x close

เที่ยวเขาใหญ่ในวันหยุด แบบฉบับกะทัดรัด

เขาใหญ่

เขาใหญ่

เขาใหญ่

เขาใหญ่

เขาใหญ่

เขาใหญ่

เขาใหญ่

เขาใหญ่

เขาใหญ่

เขาใหญ่

เรียบเรียงข้อมูลและภาพประกอบโดยกระปุกดอทคอม

          อาจเพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เท่าไหร่นัก ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ก็สามารถสูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอด จึงไม่แปลกที่ช่วงวันหยุดยาว ใคร ๆ ต่างก็พากันมุ่งหน้าไปสัมผัสกับธรรมชาติและความเขียวขจีของขุนเขา ณ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หรือที่ใคร ๆ เรียกสั้น ๆ ว่า "เขาใหญ่" 

          อะ ๆ แต่ถ้าเพื่อน ๆ มีเวลาแค่วันหยุดสุดสัปดาห์เสาร์-อาทิตย์ ก็สามารถพาร่างกายไปโลดแล่นลั้นลา เที่ยวเขาใหญ่ได้เหมือนกันนะ วันนี้กระปุกดอทคอมเลยจะขออาสาเป็นไกด์ พาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวเขาใหญ่ ในแบบฉบับกะทัดรัด 2 วัน 1 คืน กันดูบ้าง เอ้า! ถ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว ก็พาใจไปเที่ยวเขาใหญ่กับเราเลยดีกว่า...

เขาใหญ่

          เช้าตรู่วันเสาร์ได้เวลาล้อหมุน มุ่งหน้าไปเที่ยวเขาใหญ่กันเลย โดยเราใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง หลังจากติดต่อเจ้าหน้าที่ และจ่ายค่าบริการผ่านเข้าอุทยานฯ ในอัตราคนละ 40 บาท บวกกับรถยนต์ 50 บาท ก็ผ่านไปเข้าไปเที่ยวเขาใหญ่ได้แบบสบาย ๆ แต่ก่อนอื่นอันดับแรกเมื่อเดินทางไปเยือนเขาใหญ่ นักท่องเที่ยวควรแวะไหว้ "ศาลเจ้าเขาใหญ่" ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนทั่วไปและประชาชนในจังหวัดใกล้เคียง

          เจ้าพ่อเขาใหญ่ เดิมชื่อ นายจ่าง นิสัยสัตย์ บ้านเกิดอยู่ จ.นครนายก ท่านรับราชการเป็นปลัดกองทัพไทยและได้ผ่านศึกสงครามกับประเทศเพื่อนบ้านข้างเคียงมาอย่างโชกโชน ท่านมีบุคลิกสง่างามสมชายชาตินักรบไทย เมื่อหลังว่างจากศึกสงครามท่านมักจะขี่ม้าออกเยี่ยมเยียนนักรบไทยที่เป็นลูกน้องเก่าของท่าน ครั้งหนึ่งท่านทราบว่าลูกน้องเก่าของท่านไปตั้งตัวเป็นโจรบนเขาใหญ่ และเห็นลูกน้องถางป่าบนเขาใหญ่จนเตียนโล่งก็เสียใจมาก ท่านจึงขอให้ลูกน้องเลิกและรีบอพยพกันลงไปอยู่ข้างล่างแต่มีโจรกลุ่มหนึ่งไม่ยอมเชื่อ เมื่อท่านไปขอร้องทำให้ท่านและหัวหน้าโจรทั้ง 5 กลุ่มไม่สบายใจ จึงนัดพบกัน ณ ป่าหญ้าคาใกล้หนองขิง แต่ตกลงกันไม่ได้จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น ปรากฏว่าหัวหน้าโจรกลุ่มนั้นถูกยิงเสียชีวิตในยุคนั้นท่านเป็นบุคคลที่ชาวบ้านให้ความเคารพยำเกรงเป็นอย่างมาก

เขาใหญ่

          นอกจากนั้นท่านยังมีน้ำใจโอบอ้อมอารี รักญาติพี่น้อง ให้ความช่วยเหลือต่อชาวบ้านในทุก ๆ ด้าน ท่านได้จบชีวิตลงด้วยไข้ป่า เมื่อวัย 75 ปี ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันตั้งศาลเพียงตาไว้ที่ต้นกระบกใหญ่ บริเวณวัดหนองเคี่ยม จ.นครนายก เรียกศาลนั้นว่า "ศาลเจ้าพ่อปลัดจ่าง" หลังจากที่รัฐบาลโดย ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ขึ้นไปยังอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ได้เกิดนิมิตฝันถึงเจ้าผู้คุ้มครองเหล่าสรรพสัตว์และป่าเขาใหญ่ จึงได้สั่งการให้มีการจัดสร้างศาลเจ้าพ่อขึ้นที่บริเวณ ก.ม. 23 ถ.ธนะรัชต์ และได้อัญเชิญดวงวิญญานของท่านมาสถิตย์ไว้ ณ ศาลเจ้าพ่อและขนานนามว่า "ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่" ในวันที่ 26 มกราคม ของทุกปี จะมีการบวงสรวงระลึกถึงพระคุณท่าน เพราะวันดังกล่าวเป็นวันที่อัญเชิญท่านมาสถิตย์อยู่ที่ศาลใหม่นั่นเอง

เขาใหญ่

          จากนั้นก็ขับรถชมวิว กินลมเย็น ๆ ไปเรื่อย ๆ ก่อนจะแวะชมวิวของทิวเขาสลับซับซ้อน ด้านทิศเหนือของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในมุมสูง ได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ที่ "จุดชมทิวทัศน์ กม.30" หลังเสพอาหารตาและสูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอดกันแล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ ซึ่งตลอดเส้นทางจะพบกับต้นไม้ใหญ่แน่นขนัดเต็มพื้นที่ หยัดยืนอยู่เคียงคู่ขุนเขามาเป็นเวลาช้านาน รวมถึงพบกับ "ด่านช้าง" ... "ดงกระทิง" ... "วังจำปี" ... "อ่างเก็บน้ำสายศร"

เขาใหญ่

          โดยอ่างเก็บน้ำสายศรสร้างขึ้นในปี 2524 โดยนายบุญเรือง สายศร ซึ่งเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ท่านแรก และในขณะสร้างได้กลับมาเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่รอบสอง โดยสร้างขึ้นเพื่อใช้ในกิจการของอุทยานฯ และเป็นแหล่งน้ำสำหรับสัตว์ป่า ซึ่งใช้งบประมาณส่วนตัวในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ แต่เดิม อ่างเก็บน้ำสายศร มีชื่อว่า อ่างเก็บน้ำมอสิงโต ซึ่งตั้งชื่อตามลักษณะของภูเขาด้านหน้าอ่าง ที่มีลักษณะคล้ายสิงโตนอนหมอบอยู่ ต่อมาในปี 2550 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น อ่างเก็บน้ำสายศร เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้บุกเบิกการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และให้ผู้มาพบเห็นไม่เข้าใจผิดคิดว่าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีสิงโต

เขาใหญ่

เขาใหญ่

          จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปที่ "ลานกางเต็นท์ผากล้วยไม้" เพราะทริปนี้เราตั้งใจจะพักค้างคืนด้วยการนอนเต็นท์ ^^ ซึ่งเขาใหญ่มีสถานที่ให้กางเต็นท์ 2 จุดคือ "ลานกางเต็นท์ผากล้วยไม้" และ "ลานกางเต็นท์ลำตะคอง" โดยมีเครื่องนอนและอุปกรณ์พักแรมให้เช่าด้วย เรียกได้ว่าสะดวกสบายไม่ใช่น้อย แถมใกล้่ ๆ ยังมีร้านค้าสวัสดิการของอุทยานฯ ให้บริการอีกต่างหาก

เขาใหญ่

เขาใหญ่

          เอาล่ะ...เมื่อได้ที่พักเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาออกเที่ยวพอดิบพอดี เราเลือกจะเดินศึกษาธรรมชาติโดยเริ่มจากลานกางเต็นท์ผากล้วยไม้ เดินเลาะเลียบลำธารไปยัง "น้ำตกผากล้วยไม้" เป็นระยะทาง 1 กิโลเมตร จากนั้นก็เดินต่อจนไปสุดเส้นทางที่ "น้ำตกเหวสุวัต" เป็นระยะทางอีก 2 กิโลเมตร ซึ่งรวมระยะทางทั้งหมด 3 กิโลเมตร เหมาะกับผู้ที่ต้องการเดินในระยะสั้น เพราะเดินง่ายและทางเดินจะลดหลั่นเลาะเลียบไปตามริมธาร ซึ่งตลอดสองข้างทางเราจะพบกับพันธุ์พืชแปลกตา และมีร่มเงาไม้ให้ความร่มรื่นตลอดทาง อีกทั้งไม่ต้องกลัวหลง เพราะเส้นทางจะมีสัญลักษณ์สีแดงตามต้นไม้ เป็นป้ายบอกทางเดิน

เขาใหญ่

เขาใหญ่

          แต่สิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวควรระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งก็คือ "จระเข้" ที่อาศัยอยู่บริเวณเส้นทางนี้ ซึ่งก่อนที่จะถึงบริเวณที่มีจระเข้ ทางอุทยานจะติดป้ายเตือนเอาไว้ รวมถึงติดป้ายห้ามลงเล่นน้ำกำกับไว้ เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวด้วย

เขาใหญ่

          สำหรับ "น้ำตกผากล้วยไม้" เป็นน้ำตกที่เกิดจากลำห้วยลำตะคอง ไหลผ่านหน้าผาสูงลงมามีความสวยงามมาก ชื่อของน้ำตกตั้งตามหน้าผาที่มีกล้วยไม้ป่าชื่อ "หวายแดง" ในช่วงฤดูฝนกล้วยไม้นี้จะบานสะพรั่งสีแดงเต็มหน้าผา ตัวน้ำตกมีสองแห่งคือน้ำตกด้านนอกและด้านใน ซึ่งต้องจะต้องเดินอ้อมไปอีกประมาณ 100 เมตร

เขาใหญ่

          ส่วน "น้ำตกเหวสุวัต" เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมากของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ความสวยงามของน้ำตกอยู่ที่สายน้ำของลำห้วยลำตะคองที่โจนผ่านหน้าผาสูง 25 เมตร สู่แอ่งน้ำเบื้องล่างทำให้เกิดละอองน้ำฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ยิ่งช่วงฤดูฝนละอองน้ำจะพัดปลิวขึ้นมาถึงทางเดินลงน้ำตก บางครั้งเมื่อละอองน้ำกระทบแดดที่ส่องลงมาทำให้เกิดสายรุ้งสวยงามเป็นอย่างยิ่ง

          เฮ้อ! เหน็ดเหนื่อยกับการเดินศึกษาธรรมชาติกันพอสมควร ก็ถึงเวลากลับมาพักผ่อน อาบน้ำอาบท่าเรียบร้อย ก็ได้เวลาลงมือทำอาหารอร่อย ๆ กินเคล้าบรรยากาศสบาย ๆ พูดคุยกันพอสนุกสนาน ก็เตรียมตัวเข้านอน เพราะโปรแกรมพรุ่งนี้ต้องไปชมทัศนียภาพของเขาใหญ่กันที่ "จุดชมทิวทัศน์ผาเดียวดาย" เพื่อชมความงามของพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า เพราะจุดชมทิวทัศน์ผาเดียวดาย นับเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามน่าชม โดยจะมองเห็นภูเขาร่มขวางอยู่เป็นแนวยาวและทิวทัศน์ที่สวยงามด้านจังหวัดปราจีนบุรี อีกทั้งเส้นทางลงสู่จุดชมทิวทัศน์ผาเดียวดาย ต้องผ่านป่าดิบเขาที่ชุ่มชื้นและอากาศเย็นตลอดปี ตามต้นไม้และโขดหินมีมอสและตะไคร่ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไป

          อะ ๆ แต่ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนอยากลองไปส่องสัตว์ในยามค่ำคืน ก็สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดต่าง ๆ ที่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ได้เลย

เขาใหญ่

เขาใหญ่

          และหลังจากที่ชมวิวทิวทัศน์จนอิ่มตาอิ่มใจแล้ว หากใครยังมีเวลาก็ลองไปศึกษาชีวิตสัตว์ ที่จะลงมากินดินโป่งได้บริเวณ หอดูสัตว์หนองผักชี, หอดูสัตว์มอสิงโต และหอดูสัตว์คลองปลากั้ง เพราะโชคดีอาจมีโอกาสได้เห็นกระทิงลงมากินดินโป่ง ซึ่งหาชมได้ยากมาก อย่างไรก็ตาม บางทีขณะกำลังขับรถไปตามถนน เพื่อน ๆ อาจจะเห็นสัตว์ป่าเดินผ่านหรือออกหากินตามทุ่งหญ้า ให้ดูเพลินตาเพลินใจก็ได้

          และนี่คือการเที่ยวเขาใหญ่ในแบบฉบับกระเป๋า คือ 2 วัน 1 คืน สำหรับคนที่มีเวลาน้อย แต่อยากสูดธรรมชาติให้เต็มปอด เพื่อชาร์ตแบตเต็มพลังใจให้ตัวเอง ^^ แต่จริง ๆ แล้ว เขาใหญ่ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำตกเหวนรก, น้ำตกกองแก้ว, น้ำตกเหวประทุน, น้ำตกธารรัตนา, น้ำตกส้มป่อย, น้ำตกผามะนาวยักษ์ และเส้นทางเดินป่าประเภทท่องไพร ฯลฯ เอาเป็นว่าหากมีโอกาส ก็อย่าลืมลองแวะมาเที่ยวเขาใหญ่กันดูนะจ๊ะ

เขาใหญ่

ที่พักอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

          ทั้งนี้ สอบถามรายละเอียดและจองบ้านพักได้ที่ งานบ้านพักอุทยานแห่งชาติ โทรศัพท์ 02-562-0760-2, ด่านตรวจศาลเจ้าพ่อ (จองบ้านพัก) โทรศัพท์ 0-4429-7406, 0-4429-7426 ติดต่อที่พักกางเต็นท์บริเวณผากล้วยไม้ โทรศัพท์ 0-1282-8594 และจุดกางเต็นท์ลำตะคอง โทรศัพท์ 0-9285-9470

          ในส่วนค่ายพักแรมมี 3 จุด คือ ค่ายกองแก้ว ค่ายเยาวชน และค่ายสุรัสวดี เหมาะสำหรับกลุ่มใหญ่ที่เข้ามาทำกิจกรรมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ ขณะที่บ้านพักมี 2 จุดคือ บริเวณที่ทำการอุทยานฯและบริเวณบ้านธนะรัชต์ ซึ่งต้องจองล่วงหน้า (ดูรายละเอียดคลิกที่นี่


เขาใหญ่


การเดินทาง

          สำหรับการเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่นั้น สามารถเดินทางได้ 2 เส้นทาง คือ

          เส้นทางที่ 1 จากกรุงเทพฯ ถนนพหลโยธิน ผ่านรังสิต ประตูน้ำพระอินทร์ สระบุรี เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2 หรือถนนมิตรภาพ ก่อนถึงอำเภอปากช่อง บริเวณ กม. 56 ชิดซ้ายขึ้นสะพานลอยไปตามถนนธนะรัชต์ทางหลวงหมายเลข 2090 ถึง กม. 23 จะพบด่านศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ เดินทางต่อไปอีก 15 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานฯ รวมระยะทางประมาณ 205 กิโลเมตร

          เส้นทางที่ 2 จากกรุงเทพฯ ถนนพหลโยธิน เลี้ยวขวาบริเวณรังสิต เข้าทางหลวงหมายเลข 305 สู่ตัวเมืองนครนายก แล้วเข้าทางหลวงหมายเลข 33 (ถนนสุวรรณศร) ถึงสี่แยกศาลนเรศวรเลี้ยวซ้ายตามเส้นทางปราจีนบุรี - เขาใหญ่ ผ่านด่านตรวจค่าธรรมเนียมบริเวณเชิงเขาแล้วเดินทางต่อ จนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติ รวมระยะทางประมาณ 190 กิโลเมตร




 
 
ขอขอบคุณข้อมูลจาก



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เที่ยวเขาใหญ่ในวันหยุด แบบฉบับกะทัดรัด อัปเดตล่าสุด 19 กรกฎาคม 2565 เวลา 10:51:49 32,538 อ่าน
TOP