x close

ปิดอุทยาน 7 แห่ง เร่งฟื้น ปะการังฟอกขาว


ปะการังฟอกขาว
ปะการังฟอกขาว

ปะการังฟอกขาว
ปะการังฟอกขาว


ปิดอุทยาน 7 แห่ง เร่งฟื้น ปะการังฟอกขาว (ไทยโพสต์)


           อช.ประกาศปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเลทั้งฝั่งอันดามันและอ่าวไทยรวม 7 แห่งเฉพาะส่วนที่ปะการังตายเกิน 80% งดกิจกรรมดำน้ำพร้อมจับมือนักวิชาการฟื้นฟูปะการังเพาะเลี้ยงตัวอ่อนและสร้างแหล่งปะการัง เทียม คาดสถานการณ์รุนแรงขึ้นอีก
    
          เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช (อช.)แถลงแนวทางการจัดการปะการังในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวและตายจำนวนมาก โดยนายสุนันต์ อรุณนพรัตน์อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ประกาศปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน 7แห่งเฉพาะบริเวณที่เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวเกิน 80% ของพื้นที่โดยไม่อนุญาตให้มีกิจกรรมดำน้ำเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2554ซึ่งในช่วงนี้จะศึกษาความแตกต่างระหว่างพื้นที่งดดำน้ำกับพื้นที่ดำน้ำได้ว่า มีผลต่อสภาพแวดล้อมและการฟื้นตัวของปะการังอย่างไรรวมทั้งจะตั้งคณะกรรมการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการศึกษาเพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์แนวปะการังที่เสียหายจากสภาวะฟอกขาวให้กลับคืนสู่ความสมบูรณ์อีกครั้ง
    
           อุทยานแห่งชาติทางทะเลที่งดกิจกรรมดำน้ำ ได้แก่
   
          1. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ.พังงา บริเวณอ่าวไฟแว๊บและอีส ออฟ อีเด็น

          2. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ.พังงา บริเวณอ่าวสุเทพ อ่าวไม้งาม เกาะสตอร์ค หินกอง อ่าวผักกาด และแนวปะการังหน้าที่ทำการอุทยาน

          3. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี แนวปะการังบริเวณหินกลาง

          4.อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จ.ตรัง บริเวณเกาะเชือก

          5.  อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา จ.สตูล บริเวณเกาะบุโหลนไม้ไผ่ เกาะบุโหลนรังผึ้ง

          6. อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล บริเวณเกาะตะเกียง เกาะหินงาม เกาะราวี หาดทรายขาว เกาะดง

          7. อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร บริเวณเกาะมะพร้าว
    
          นายสุนันต์กล่าวว่าจากข้อเสนอของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้มีการปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเลฝั่งอันดามันทั้งหมดนั้น คงมีผลกระทบกับหลายฝ่ายอย่างแน่นอนกรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้พิจารณาทั้งด้านกายภาพของพื้นที่ เศรษฐกิจและสังคมและเชิญนักวิชาการที่เกี่ยวข้องจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆหัวหน้าอุทยานแห่งชาติทางทะเลทุกแห่งมาหารือในการแก้ไขปัญหาปะการังฟอกขาวซึ่งมีข้อสรุปว่าควรปิดพื้นที่ในส่วนที่ปะการังตายเกิน 80%ให้เป็นเขตหวงห้ามหากยังพบแหล่งปะการังเสียหายเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั้ง7 แห่งดังกล่าว ก็มอบให้หัวหน้าอุทยานแห่งชาติสั่งงดกิจกรรมดำน้ำได้ทันที
    
          "กรมอุทยานแห่งชาติฯ ได้ร่วมมือนักวิชาการสถาบันการศึกษาเพื่อร่วมกันเพาะเลี้ยงตัวอ่อนปะการังโดยเฉพาะปะการังเขากวางที่ตายมากที่สุดทำแปลงเลี้ยงปะการังเพิ่มขึ้นและสร้างปะการังเทียมให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ โดยในจุดที่ห้ามดำน้ำก็จะร่วมกันศึกษาปัญหาปะการังฟอกขาวซึ่งมีสาเหตุทั้งภาวะโลกร้อน การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและฝีมือมนุษย์นอกจากนี้ยังเตรียมจัดหาแหล่งดำน้ำใหม่เพื่อระบายนักท่องเที่ยวไม่ให้หนาแน่นเกิน ไป เนื่องจากคาดว่าปัญหาปะการังฟอกขาวคงจะเกิดขึ้นอีกและอยู่ในภาวะรุนแรงในขั้นวิกฤติ" อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ กล่าว
    
          นายสุนันต์กล่าวเพิ่มเติมว่า การฟอกขาวของปะการังเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุเช่น ปรากฏการณ์เอลนีโญ ส่งผลให้อุณหภูมิน้ำทะเลเปลี่ยนแปลงรังสีจากดวงอาทิตย์ แสงแดดและพายุ ตะกอนและความขุ่นของน้ำทะเลน้ำจืดเข้ามาปะปนน้ำทะเล สภาพสารและธาตุอาหารในน้ำทะเลสารเคมีหรือสารชีวภาพที่มนุษย์ใช้ในชีวิต ประจำวัน และเชื้อโรค เป็นต้น
   
           แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวในครั้งนี้เกิดจากภาวะโลกร้อน โดยอุณหภูมิน้ำทะเลสูงขึ้นประมาณ 1-2 องศาเซลเซียสส่งผลให้สาหร่ายซูแซนเทลลีที่อาศัยในปะการังทนอยู่ไม่ได้และหนีออกมาจากปะการัง ทำให้ปะการังกลายเป็นสีขาว ไม่มีสีสันคล้ายหินปูนเมื่อเกิดการฟอกขาวแล้ว ปะการังจะยังไม่ตายทันทีแต่จะอ่อนแอและมีชีวิตอยู่ได้อีก 2-3 สัปดาห์หากอุณหภูมิน้ำทะเลหรือสภาพแวดล้อมกลับคืนสู่สภาพสมบูรณ์ปะการังจะสามารถปรับสภาพและฟื้นตัวได้ ดังนั้นหากในช่วง 2-3สัปดาห์อุณหภูมิในสภาพอากาศลดลงหรือมีฝนตกลงมาก็จะช่วยให้อุณหภูมิน้ำทะเลลดลงเช่นกันมีโอกาสที่ปะการังจะกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ปิดอุทยาน 7 แห่ง เร่งฟื้น ปะการังฟอกขาว อัปเดตล่าสุด 27 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 17:50:21 1,160 อ่าน
TOP