เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอบคุณภาพประกอบจาก pwc.com
เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม เว็บไซต์ pwc.com ได้เปิดเผย อันดับเมืองน่าลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ในเอเซียแปซิฟิก 2013 โดยพบว่า กรุงเทพฯ เขยิบจากอันดับ 14 ในปี 2012 แซงหน้าปักกิ่งและไทเป ขึ้นไปติดอันดับ 6 ขณะที่ จาการ์ตา เป็นเมืองน่าลงทุนที่สุด
โดยผลสำรวจ Emerging Trends in Real Estate® Asia Pacific 2013 ถูกจัดทำขึ้นเป็นครั้งที่ 7 ภายใต้ความร่วมมือกันระหว่างไพรซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PwC)หนึ่งในเครือข่ายของบริษัท ที่ให้บริการด้านการตรวจสอบบัญชี ให้คำปรึกษาด้านภาษี และที่ปรึกษาทางธุรกิจรายใหญ่ของโลก และ The Urban Land Institute (www.uli.org) ผ่านการเก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุน ผู้จัดการกองทุน บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ผู้ให้เช่า ตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์ ผู้ให้คำแนะนำ และผู้ให้คำปรึกษาชั้นนำกว่า 400 ราย ถึงแนวโน้มและการคาดการณ์ในการลงทุนด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนทิศทางในการพัฒนาตลาดอุตสาหกรรมดังกล่าวในกลุ่มประเทศเอเชียแปซิฟิก
จากผลการสำรวจพบว่า กรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย คว้าแชมป์เมืองน่าลงทุนมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิกประจำปีหน้า โดยขยับขึ้นจากอันดับที่ 11 ในปี 2012 แซงหน้านครเซี่ยงไฮ้ของจีนและสิงคโปร์ เนื่องจาก จาการ์ต้า มีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ GDP ที่เติบโตแข็งแกร่ง อัตราดอกเบี้ย และเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ควบคุมได้
ในขณะที่กรุงเทพมหานคร ติดโผอันดับที่ 6 เมืองหลวงน่าลงทุนที่สุดในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ขึ้นจากอันดับที่ 14 ในปี 2012 โดยนายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร ไพรซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส ประเทศไทย ระบุว่า แนวโน้มของไทยที่ดีขึ้นเป็นอิทธิพลมาจากความน่าลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากตลาดกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่กลับมาคึกคักอีกครั้งและอิทธิพลจากการเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรม รวมไปถึงธุรกิจด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เพราะไทยมีมาตรฐานการให้บริการที่ดี แต่มีค่าใช้จ่ายต่ำ
นอกจาก จาการ์ตา และกรุงเทพฯ จะติดอันดับท็อปเท็นเมืองน่าลงทุนในปี 2013 แล้ว จะเห็นได้ว่ายังมีประเทศสมาชิกในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) อีก 2 แห่ง ได้แก่ สิงคโปร์ และกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย ที่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับต้น ๆ ด้วยเช่นกัน และมีอันดับที่สูงขึ้นเปรียบเทียบกับปี 2012 ทั้งนี้ มีเพียงสิงคโปร์เท่านั้น ที่หล่นจากอันดับ 1 ตกมาอันดับ 3
อย่างไรก็ตาม อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความต้องการเช่าหรือซื้อสำนักงานระดับเกรดเอของบริษัทต่างชาติที่ยังมีจำนวนมาก จะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้สิงคโปร์ยังคงเป็นศูนย์กลางด้านธุรกิจอสังหาฯ ของภูมิภาคต่อไป
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก