x close

5 เส้นทาง พาแม่เที่ยวใกล้กรุง

เตรียมหาของขวัญไว้เซอร์ไพร้สคุณแม่แล้วหรือยัง


5 เส้นทาง บอกรัก แม่ (กรุงเทพธุรกิจ)


          วันแม่ปีนี้ตรงกับวันพุธกลางสัปดาห์ ถ้ามีเวลาไม่มากนัก ชวนคุณแม่ใส่กระโปรงยาว เหมือนเมื่อครั้งยังสาว หยิบหมวกปีกกว้าง หรือร่มสีหวานติดมือไปด้วย เกริ่นนำเป็นนัยๆ ว่าจะพาไปสัมผัสกลิ่นอายศิลปะสไตล์ยุโรป จากนั้นมุ่งหน้าสู่ใจกลางพระนคร หมุดหมายคือ พระที่นั่งอนันตสมาคม อาคารหินอ่อนที่ตั้งโดดเด่นสง่างามอยู่ด้านหลังพระบรมรูปทรงม้า



พระที่นั่งอนันตสมาคม


1. เสน่ห์วังเก่าในเมืองกรุง

          พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอเรอเนสซองส์ (Neo Renaissance) และนีโอคลาสสิก (Neo classic) เริ่มก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ. 2450 แล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อปี พ.ศ. 2458 องค์พระที่นั่งตกแต่งด้วยหินอ่อนซึ่งสั่งมาจากเมืองคารารา ประเทศอิตาลี มีจุดเด่นคือหลังคาโดมคลาสสิกตรงกลางและมีโดมเล็กๆโดยรอบอีก 6 โดม

          ความวิจิตรงดงามนอกจากจะปรากฏอยู่ในทุกรายละเอียดของตัวอาคารแล้ว ยังอวดโฉมอยู่บนเพดานโดมของพระที่นั่งซึ่งมีภาพเขียนสีปูนเปียกขนาดใหญ่ (หรือเฟรสโก) จำนวน 6 ภาพ แสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของพระบรมราชจักรีวงศ์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 6 ภาพเหล่านี้เป็นฝีมือการเขียนภาพของ ศาสตราจารย์แกลิเลโอ คินี และนาย ซี.ริกุลี จิตรกรเอกที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากอิตาลีเลยทีเดียว



พระที่นั่งอนันตสมาคม


          ปัจจุบันภายในพระที่นั่งฯ มีการจัดนิทรรศการถาวร "ศิลป์แผ่นดิน" หัตถกรรมฝีมือประณีตของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เปิดให้เข้าชมทุกวันเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. อัตราค่าเข้าชม 150 บาท นักเรียนนักศึกษาในเครื่องแบบ 75 บาท วันแม่เข้าชมฟรี มีกติกามารยาทคือ กรุณาแต่งกายสุภาพ (ผู้ชายห้ามกางเกงขาสั้น เสื้อไม่มีแขน, ผู้หญิง มีผ้าถุงให้ กรณีที่ไม่ได้ใส่กระโปรงมา) ห้ามถ่ายภาพด้านในองค์พระที่นั่ง แต่สามารถเก็บภาพด้านนอกไว้เป็นที่ระลึกได้ สอบถามรายละเอียดที่ โทร.0-2283-9411

          สำหรับคนที่ขับรถไปเอง ทางเข้าจะอยู่ด้านถนนอู่ทองใน ตรงข้ามเขาดิน แต่หากมีเวลามากหน่อยแนะนำให้ไปทางถนนราชวิถี เยี่ยมชมพระที่นั่งวิมานเมฆก่อน แล้วค่อยเดินต่อมายังพระที่นั่งอนันตสมาคม ก็จะได้บรรยากาศการชมวังฉบับสมบูรณ์

          พระที่นั่งวิมานเมฆ เป็นอาคารไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2443 เป็นพระที่นั่งถาวรองค์แรกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นภายในสวนดุสิต หลังจากพระองค์เสด็จพระราชดำเนินกลับจากประพาสทวีปยุโรปในปี พ.ศ. 2440

          สถาปัตยกรรมได้รับอิทธิพลการก่อสร้างแบบตะวันตก องค์พระที่นั่งเป็นรูปอักษรตัวแอลในภาษาอังกฤษ แต่ละด้านยาว 60 เมตร สูง 20 เมตร เป็นอาคาร 3 ชั้นเฉพาะที่ประทับซึ่งเรียกว่า "แปดเหลี่ยม" มี 4 ชั้น ชั้นล่างสุดก่ออิฐถือปูน ชั้นถัดขึ้นไปสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหมด มีห้องจัดแสดงรวมทั้งสิ้น 31 ห้อง การจัดแสดงบางห้องยังคงลักษณะบรรยากาศในอดีตไว้ เช่น หมู่ห้องพระบรรทม ท้องพระโรงและห้องสรง เป็นต้น

          นอกจากนี้ภายในเขตพระราชวังดุสิตยังมีอาคารที่จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ พิพิธภัณฑ์นาฬิกาโบราณ พิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณ พิพิธภัณฑ์เครื่องราชูปโภค และพระสาทิสลักษณ์ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.30-15.30 น. อัตราค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 75 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างประเทศ 100 บาท สอบถามโทร. 0-2281-6880, 0-2281-5454

          ลัดเลาะชมวังแล้ว หากยังไม่เหนื่อยเกินไปลองจูงมือคุณแม่ไปชมความงามของเกาะรัตนโกสินทร์ยาม ค่ำคืน รับรองว่าจะอีกหนึ่งความทรงจำที่น่าประทับใจ



เพลินวาน หัวหิน

2. เพลินวันวาน ตำนานหัวหิน

          หัวหิน มีชื่อจากการเป็นถิ่นตากอากาศของผู้ดีมีฐานะ ก่อนจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่ใครได้มาเยือนสักครั้งก็ สามารถจะกลับไปคุยอวดเพื่อนฝูงได้อีกนาน

          มาเยือนหัวหิน ไม่ควรพลาดไปย้อนบรรยากาศหัวหินยุคคุณหลวงคุณพระที่ โรงแรมรถไฟหัวหิน มีประวัตินับย้อนไปได้จนถึงช่วงที่รถไฟสายบางกอกน้อย-หัวหินได้เปิดทำการใน ปี พ.ศ. 2454 ต่อมาในปี พ.ศ. 2464 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินเป็นผู้อำนวยการจัดสร้างโรงแรมมาตรฐานยุโรป ขึ้นที่หัวหิน และยังมีการจ้างผู้ชำนาญการชาวต่างประเทศเข้ามาฝึกสอนด้านการบริหาร การบริการ และอาหาร จึงนับว่า "โฮเต็ลหัวหิน" หรือ "โรงแรมรถไฟหัวหิน" เป็นโรงเรียนสอนวิชาการโรงแรมแห่งแรกของประเทศไทย

          อีกแห่งที่ไม่ควรพลาดคือ ตลาดโต้รุ่งหัวหิน เป็นตลาดกลางถนนเดชานุชิต ที่ทำการปิดถนนเป็นถนนคนเดิน ที่ได้รับความนิยมจากทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่น ที่นี่เป็นศูนย์รวมอาหารหลากหลายรูปแบบ เช่น ผัดไทย หอยทอด กระเพาะปลา หมูสะเต๊ะ ซีฟู้ด โรตี ไอศกรีม ขนมไทย ผลไม้ นอกจากนี้ยังจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองจากทั่วประเทศ เสื้อผ้า กระเป๋า นิตยสาร ภาพวาด โคมไฟ  ประมาณ 4 โมงเย็นของทุกวันพ่อค้าแม่ขายจะเริ่มทยอยออกมาตั้งร้านรวงเปิดขายเรื่อยไป จนตลาดวายประมาณ  5 ทุ่ม เป็นสีสันยามราตรีของหัวหิน

          ที่ไม่ควรพลาดคือที่ท่องเที่ยวใหม่เอี่ยมของหัวหิน เพลินวาน อารมณ์ประมาณว่าเป็นหมู่บ้านย้อนยุคที่เปิดให้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศแห่ง อดีตช่วง พ.ศ. 2499 เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 11.00-24.00 น. โดยไม่เสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด การเดินทางก็ไม่ยากเพราะตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามพระราชวังไกลกังวลนั่นเอง

          ภายในหมู่บ้านน้อยๆ แห่งนี้รวมร้านค้าย้อนยุคหลายรูปแบบในห้องแถวไม้ มีทั้งแฟชั่นในวันวานที่ห้องเสื้อไฉไล เพลินวานไอศกรีม ของเล่นยุควันวาน กาแฟโบราณ ร้านข้าวแกง เพลินเพลินบาร์ที่มีทั้งยาดองและสุราแผนปัจจุบัน มีสถานีเสียงตามสายจัดรายการเพลงย้อนยุคให้ฟังกัน มีร้านขายเทปคาสเซ็ทเพลงเพราะๆ ของวันวาน วีดิโอหนังรักวัยหวานเมื่อนานมาแล้ว ใบปิดหนังดัง รูปถ่ายรวมถึงดาราในดวงใจ แถมยังมีมุมโปสการ์ดให้เขียนส่งไปกระตุ้นต่อมตาร้อนของเพื่อนที่พลาดไม่ได้ มาด้วยกัน ตรงกลางหมู่บ้านมีลานกิจกรรมเล็กๆ ที่บางวันจะมีกิจกรรมย้อนยุคเช่นฉายหนังกลางแปลงในอารมณ์งานวัด

          วันวานยังคงหวานอยู่ที่นี่ อาจจะเรียกได้ว่าเพลินวานคือพิพิธภัณฑ์ที่ไม่เพียงแค่ให้ดูแต่จับต้องและ เข้าไปสัมผัสบรรยากาศได้ ที่สำคัญมีของกินของเล่นย้อนยุคให้เลือกซื้อหากลับไปเชยชมสมใจที่บ้านได้ด้วย



อยุธยา

3. ไหว้พระราตรีที่อยุธยา

          จะเรียกว่าเป็นจังหวัดยอดนิยมอันดับ 1 สำหรับกิจกรรมไหว้พระ 9 วัด ก็คงไม่ผิดนัก สำหรับพระนครศรีอยุธยา อดีตราชธานีที่อยู่ยั้งยืนยงนานถึง 417 ปี เพราะนอกจากจะมีวัดวาอารามจำนวนมากแล้ว โบราณสถานแต่ละแห่งยังมีความศักดิ์สิทธิ์ชนิดที่หลายคนต้องกลับมาไหว้พระ อีกปีละหลายๆ หนเลยทีเดียว

          จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียงชั่วโมงเศษ หรืออาจน้อยกว่านั้นหากผู้ขับขี่ยวดยานชำนาญถนน สำหรับคุณแม่ที่คุ้นเคยกับธรรมสถานคงผูกพันกับเมืองเก่าแห่งนี้อยู่บ้าง แต่ถ้าถามลูกหลานวัยรุ่น อาจต้องลุ้นเรื่องหลงทางเพราะนานๆ มา อย่ากระนั้นเลย หากใครที่ไม่แน่ใจว่าเชี่ยวชาญเมืองโบราณแห่งนี้ดีพอ ให้ขับรถตรงไปที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพระนครศรีอยุธยา ที่อยู่ใกล้กับศาลหลักเมือง ที่นี่เขามีแผนที่ท่องเที่ยว พร้อมคำแนะนำสำหรับการเดินทางอย่างละเอียดยิบ

          อย่างที่เกริ่นไว้ว่า วัดในพระนครศรีอยุธยามีอยู่เยอะแยะมากมาย ครั้นจะให้เที่ยวแบบวันเดียวครบทุกแห่ง คงต้องแปลงกายเป็นนกแล้วบินไปเกาะวัดโน้นทีวัดนี้ทีถึงจะพอเป็นไปได้ แต่คุณแม่คงไม่สนุกกับจินตนาการแบบนั้น ทริปนี้จึงขอแนะนำให้ใช้บริการ Mobile Mini Ligth and Sound หรือการแสดงแสง เสียงเคลื่อนที่กรุงศรีอยุธยา ที่จัดขึ้นในรูปแบบของการนั่งรถรางล้อยางท่องเที่ยวในเขตอุทยาน ประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ศูนย์ประวัติศาสตร์อยุธยา

          หนังสือ 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน ระบุไว้ว่า พระนครศรีอยุธยา อยู่ในโปรแกรม 7 ดาวที่จะพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง หลังตระเวนไหว้พระแบบสบายๆ ในภาคกลางวันแล้ว สามารถชมความอลังการของมรดกโลกยามค่ำคืนได้ด้วย หลังแสงสุดท้ายของวัน เราจึงเลือกใช้บริการรถรางรอบ 19.00 น. ในการชมเมืองเก่ายามราตรีที่ถูกฉายชัดด้วยแสงไฟที่จะเปิดส่องไปจนถึง 21.00 น.

          รถรางจะพาเราออกจากศูนย์ประวัติศาสตร์อยุธยาพร้อมๆ กับการบรรยายถึงสถานที่ต่างๆ ที่จัดไว้บริการถึง 7 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ฝรั่งเศส และเยอรมัน จากนั้นจะแล่นผ่านศูนย์ท่องเที่ยวอยุธยา (ศาลากลางเก่า) เรือนทรงไทย ททท. สำนักงานพระนครศรีอยุธยา สถานีตำรวจท่องเที่ยว หน้าศาลหลักเมือง วัดเกษ พระวิหารมงคลบพิตร เลี้ยวขวาผ่านหน้าอนุสาวรีย์พระเจ้าอู่ทอง ตรงไปเลี้ยวซ้ายเข้าบึงพระราม ผ่านวัดพระราม วัดมหาธาตุ วัดราษฎร์บูรณะ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ย้อนกลับผ่านหน้า คุ้มขุนแผน ก่อนจะพาวกกลับมาที่ศูนย์ท่องเที่ยวอยุธยาอันเป็นจุดสิ้นสุดของราตรีแห่ง การเดินทางในพระนครศรีอยุธยา

          สำหรับรถรางล้อยางจะแล่นไปตามเส้นทางที่กำหนด โดยจะใช้เวลารอบละ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง เปิดให้บริการทุกวัน สอบถามเพิ่มเติมที่ ททท. สำนักงานพระนครศรีอยุธยา โทรศัพท์ 0-3524-6076-7 หรือ www.tourismthailand.org/ayutthaya
 

สวนของพ่อ

4. สบายใจในสวนของพ่อ

          หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ ศูนย์การศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อน อันเนื่องมาจากพระราชดำริอยู่บ้าง แต่จะมีสักกี่คนที่เคยเหยียบย่างเข้าไปเยี่ยมชม หรือศึกษากระบวนการพัฒนาที่จัดเป็นกิจกรรมรูปแบบต่างๆ อยู่ภายใน แม้แต่ให้ระบุว่า สถานที่สำคัญแห่งนี้อยู่ที่ไหน บางคนยังต้องเกาหัวแกรกๆ ไม่ใกล้ ไม่ไกล ศูนย์การศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อนฯ ตั้งอยู่ที่ ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา จากกรุงเทพฯ ขับรถไปตามถนนมอเตอร์เวย์ เลี้ยวเข้าทางหลวงหมายเลข 304 ฉะเชิงเทรา-กบินทร์บุรี ไม่เกิน 2 ชั่วโมงก็ถึง

          มีอะไรให้เที่ยว? คนไทยมักโยนคำถามแบบนี้กับสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดบาปอะไร แต่ถ้าอยากได้มากกว่าคำว่า "เที่ยว" ขอเชิญที่ ศูนย์การศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อนฯ

          เขาหินซ้อน เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำแห่งแรกในประเทศไทย จากผืนดินที่แห้งแล้งราวกับทะเลทราย ในปี 2522 ถึงวันนี้พื้นที่ที่ปลูกอะไรไม่ขึ้นแม้แต่มันสำปะหลังกลับเขียวสะพรั่งไป ด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด

          ซึ่งปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงวิเคราะห์ปัญหา และพระราชทานข้อคิดว่า "...ถ้าหากบอกว่าที่นี่ดินไม่ดี ไม่ช่วยไม่ทำ ลงท้ายประเทศไทยทั้งประเทศจะกลายเป็นทะเลทรายหมด..."

          หากเห็นป้ายใหญ่ที่ระบุข้อความว่า "สวนของพ่อ" มั่นใจได้เลยว่า มาไม่ผิดทาง ครั้นจะเยี่ยมชมพื้นที่กว่า 1,895 ไร่ให้ครบ คงต้องทบเวลาเป็น 3-4 วัน แต่เราสามารถร่นระยะเวลาได้ด้วยการขับรถเข้าไปเที่ยวชม จะรถยนต์ รถจักรยาน เจ้าหน้าที่บอกว่า ผ่านได้ ไม่มีปัญหา ไม่ต้องโทรมาแจ้งล่วงหน้า (ยกเว้นกรณีหมู่คณะที่มาติดต่อขอดูงาน กรุณาแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 2 สัปดาห์)

          ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนา ดังนั้นภายในจึงเต็มไปด้วยแหล่งความรู้ที่เป็นต้นแบบในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการพัฒนาด้านเกษตรกรรม ที่ในหลวงทรงเน้นย้ำถึงการพัฒนาแหล่งน้ำ ฟื้นฟูสภาพป่า พัฒนาที่ดิน รวมถึงการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ มีตั้งแต่ อ่างเก็บน้ำ ที่สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ได้ตลอดทั้งปี แปลงสาธิตการเกษตร รวบรวมการทำเกษตรกรรมทุกรูปแบบ เช่น นาข้าว สวนผลไม้ แปลงผัก เกษตรทฤษฎีใหม่ สวนพฤกษศาสตร์ จัดแสดงไม้หายาก ไม้เศรษฐกิจ ที่ปลูกแยกไว้เป็นหมวดหมู่ สวนสมุนไพร มีสมุนไพรไม่ต่ำกว่า 800 ชนิด นอกจากนี้ยังมีกล้าสมุนไพรแจกจ่ายสำหรับเกษตรกรหรือบุคคลที่สนใจด้วย

          ใกล้ๆ กับสวนสมุนไพรคือ ห้องอบสมุนไพร ที่นี่เปิดให้บริการทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. มีบริการอบสมุนไพรและนวดแผนไทย ถ้าต้องการใช้บริการนอกวันและเวลาดังกล่าวต้องแจ้งล่วงหน้า สุดท้ายคือจุดละลายทรัพย์ที่ใครๆ ก็อยากจ่าย เพราะผลิตภัณฑ์ทั้งหลายมาจากผลผลิตภายในศูนย์ฯ ทั้งสิ้น

          บรรยากาศร่มรื่นเหมาะแก่การพักผ่อนในช่วงวันหยุด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0-3859-9105-6 หรือ www.khaohinsorn.com

 

นครปฐม

5. เต็มอิ่ม เต็มตา เมืองทวารวดี

          ด้วยความอลังการของร้านรวงนับร้อย ที่มากางแผงขายกันบริเวณลานด้านฝั่งถนนต้นสน ติดกับองค์พระปฐมเจดีย์ทำให้ใครต่อใครมักมาฝากท้องมื้อค่ำกันที่นี่ โดยเฉพาะในช่วงวันหยุด

          ถึงนครปฐมจะอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 56 กิโลเมตร แต่ด้วยความเป็นเส้นทางผ่านสู่ภาคใต้ จึงทำให้บ่อยครั้งบรรดานักท่องเที่ยวมักละดินแดนทวารวดีแห่งนี้เอาไว้ท้าย ตารางการเดินทางอยู่เป็นประจำ แต่หากตั้งใจจะมาเยือนเมืองส้มโอหวาน ข้าวสารขาว ลูกสาวงาม ข้าวหลามอร่อยแล้วล่ะก็ นครปฐมยังมีของดีเอาไว้อวดให้ผู้มาเยือนได้ประทับใจไม่แพ้เมืองท่องเที่ยว อื่นๆ เลยทีเดียว

          เพราะความสะดวกสบายในการเดินทางทำให้นครปฐมสามารถไปถึงได้ทั้งถนนลาดยาง และทางรางเหล็ก จะจัดเป็นทริปครึ่งวันหรือเต็มวันก็แล้วแต่ชอบ สำหรับวันหยุดพักผ่อนของครอบครัวถ้าลองตื่นเช้าสักหน่อยใช้เวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมงก็สามารถพาตัวเองมาทันใส่บาตรพระสงฆ์และสามเณรที่พากันเดินเป็นสาย ธารแห่งธรรมอยู่รอบองค์พระ ก่อนจะไปหาต้มเลือดหมูเจ้าเก่าแก่ที่ขายมากว่า 20 ปี แถวสะพานเกวียนรองท้องพอให้รู้สึกตื่น จากนั้นใช้เวลาเดินเล่นรอบคลองเจดีย์บูชาที่เมื่อครั้งอดีตเคยเป็นเส้นทาง เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคเพื่อมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ของล้นเกล้ารัช กาลที่ 4 ชมวิถีชีวิตยามเช้าจากสถานีรถไฟนครปฐม ผ่านสะพานยักษ์สู่องค์ พระร่วงโรจนฤทธิ์พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองนครปฐม

          เตร็ดเตร่ชิมบรรยากาศละแวกนี้พอให้แสงแดดแยงตา แล้วค่อยมุ่งหน้าสู่ถนนกลางใจเมือง เลี้ยวขวาข้างมหาวิทยาลัยศิลปากร เข้าไปเดินเล่นในสนามจันทร์ชมพระราชวังที่ผสมผสานลายไทยกับลายฝรั่งอย่าง กลมกลืน

          พระราชวังสนามจันทร์เป็นพระราชวังที่พระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นบนบริเวณที่คาดว่าเป็นพระราชวังเก่าที่เรียกว่า "เนินปราสาท" เพื่อเป็นสถานที่ประทับครั้งมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์และเมื่อบ้านเมือง ถึงยามวิกฤต ภายในบริเวณมี "พระตำหนักทับขวัญ" ซึ่งเป็นเรือนไทยที่สมบูรณ์แบบ และ "พระตำหนักมารีราชบัลลังก์" ซึ่งสร้างด้วยไม้สักทอง ทาสีแดง สถาปัตยกรรมแบบนีโอคลาสสิก ชั้นบนของพระตำหนักมีสะพานเชื่อมกับ "พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์" ซึ่งได้ชื่อว่าสวยงามที่สุด ส่วนด้านหน้าของพระตำหนักเป็นที่ตั้งของ "อนุสาวรีย์ย่าเหล" สุนัขทรงเลี้ยงของรัชกาลที่ 6

          หลังจากเดินชมวังฟังเสียงลม ควรแวะไปสักการะพระคเณศวร เพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนอ้อมไปทางด้านหลังข้ามรางรถไฟ เติมพลังมื้อเที่ยงที่ร้านข้าวเหนียวส้มตำเจ้าอร่อย จากนั้นจึงย้อนกลับมายังองค์พระฝั่งตรงข้ามสถานีตำรวจ เดินเข้าไปชมศิลปะสมัยทวารวดี ผ่านนิทรรศการและประติมากรรมที่ตั้งอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระปฐม เจดีย์ ไหว้พระพุทธศิลาขาว พระเก่าแก่สมัยทวารวดี เดินเล่นทำบุญไหว้พระรอบองค์พระให้แดดล่มลมตก แล้วค่อยปิดท้ายมื้อเย็นที่ลานร้านค้าที่จะพากันทยอยมาตั้งร้านตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป

          ถือเป็นการจบทริปแบบอิ่มตาอิ่มใจและอิ่มท้องไปในตัว




ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
5 เส้นทาง พาแม่เที่ยวใกล้กรุง อัปเดตล่าสุด 15 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 14:08:11 1,620 อ่าน
TOP