แนะนำที่เที่ยวต่างประเทศใกล้ไทย กับเส้นทางท่องเที่ยวย่างกุ้ง เมียนมา ในแบบฉบับคนมีเวลาน้อย วาร์ปไปไหว้พระ เดินเล่นชิล ๆ ย่านเมืองเก่า ช้อปปิ้งสินค้าท้องถิ่น กินและพักผ่อนในที่พักแสนสะดวกสบาย แถมยังเดินทางง่าย ๆ ด้วยเส้นทางบินตรงจากกรุงเทพฯ
หากคุณมีเวลาน้อยนิดแค่เพียง 1 วัน หรือ 2 วัน 1 คืน แต่อยากไป
เที่ยวต่างประเทศใกล้ ๆ บ้านเราสักหน่อย ไปแบบชิล ๆ ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องวีซ่า ใช้เวลาเดินทางไม่นาน เส้นทางหนึ่งที่น่าสนใจ ก็คือ
“ย่างกุ้ง” ประเทศเมียนมา ที่ตั้งของ
“เจดีย์ชเวดากอง” เจดีย์สีทองอร่ามงามวับ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเมียนมา ที่เหล่าพุทธศาสนิกชนและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอยากไปสัมผัสถึงความงดงามด้วยตัวเองสักครั้ง อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ การเงิน การศึกษา และการเดินทางที่สำคัญของประเทศ พร้อมกับมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลากหลายแบบ
นอกจากนี้ในอีกมุมหนึ่งของย่างกุ้ง ก็ยังคงมีร่องรอยของวัฒนธรรมในช่วงยุคอาณานิคมให้ได้เห็นอยู่ ทั้งตึกและอาคารสไตล์โคโลเนียลหลายสิบแห่งในย่านเมืองเก่า ที่ถูกบูรณะและรักษาไว้อย่างดีเยี่ยม ทริปนี้เราเลยขอพาไปเปิดภาพใหม่ ๆ ของเมืองนี้กันบ้าง ไปลองเดินเล่นช้า ๆ ถ่ายรูปกับตึกสไตล์โคโลเนียลสวย ๆ แวะพักนั่งเล่นในคาเฟ่บรรยากาศดี แล้วพักผ่อนกับโรงแรมเปิดใหม่ ไม่ต้องมีเวลามากมายก็ตามรอยกันได้ เอาล่ะ...อย่าช้าตามเราไปตะลุยย่างกุ้งกันเลย
เที่ยวย่างกุ้ง เดินทางสะดวก คุ้มค่ากับ Bangkok Airways
จากกรุงเทพฯ เราเดินทางไปเยือนย่างกุ้งได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยเส้นทางบินตรงจากสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส (Bangkok Airways) ที่มีให้บริการทุกวัน วันละหลายเที่ยวบิน ตั้งแต่เช้าไปจนถึงช่วงค่ำ ๆ จากกรุงเทพฯ - ย่างกุ้ง ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น และยังฟรีกระเป๋าเดินทาง 1 x 20 กิโลกรัม พร้อมด้วยอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน แถมยังมีเลานจ์รองรับที่สนามบิน ลูกค้าเข้าไปใช้บริการได้ฟรี
พอเช็กอิน โหลดกระเป๋า และผ่านกระบวนการด่านตรวจคนเข้า-ออกเมืองเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังเกต D7 ซึ่งเป็นที่ตั้งของเลานจ์สำหรับเส้นทางบินต่างประเทศของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ภายในเลานจ์กว้างขวางพอสมควร ตกแต่งในสไตล์เรียบหรู แบ่งเป็น 2 โซน คือ โซนนั่งกินข้าว และโซนอาหารและเครื่องดื่ม
ทันทีที่เข้าไปด้านในพนักงานได้สอบถามเกี่ยวกับเมนูอาหารกลางวันที่จะกินในเลานจ์ ซึ่งเมนูก็อาจจะสลับสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละวัน วันนี้เราเลือกบะหมี่เป็ดย่าง เวลาผ่านไปไม่นานนักก็ได้อาหารกลางวันจานโตมาอยู่ตรงหน้า บะหมี่เส้นเหนียวนุ่มกำลังดี เนื้อเป็ดหอมเนื้อนุ่ม ซอสที่ราดมาฉ่ำ ๆ ทำให้ทุกอย่างกลมกล่อม กินได้เรื่อย ๆ แป๊บเดียวก็หมดจาน ถ้ายังไม่อิ่มก็มีอาหารว่างและขนมขบเคี้ยวทั้งแบบไทยและฝรั่งให้เลือกลิ้มลองแบบไม่อั้น รวมทั้งเครื่องดื่มหลากหลายชนิด กินไปทำงานไปก็ยังได้ เพราะมี Wi-Fi ให้กับลูกค้า สามารถนั่งพักผ่อนได้ยาว ๆ ไปจนถึงเวลาขึ้นเครื่อง
ส่วนภายในห้องโดยสารก็เต็มไปด้วยความสะดวกสบาย ช่องเก็บสัมภาระใหญ่ ที่นั่งกว้าง เหยียดขาได้กำลังพอดี พนักงานต้อนรับเป็นกันเองและคอยอำนวยความสะดวก หลังจากเครื่องเทกออฟได้ไม่นานก็มีอาหาร ผลไม้ และน้ำดื่มมาเสิร์ฟ ใครหนาวก็ขอผ้าห่มได้ ตอบโจทย์ทุกความสะดวกสบาย นั่งไม่นานก็ถึงย่างกุ้งแล้ว ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
www.bangkokair.com
พักผ่อนอย่างมีสไตล์กับ Pullman Yangon Centrepoint ที่พักย่างกุ้งใจกลางเมือง
เมื่อมาถึงสนามบินนานาชาติย่างกุ้ง รถรับ-ส่งของโรงแรมก็มารออยู่แล้ว ด้านข้างเขียนว่า Pullman Yangon Centrepoint ชื่อที่พักย่างกุ้งของเราในทริปนี้นั่นเอง ตัวรถเป็นรถ 7 ที่นั่ง ขนาดกว้างขวาง สะอาด มี Wi-Fi ให้เชื่อมต่อ พร้อมด้วยขนมขบเคี้ยว น้ำดื่ม และหนังสืออ่านเล่น นั่งมาแบบเพลิน ๆ จน 45 นาที ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับโรงแรม Pullman Yangon Centrepoint เป็นโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว น้องใหม่ในเครือแอคคอร์ (AccorHotels) ที่เพิ่งจะทดลองให้จองเข้าพักไปเมื่อราว ๆ เดือนเมษายนที่ผ่านมา และกำลังจะทำการ Grand Opening ช่วงต้นปี 2563 ซึ่งนอกจากมาตรฐานห้องพักและการบริการที่หรูหราแล้ว โรงแรมแห่งนี้ยังโดดเด่นด้วยโลเคชั่น เพราะตั้งอยู่ในย่าน Old Town ใกล้กับแม่น้ำย่างกุ้ง และสถานที่สำคัญต่าง ๆ เช่น เจดีย์ซู่เล่, Mahar Bandula Park และ Yangon City Hall จึงง่ายต่อการเที่ยวชมเมืองด้วยตัวเอง
ที่นี่มีห้องพักทั้งหมด 277 ห้อง แบ่งออกเป็นห้องแบบดีลักซ์และสวีต ตกแต่งสไตล์โมเดิร์นเรียบหรู ทุกห้องจะมีกระจกบานใหญ่ เพียงเปิดม่านออกก็จะได้เห็นวิวในหลาย ๆ มุม แล้วแต่ทำเลของแต่ละห้อง ทั้งสวนสาธารณะ เมืองเก่ากับอาคารสไตล์โคโลเนียล เจดีย์สีทองสวยสง่าอย่างเจดีย์ซู่เล และแม่น้ำย่างกุ้ง มีโต๊ะทำงาน IPTV ตัวใหญ่ โซฟานั่งเล่น พร้อมด้วยเมนูอาหารและรายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับที่พักวางไว้ให้บนโต๊ะ และยังมีขนมมาการองสีสันสดใส รสชาติหวานละมุนให้ได้ลิ้มลองเบา ๆ
สิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ก็มีทั้งตู้เสื้อผ้า ตู้เซฟ เสื้อคลุม เตารีด กาต้มน้ำร้อน และมินิบาร์ ฯลฯ ในห้องน้ำก็มีอุปกรณ์อาบน้ำครบครัน เช่น เซตครีมอาบน้ำ ยาสระผม แปรงสีฟัน หมวกคลุมผม และหวี พร้อมด้วยอ่างอาบน้ำที่สามารถเปิดม่านมองเห็นด้านนอกได้
นอกจากนี้ในโรงแรมยังมีสปา สระว่ายน้ำ ฟิตเนสเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ห้องประชุม ร้านอาหารอิตาเลียน และบาร์ริมสระว่ายน้ำ พร้อมสรรพในทุกไลฟ์สไตล์การพักผ่อน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.accorhotels.com
สัมผัสวัฒนธรรมเมียนมา สักการะเจดีย์ชเวดากอง
หลังจากที่เก็บของเข้าที่พัก นั่งพักผ่อนกันจนหายเหนื่อยแล้ว ก็เป็นช่วงที่แดดร่มลมตกพอดิบพอดี แสงแดดอ่อน ๆ อากาศเริ่มเย็นลง เหมาะแก่การไป “เจดีย์ชเวดากอง” หนึ่งในจุดหมายที่เราวางไว้ เมื่อไกด์ท้องถิ่นและรถของโรงแรมพร้อม คณะเราก็ออกเดินทางไปเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมเพียงแค่ 4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว ๆ 20 นาทีเท่านั้น
รถของโรงแรมไปจอดทางฝั่งประตูด้านทิศใต้ ซึ่งเจดีย์ชเวดากองจะมีทางเข้าทั้ง 4 ฝั่ง แต่ละฝั่งจะมีทางเข้าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวเมียนมาแยกกัน ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจะมีค่าธรรมเนียมคนละ 8 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 243-250 บาท
เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วว่าแต่งกายสุภาพ เป็นเสื้อผ้าแขนยาวและขายาว ไม่รัดรูป ไม่บางจนเกินไป ก็จะให้ถอดรองเท้า ถุงเท้า รวมทั้งถุงน่องฝากไว้ และด้วยสาเหตุนี้เราเลยขอแนะนำให้มาเที่ยวชมกันตั้งแต่เช้าหรือช่วงบ่ายแก่ ๆ ไปแล้ว มิเช่นนั้นเท้าอาจจะต้องสัมผัสกับพื้นและเจอกับอากาศร้อน ๆ จนทำให้หมดสนุกได้นะ
สองเท้าก้าวอย่างมั่นคงลงบนพื้นทางเดินที่ทอดยาวเข้าไปสู่เจดีย์สีทอง บรรยากาศดูเงียบสงบ นักท่องเที่ยวยังบางตา แต่ก่อนที่จะเข้าไปยังพื้นที่รอบเจดีย์ชเวดากอง ประตูทางฝั่งทิศใต้จะพาเราไปพบกับ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ที่มาจากต้นดั้งเดิมสมัยพุทธกาลในประเทศอินเดียก่อน มีลักษณะต้นใหญ่และพุ่มสูง ร่มเงาแผ่ขยายออกไปเป็นบริเวณกว้าง ใบโพธิ์สั่นไหวไป-มาตามแรงลม เสียงกระทบกันแกรกกรากแทรกขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบ มีพุทธศาสนิกชนบางคนเลือกใช้บริเวณนี้เป็นสถานที่นั่งสมาธิ
จากต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อเดินเข้ามายังด้านใน ภาพของเจดีย์สีทองขนาดใหญ่ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า สายลมเบา ๆ พัดกระดิ่งที่แขวนอยู่รอบ ๆ เกิดเสียงดังกรุ๊งกริ๊ง สลับกับเสียงระฆังใบใหญ่ที่ดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ เหมือนมนตร์สะกดให้ค่อย ๆ วางปลายเท้าและส้นเท้าลงสู่พรม เดินก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ในขณะเดียวกันก็สะกดให้สายตาไม่สามารถละออกจากยอดฉัตรขององค์เจดีย์ได้เลย
ตามประวัติของเจดีย์ชเวดากองได้เริ่มสร้างขึ้นเมื่อราว ๆ 2,500 ปีที่แล้ว มีการบูรณะเรื่อยมา จนกระทั่งปัจจุบันมีความสูงมากถึง 99 เมตร บนยอดด้านบนสุดประดับด้วยเพชรหนัก 76 กะรัต ถัดลงมาเป็นลูกแก้วหรือหยาดน้ำค้าง ประดับด้วยเพชร 5,448 เม็ด และทับทิม 2,317 เม็ด รอบองค์เจดีย์ติดแผ่นทองคำงดงามสง่า
ขณะที่สายตากำลังจดจ้องกับมรดกอันล้ำค่าของเมียนมา ไกด์ท้องถิ่นก็ได้ปลุกให้ออกจากภวังค์ ด้วยการเรียกไปเดินไปชมมุมสำคัญต่าง ๆ ของที่นี่ รวมทั้งได้พาสรงน้ำพระประจำวันเกิดที่อยู่รอบเจดีย์ เริ่มจากมุมของวันอังคาร ไล่ไปจนถึงวันจันทร์ เพราะการสรงน้ำพระที่นี่จะไม่ใช่การตักน้ำเพียงแค่หนึ่งขันหรือสองขัน แต่ต้องตักให้มากกว่าอายุถึง 1 ขัน ตามความเชื่อของชาวเมียนมาที่เชื่อกันว่าหากอธิษฐานสิ่งใดตอนสรงน้ำพระก็จะสมความปรารถนา
พอทำบุญเรียบร้อยก็เริ่มหามุมนั่งชมความสวยงามของเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ จากท้องฟ้าสว่างก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นมืดสลัว ๆ พื้นที่ว่างเปล่ารอบเจดีย์ได้ถูกเติมเต็มด้วยพุทธศาสนิกชาวเมียนมา และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ บางคนก็มาเดี่ยว บางคนมาเป็นคู่ และบางคนก็มาเป็นครอบครัว มีแม่ชีตัวน้อยเดินต่อแถวเรียงรายเป็นระเบียบผ่านไป-มา เพื่อทำกิจวัตรทางศาสนาประจำวัน
รอบกายเต็มไปด้วยผู้คน ดูหนาแน่นแต่กลับเงียบสงบอย่างน่าอัศจรรย์ มีเพียงเสียงกระดิ่งเท่านั้นที่แว่วดังขึ้นเป็นระยะ ๆ นี่คงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของวัดเมียนมา ที่ทำให้ผู้คนมากมายศรัทธาและหลงรักได้อย่างง่ายดาย
รอบ ๆ เจดีย์ชเวดากองมีสิ่งที่น่าสนใจมากมายให้เราได้เดินแวะเที่ยวชม จากที่ตั้งใจว่าจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ไม่นานนัก ก็กลายเป็นว่ากว่าจะได้ออกจากเจดีย์ชเวดากองจริง ๆ พระจันทร์เลื่อนสูงเด่นชัดอยู่บนท้องฟ้าเสียแล้ว กลับถึงโรงแรม กินข้าวเย็น อาบน้ำพักผ่อน ก็ยังมิอาจลืมภาพความงดงามของเจดีย์ชเวดากองไปได้เลย
ย้อนอดีตย่างกุ้ง เดินแกะรอยประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคมย่านเมืองเก่า
แม้ว่าโรงแรมจะตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง แต่บรรยากาศไม่ได้วุ่นวาย การเริ่มต้นเช้าวันใหม่ในย่างกุ้ง จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความรู้สึกสดใส แผนของวันนี้ก็คือการออกเดินสำรวจย่านเมืองเก่าสมัยอาณานิคมที่อยู่รอบ ๆ โรงแรม แต่ก่อนจะไปเสียเหงื่อ ก็ขอเติมพลังกับอาหารเช้าอร่อย ๆ และกาแฟเข้มข้นที่ห้องอาหารของโรงแรมกันเสียก่อน
พอท้องอิ่ม เริ่มมีแรง ก็ได้เวลาออกสำรวจเมือง สองน่องเริ่มต้นออกเดินไปทางฝั่งเจดีย์ซู่เล ห่างจาก Pullman Yangon Centrepoint เพียงแค่ 200 เมตรเท่านั้น เพียงเดินออกจากโรงแรม หันไปทางซ้ายก็จะเจอกับเจดีย์องค์สีเหลืองทองใจกลางวงเวียน
การได้ออกมาเดินเที่ยวชมย่านนี้ ทำให้เห็นร่องรอยอดีตของย่างกุ้งในช่วงยุคอาณานิคม หรือราว ๆ พ.ศ. 2400 แต่ท่ามกลางตึกสไตล์โคโรเนียลนับร้อย ก็ยังมีวัดวาอารามเก่าแก่อายุนับพันปีตั้งอยู่ รวมทั้งวิถีชีวิตแบบเรียบง่ายของชาวเมียนมา
บรรยากาศยามเช้าดูคึกคัก ด้วยเป็นจุดต่อรถโดยสารและใกล้กับสถานที่สำคัญต่าง ๆ คนท้องถิ่นที่เดินข้ามถนนไป-มา ทั้งหญิงและชายจะแต่งกายด้วยโสร่งลายพื้นเมือง สวมรองเท้าแตะ แต่ที่สะดุดตาคงเป็นการหิ้วปิ่นโตและเสบียงอาหารกลางวัน วิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชาวเมียนมาที่ทำให้ยิ้มออกมาได้แบบไม่รู้ตัว
จากเจดีย์ซู่เลเราจะเดินข้ามถนนไปยังถนน Maha Bandula จากที่เคยชินกับการต้องมองรถทางซ้ายก่อน ก็ต้องเปลี่ยนเป็นมองทางขวาก่อนแทน เพราะรถยนต์ที่นี่จะขับพวงมาลัยซ้าย และแล่นทางเลนขวา รถยนต์ขับกันเร็วพอสมควร แต่ดูเหมือนคนท้องถิ่นจะชินเสียแล้ว เพราะเขาเดินข้ามถนนกันไป-มาแบบสบาย ๆ ต่างกับคนต่างถิ่นอย่างเราที่ยืนชะงักอยู่หลายครั้ง จนสุดท้ายต้องทำใจกล้า รีบแฝงตัวเข้าไปกับกลุ่มคนท้องถิ่น แล้วรีบเดินตามไปอย่างเร็วไว
เมื่อเดินเข้าสู่ถนน Maha Bandula จะเห็น Yangon City Hall อยู่ทางซ้าย เป็นอาคารสีขาวหลังใหญ่ดูโอ่อ่า มีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างสไตล์โคโรเนียลและเมียนมา แสงอาทิตย์ยามเช้ายิ่งขับให้อาคารแห่งนี้ดูมีพลังและมั่นคง
ฝั่งที่เรายืนอยู่นี้อาจจะดูวุ่นวายสักนิด เพราะเป็นป้ายรถโดยสารประจำทางหลักในย่านเมืองเก่า เก้าอี้นั่งรอรถแทบไม่เคยว่างเว้น คนเก่าไป คนใหม่มา ผลัดเปลี่ยนกันไปทุกนาที เหมือนกับแสงอาทิตย์ในตอนนี้ที่เริ่มเลื่อนขึ้นสู่ท้องฟ้าและส่องแสงลอดผ่านหมวกสานใบเล็กแยงเข้ามาที่ตา ทำให้เราต้องเดินออกจากจุดที่ยืนอยู่
เดินถัดมาอีกนิดทำให้ได้เห็นตึก Ayeyarwady Bank ตรงหัวมุมถนนฝั่งเดียวกับ Yangon City Hall เป็นอาคารทรงยุโรปสวยงาม สีขาว-ครีม มียอดโดมโดดเด่น พร้อมด้วยตัวอักษรชื่อธนาคารทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย ประตูยังคงปิดสนิท ด้วยยังไม่ถึงเวลาทำการ ความสวยงามของอาคาร ถ้าใครได้เห็นก็คงอยากจะเก็บบันทึกภาพไว้ในกล้อง รวมถึงเราด้วย ที่ถ่ายรูปเพลินจนไม่รู้ตัวว่าขาสั้น ๆ นี้ได้ก้าวเข้ามาสู่บนท้องถนนแล้ว จนกระทั่งเสียงบีบแตรจากรถได้ดังขึ้น ด้วยสัญชาตญาณรีบหันมองก็เห็นว่ารถคันใหญ่กำลังพุ่งมาด้วยความเร็ว แต่ขาเราไวกว่า รีบก้าวถอยหลังหลบมาทันที
รถผ่านไปแล้ว แต่ใจยังคงเต้นไม่หยุด ตอนแรกคิดไว้ว่าจะเดินข้ามถนนไปชม Ayeyarwady Bank ใกล้ ๆ ก็เลยต้องถอยทัพ หันหลังมาเจอกับ Immanuel Baptist Church โบสถ์คริสต์โปรเตสแตนต์สีขาว สไตล์เรียบง่ายแต่ดูสุขุมเงียบสงบ ซึ่งดูจากระยะห่างจากเจดีย์ซู่เล ก็เพียงแค่ราว ๆ 150 เมตรเท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าต่างศาสนาก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
และเมื่อต้องถอยทัพแล้วก็ขอเดินเลียบถนน Mahar Bandula Park Street ไปเสียเลย ด้านขวามือก็จะเป็น Mahar Bandula Park สวนสาธารณะขนาดใหญ่ ประตูที่เปิดอยู่ทำให้เราเดินเข้าไปชมอย่างไม่ลังเล สิ่งที่น่าสนใจของสวนแห่งนี้ ก็คือ The Independence Monument ยอดเสาสีขาวสูงราว ๆ 50 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางสวน ประวัติบอกไว้ว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ออกแบบโดย Sithu U Tin เป็นอนุสาวรีย์อิสรภาพที่แสดงถึงการเป็นอิสระจากประเทศอาณานิคมนั่นเอง
ภายในสวนมีผู้คนบางตา ด้วยเป็นวันทำงานปกติ แต่ก็มีให้เห็นหลากหลายกลุ่มคน บ้างก็มาวิ่งออกกำลังกาย บ้างก็นั่งคุยเล่นพักผ่อนชิล ๆ ใต้ร่มไม้ บ้างก็มานั่งปิกนิกกินข้าวยามเช้ากับครอบครัว เสียงล้อจักรยานแกร๊ก ๆ ได้มาหยุดอยู่ที่ด้านหลัง พอหันไปก็ได้เจอกับพี่ผู้ชายร่างอวบหนากำลังยืนยิ้มให้ เราชะงักไปนิดหนึ่ง...
“Where are you from ?” ขณะที่กำลังจะก้าวขาผละถอยหลัง แกก็ทักทายมาเสียก่อน
“Um...Thailand” เป็นการตอบกลับที่ดูระวังตัวเล็กน้อย เพราะยังไม่รู้ว่าคนตรงหน้าจะเข้ามาสนิทสนมด้วยแบบไหน
แต่ทันทีที่พี่ผู้ชายได้ยินคำว่าไทยแลนด์ ก็ดูจะตื่นเต้นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และเล่าให้ฟังอีกว่าเคยไปกรุงเทพฯ ชอบเมืองไทย และอาหารไทยมาก คนไทยน่ารัก เป็นมิตร และอีกสารพัดสิ่งที่พี่เขาจะนึกออก เราได้แต่ยืนฟังและยิ้มสวย ๆ เหมือนสาวสยาม เพราะหาช่องแทรกพี่เขาพูดไม่ได้เลย จนเห็นสมควรแก่เวลาจึงต้องขัดขึ้น
“It’s really nice to meet you here but it’s time to go.”
“Oh, Sure. ลา-ก่อน-ครับ พบ-กัน-ใหม่-ครับ”
พี่ชายแปลกหน้าพูดประโยคสุดท้ายแบบไม่มั่นใจนัก ค่อย ๆ พูดออกมาทีละคำ จนเราลุ้นไปด้วย แต่ก็สามารถพูดจนจบ ปรบมือให้ไปหนึ่งชุด ก่อนจะเดินจากมาด้วยความรู้สึกเสียดาย ที่ไม่ได้ลาพี่เขาด้วยภาษาเมียนมาด้วยเช่นกัน เพราะไม่ได้ศึกษาคำอื่นมาเลย นอกจาก “มิงกะลาบา”
มิตรภาพเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทางจางหายไปแล้ว ก็ได้เวลาเดินหน้าต่อไป จากประตูสวนสาธารณะฝั่งนี้จะเห็นอาคาร High Court of Yangon Region อยู่ตรงข้าม ศาลสูงสุดของย่างกุ้ง อาคารสไตล์โคโลเนียลสีแดงเลือดหมูสุดโดดเด่น สลับด้วยลวดลายปูนปั้นสีครีม มีนาฬิกาขนาดใหญ่อยู่ด้านบน ก้มลงมองนาฬิกาดิจิตอลในมือถือ โอ้...ตรงกันเป๊ะ ! “ถึงแม้จะเก่า แต่ก็ยังเก๋านะ” เจ้านาฬิกาคงอยากบอกเราแบบนี้ :)
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ บนถนนเส้นนี้ก็ยังมีอาคารอีกหลายหลังในสไตล์เดียวกันที่ตั้งเรียงรายให้เดินถ่ายรูปเรื่อย ๆ หลากหลายมุม
แสงแดดที่เริ่มแผ่ฤทธิ์แรงกล้า ทำให้เราเร่งฝีเท้าเดินไปหามุมตึกร่ม ๆ แต่เดินไปเดินมาก็มาโผล่บนถนน Pansodan Street ถนนที่สองฝากฝั่งเต็มไปด้วยอาคารสไตล์โคโลเนียล ซึ่งในอาคารเหล่านั้นก็ได้ซ่อนโรงแรม โฮสเทล ร้านอาหาร ร้านชา และร้านกาแฟเก๋ ๆ ไว้หลายแห่ง
ตอนนี้เหงื่อเริ่มไหลซึมออกมายังเสื้อชั้นนอก อากาศอบอ้าวนิด ๆ รู้สึกอยากนั่งตากแอร์ ดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ ให้ชื่นใจสักหน่อย เดินไปเดินมาก็ตัดสินใจเปิดประตูร้าน Kafe in Town แล้วเข้าไปนั่งพักขาที่โต๊ะริมหน้าต่าง พนักงานรีบเดินเอาเมนูมาให้พร้อมรอยยิ้มกว้าง ดูเมนูแล้ว ราคาเครื่องดื่มและอาหารก็ไม่แพงมากนัก เครื่องดื่มเริ่มต้นที่ราว ๆ 40 บาท พลิกดูเมนูไปมาก็ถูกใจชาเขียวมัทฉะมากที่สุด แม้จะมีการสื่อสารระหว่างกันที่ติดขัดไปบ้าง แต่พนักงานหลาย ๆ คนก็พยายามเข้ามาช่วยเหลือกันอย่างน่ารัก
ร้านนี้เป็นร้านกาแฟสไตล์โมเดิร์นบรรยากาศอบอุ่น ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกจุดตัดถนน Pansodan Street และ Merchant Rd. มีผนังและหน้าต่างกระจกรอบด้าน สามารถมองเห็นบรรยากาศและอาคารสไตล์โคโลเนียลด้านนอกได้อย่างสวยงาม เครื่องดื่มและอาหารราคาน่ารัก เหมาะแก่การแวะมานั่งพักระหว่างวัน
และจากร้านนี้กาแฟแห่งนี้ก็ยังสามารถที่จะเดินไปทางฝั่งแม่น้ำย่างกุ้งได้ด้วย บริเวณนั้นจะมีทั้งท่าเรือเฟอร์รีย่างกุ้ง, Yangon Custom House, ตลาดท้องถิ่นริมแม่น้ำ และอาคารสวย ๆ ให้เดินละเมียดละไมถ่ายรูปอีกหลายแห่ง รวมถึงโกดังเก่าสีน้ำตาลขนาดใหญ่ และโรงแรมสวยคลาสสิก แล้ววนกลับมาที่โรงแรม ก็เป็นเวลาพอดิบพอดีกับการเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ บอกเลยว่ามีเวลานิดเดียวก็เที่ยวพอ :)
ย่างกุ้ง...ถือว่าเป็นอีกเส้นทางที่เหมาะแก่การไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ จะไปไหว้พระทำบุญก็ได้ หรือจะถ่ายรูปก็มีมุมดี ๆ เพียบ สวยงามและน่าประทับใจไม่แพ้เมืองไหนในเอเชียเลยล่ะ เที่ยวง่าย ใช้เวลาเดินทางไม่นาน ผู้คนน่ารัก แถมค่าครองชีพยังไม่แพงด้วย ใครอยากวาร์ปไปเที่ยวต่างประเทศสักวันสองวันก็ลองตามรอยเที่ยวเส้นทางนี้กันนะ :)
เกร็ดท่องเที่ยวย่างกุ้ง
- ประเทศเมียนมา เป็นหนึ่งในประเทศที่คนไทยสามารถไปเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า (ทางอากาศยานเท่านั้น) และยังสามารถพำนักได้นานถึง 14 วัน
- เมื่อเดินทางท่าอากาศยานนานาชาติย่างกุ้ง ไม่ต้องเขียนใบ Arrival Card เดินถือพาสปอร์ตเข้าไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองได้เลย
- การเดินทางท่องเที่ยวในย่างกุ้ง จะมีรถประจำทางให้บริการถึงยังจุดสำคัญทั่วเมือง แต่ถ้าเร่งรีบหรือสัมภาระเยอะก็มีแท็กซี่ให้บริการ สามารถเรียกเองได้ หรือจะให้ทางโรงแรมเรียกให้ก็ได้
- คนเมียนมาพูดภาษาอังกฤษได้เยอะมาก บางคนก็พูดภาษาไทยได้ด้วย เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องการสื่อสาร
- เวลาที่ย่างกุ้งจะช้ากว่าเวลาไทย 30 นาที
- เงินเมียนมาจะเรียกว่า จ๊าด ณ วันที่ 17 ตุลาคม 2562 1 บาท = 50.30 จ๊าด ส่วนมากในไทยจะไม่รับแลกเงินเมียนมา แต่สามารถไปแลกได้ที่สนามบินย่างกุ้ง หรือจะแลกเงินดอลลาร์สหรัฐไปก็ได้ ร้านค้าและสถานที่ต่าง ๆ รับเงินดอลลาร์สหรัฐแทบทั้งหมด แต่การจ่ายด้วยดอลลาร์ราคาอาจจะสูงกว่าการจ่ายด้วยเงินจ๊าด
- การเที่ยววัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ จะต้องแต่งกายสุภาพ เรียบร้อย ไม่รัดรูป ไม่สั้น ไม่เปิดไหล่ และต้องถอดรองเท้า ถุงเท้า และถุงน่องออกหมด แนะนำว่าให้ใส่รองเท้าแตะดีกว่า
- คนเมียนมาบางคนจะพอใจกับการถูกเรียกว่า เมียนมา (Myanmar) มากกว่า พม่า (Burma)
- ปลั๊กไฟส่วนใหญ่จะคล้ายกับบ้านเรา สามารถเสียบชาร์ตไฟได้เลยโดยไม่ต้องแปลงไฟ
- การข้ามถนนในย่างกุ้ง ต้องดูรถซ้าย-ขวาให้รอบคอบ และระลึกเสมอว่าเมียนมาขับรถพวงมาลัยซ้าย เพราะฉะนั้นให้ระวังรถทางฝั่งซ้ายก่อนเสมอ
- ซิมโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตสามารถซื้อได้ที่สนามบิน ราคาแตกต่างกันออกไปแล้วแต่แพ็กเกจ แต่เริ่มต้นเพียงแค่ราว ๆ 120 บาทเท่านั้น
- ร้านอาหารในย่างกุ้งมีให้เลือกหลากหลายแบบ ทั้งร้านอาหารทั่วไป ร้านอาหารในโรงแรม และร้านแนวสตรีตฟู้ด ใครอยากลองกินแบบสตรีตฟู้ดก็มีตลาดใกล้ ๆ กับท่าเรือให้เดินเลือกซื้อและลิ้มลอง แต่ต้องดูให้ดีว่าสะอาดพอหรือไม่ การเลือกซื้อน้ำดื่มก็เช่นกัน แนะนำให้เลือกแบบขวดที่ปิดฝามิดชิดดีกว่า
- ของฝากเมียนมาที่น่าสนใจ อาทิ โสร่งลายพื้นเมือง, หยกและหินพม่า, ขนมขบเคี้ยวประเภทธัญญาพืชและถั่วต่าง ๆ, แป้งทานาคา, ชานมเมียนมา, กาแฟจากรัฐฉาน และงานฝีมือ เป็นต้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Accorhotels, bangkokair.com, shwedagonpagoda.com