x close

เข้าวัดที่อุทัยฯ เย็นใจสบายกาย

 

 

เข้าวัดที่อุทัยฯ เย็นใจสบายกาย (สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์)

 

          ตอนนี้ท่านทั้งหลายคงรู้สึกถึงอากาศร้อนที่กำลังมาถึง ไหนจะปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา วันนี้เรามาพักหนีร้อน หันหน้าเข้าวัดกันดีกว่าครับ วันนี้ผมจะพาไปจังหวัดอุทัยธานี  ที่นี่มีวัดสำคัญ อันมีประวัติยาวนานอยู่หลายแห่ง

 

 

 

          เริ่มกันที่วัดสำคัญของชาวอุทัยธานี นั่นคือ วัดสังกัสรัตนคีรี  ตั้งอยู่เชิงเขาสะแกกรัง สุดถนนท่าช้าง ในเขตเทศบาลเมือง ภายในวิหาร ประดิษฐานพระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง ชาวจังหวัดอุทัยธานีจะนำไข่ไก่มากราบไหว้บูชากัน ที่นี่ในวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ของทุกปี จะมีพิธีตักบาตรเทโว โดยพระสงฆ์ประมาณ 500 รูป จะเดินลงบันไดจากยอดเขาสะแกกรังมารับบิณฑบาตที่ลานวัดเป็นประเพณีที่สำคัญของจังหวัดอุทัยธานี ที่นี่มีรถสามล้อพาเที่ยวในเมืองอีกด้วย ผมขอไปใช้บริการรถสามล้อหน่อยละกันนะครับ ช่วยกันประหยัดพลังงาน
  


          จากนั้นไปต่อที่ วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม หรือ วัดทุ่งแก้ว (พระอารามหลวง) เดิมชื่อวัดมณีธุดงค์สงฆ์มูลิกาวาส สร้างโดย พระอาจารย์แย้ม จากวัดโสภณโมลี ธุดงค์มาพบสถานที่นี้ราว พ.ศ. 2434 สมัยรัตนโกสินทร์ ต่อมา ในปี พ.ศ. 2457 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดทุ่งแก้ว” ตามที่ชาวบ้านนิยมเรียกกัน เนื่องจากที่ตั้งวัดเป็นป่าไผ่ใหญ่ใกล้เขาแก้ว ในปี พ.ศ. 2480 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดมณีสถิตกปิฏฐาราม” เนื่องจากได้มีการยุบวัดขวิดมารวมเข้ากับวัดทุ่งแก้ว หลังจากเกิดไฟไหม้วัดขวิด ในปี พ.ศ. 2536 พราะบาทสมเด็กพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่9 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกวัดมณีสถิตกปิฏฐาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี


 

 

 


          มาถึงวัดที่ 3 วัดอุโปสถาราม หรือชื่อเดิม “วัดโบสถ์มโนรมย์” สร้างสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง ณ จุดนี้สามารถเห็นวิถีชีวิตของชาวลำน้ำสะแกกรัง ที่อาศัยอยู่บนบ้านที่เป็นแพ จำนวนกว่าร้อยหลังคาเรือนเลยทีเดียว ที่นี่เป็นสำนักเรียนประจำเมืองอุทัยธานี ในสมัยก่อนมี พระครูสุนทรมุนี(จัน) เป็นเจ้าอาวาส ในปี พ.ศ. 2441 ได้บำรุงวัด และอุปถัมภ์โรงเรียน พระครูสุนทรมุนี(จัน) เป็นพระเถระที่รัชกาลที่ 5 นับถือมาก 

 

 

 

 

          ปัจจุบันบริเวณดังกล่าว ยังมีโป๊ะแพที่สำหรับรับเสด็จรัชกาลที่ 5 อยู่ด้วย ที่นี่ยังมีภาพเขียนฝาผนังสมัยตอนต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้กล่าวว่าเป็นภาพเขียนสมัย รัชกาลที่ 3 ซึ่งยังคงความสวยงามอยู่ถึงแม้จะเลือนหายไปตามกาลเวลา แต่อยากให้นักท่องเที่ยวที่ได้ชมร่วมมือกัน “ดูแต่ตา มืออย่าต้อง” เพื่อจะได้รักษาให้คนรุ่นหลังได้รับชมกันต่อไปครับ
 

  

 


          มาถึงวัดที่ 4  วัดใหม่จันทาราม แต่เดิมเป็นวัดร้างมีนามว่า “วัดพะเนียด” ซึ่งแต่ก่อนนั้นเป็นที่รวมรวบช้างศึก ส่งต่อไปยังท่าช้าง จ.อยุธยาเพื่อใช้ในสงคราม เดิมมีเสาตลุงเพนียดช้างอยู่ ต่อมาสร้างวัดขึ้นมา และปล่อยทิ้งร้างไป พระอาจารย์เอี่ยม และชาวบ้านท่าซุง จึงบูรณะก่อสร้างใหม่ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2446 ได้มีนามวัดใหม่ว่า “วัดใหม่จันทาราม” หรือที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกสั้นๆว่า “วัดใหม่”

 


 

 

 


          วัดสุดท้ายที่ผมจะพาไปคือ วัดธรรมโฆษก หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “วัดโรงโค” เพราะสมัยก่อนนั้นเป็นบริเวณที่ใช้เลี้ยงวัว ในสมัยอยุธยา ต้นรัตนโกสินทร์ ต่อมาพระยาประธานคโรทัย (รอด รัตนวราหะ) เจ้าเมืองและราชการกำกับเมืองอุทัยธานี ได้บูรณะใหม่ และใช้เป็นที่ประกอบพธีถือน้ำพิพัฒสัตยาของข้าราชการเมืองอุทัยธานี และยังเป็นสถานที่ประหารนักโทษด้วย

 


  
   
          นอกจากประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจแล้ว ที่นี่ยังมีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังของช่างสมัยอยุธยาตอนปลาย และมีวิหารหมู่พระพุทธรูปศิลปะอยุธยา ซุ้มหน้าต่างตกแต่งปูนปั้นรามเกียรติอีกด้วย

 

 

          เป็นอย่างไรบ้างครับ สำหรับวัดที่ผมพาไปเที่ยว อาจจะทำให้ท่านเย็นใจ ผ่อนคลายจากอากาศร้อนๆบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่ถึงยังไงแล้ว ผมก็อยากให้ทุกท่านไปสัมผัสด้วยตัวเองนะครับ อย่าลืมนะครับ เที่ยวเมืองไทย เพื่อช่วยเศรฐกิจไทย ตามแคมเปญที่ว่า “เที่ยวไทยครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก” ตอนต่อไปผมจะพาไปเที่ยวไหน อย่าลืมติดตามนะครับ....!!


แนะนำการท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร พร้อมคูปองส่วนลดโรงแรมเพียบ

 


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เข้าวัดที่อุทัยฯ เย็นใจสบายกาย อัปเดตล่าสุด 15 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 14:16:30 1,465 อ่าน
TOP