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เหลืออยู่แล้ว ผมรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก T__T แท็กซี่มารับตรงเวลาครับ ผมเลือกที่จะเหมารถตรงเข้าสนามบิน KIA ถึงแม้ผมจะต้องจ่ายค่ารถแท็กซี่ 1,200 บาท แต่ผมไม่ต้องเสียเวลาแวะเข้าเตหะรานก่อน เพราะจากเตหะรานมาสนามบิน ค่าแท็กซี่ก็อยู่ราว 825 บาท (25 ดอลลาร์) ผมจึงเลือกตรงดิ่งจากคาซานไปสนามบินเลยครับ

          บทสรุปสุดท้ายของการเดินทางอันแสนยาวนาน แต่ผมไม่เคยรู้สึกเบื่อเลยแม้แต่วันเดียว ทั้งหมดนี้ผมขอยกความดีให้กับความเป็นมิตรที่ผมไม่เคยเจอมาก่อน น้ำใจของคนอิหร่านยิ่งใหญ่และมีเหลือเฟือกว่าที่ผมคาดคิด ลบภาพด้านลบที่ผมเคยรับรู้จนหมดสิ้น ผมหวังไว้ว่าเรื่องเล่าของผมจะช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ ต่อประเทศอิหร่าน ทั้งหมดคือความตั้งใจของผมเองครับ

          ผมขอขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะครับ หากอยากชมรูปอิหร่านเพิ่มเติมลองดูได้ที่ IG : Kittinew หรือ FB : Kittinew เช่นเดียวกัน หรือจะเข้าไปพูดคุยเรื่องเที่ยวกับผมได้ที่ FB page : travellerinsider.com

อิหร่าน

          ค่าใช้จ่ายตลอดวัน 2,300 บาท

          กลางเดือนนี้ผมจะเดินทางอีกครั้งครับ ทริปครั้งนี้ คือ "กรีนแลนด์-ไอซ์แลนด์-สแกนดิเนเวีย 33 วัน" ติดตามการเดินทางได้ทาง IG หรือ FB นะครับ ขอบคุณครับ ^^




เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เที่ยวอิหร่านคนเดียว กับมิตรภาพสุดประทับใจระหว่างทาง อัปเดตล่าสุด 18 มีนาคม 2567 เวลา 18:20:01 9,131 อ่าน
TOP