x close

พินิจ กาญจนบุรี เมืองเก่าริมแม่น้ำแคว

สะพานข้ามแม่น้ำแคว

กาญจนบุรี

กาญจนบุรี (ททท.)

          คำขวัญ...แคว้นโบราณ ด่านเจดีย์ มณีเมืองกาญจน์ สะพานข้ามแม่น้ำแคว แหล่งแร่น้ำตก

          กาญจนบุรี คือดินแดนแห่งธรรมชาติ อันอุดมสมบูรณ์ด้วยผืนป่า พรรณไม้ โถงถ้ำ น้ำตก และประเพณีวัฒนธรรมอันหลากหลายของผู้คนหลากเชื้อชาติ ที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออารี ทั้งไทย พม่า มอญ ปากะญอ (กะเหรี่ยง) ฯลฯ ยิ่งไปกว่านั้น กาญจนบุรี ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเหตุการณ์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งมีอนุสรณสถานหลายแห่งปรากฏให้เห็นเป็นหลักฐาน เช่น สะพานข้ามแม่น้ำแคว สุสานทหารสัมพันธมิตร พิพิธภัณฑ์ช่องเขาขาด ฯลฯ ด้วยความหลากหลายของพื้นที่ และเรื่องราวที่สั่งสมอยู่ในจังหวัดชายแดนตะวันตกแห่งนี้ กาญจนบุรี จึงเป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทุกสไตล์ ทุกวัย และทุกฤดูกาล

          จังหวัดกาญจนบุรี มีเนื้อที่ประมาณ 12 ล้านไร่ หรือ 19,483 ตารางกิโลเมตร ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าและเทือกเขาสูง โดยมีแม่น้ำสายหลัก 2 สาย คือ แม่น้ำแควใหญ่และแม่น้ำแควน้อย ที่ไหลขนานลงมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำแม่กลองที่ตัวเมืองกาญจนบุรี

กาญจนบุรี

          ความเป็นมาของ กาญจนบุรี เท่าที่มีการค้นพบหลักฐานนั้น ย้อนไปได้ถึงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อมีการค้นพบเครื่องมือหินในบริเวณบ้านเก่า อำเภอเมืองฯ ล่วงมาถึงสมัยทวารวดี ซึ่งมีหลักฐานคือซากโบราณสถานที่ตำบลปรังเผล อำเภอสังขละบุรี เป็นเจดีย์ลักษณะเดียวกับจุลประโทนเจดีย์ที่จังหวัดนครปฐม บ้านคูบัว จังหวัดราชบุรี และเมืองอู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี รวมทั้งค้นพบโบราณวัตถุ เช่น พระพิมพ์สมัยทวารวดีจำนวนมาก สืบเนื่องต่อมาถึงสมัยพุทธศตวรรษที่ 16-18 หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบคือปราสาทเมืองสิงห์ ซึ่งมีรูปแบบศิลปะแบบขอม สมัยบายน

          ความเป็นมาของ กาญจนบุรี ยังปรากฏใน พงศาวดารเหนือว่า กาญจนบุรีเป็นเมืองขึ้นของสุพรรณบุรีในสมัยสุโขทัย ครั้นมาถึงสมัยอยุธยา กาญจนบุรี ก็มีฐานะเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญ จนกระทั่งถึงสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อมีการจัดรูปแบบการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล กาญจนบุรี ถูกโอนมาขึ้นกับมณฑลราชบุรี และยกฐานะเป็นจังหวัดกาญจนบุรีในปี พ.ศ. 2467

          เหตุการณ์ที่ทำให้ กาญจนบุรี มีชื่อเสียงไปทั่วโลก คือช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อญี่ปุ่นตัดสินใจสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ จากชุมทางหนองปลาดุกในประเทศไทย ไปยังเมืองทันบีอูซายัตในพม่า โดยเกณฑ์เชลยศึกและแรงงานจำนวนมาก มาเร่งสร้างทางรถไฟอย่างหามรุ่งหามค่ำ จนทำให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ทั้งจากความเป็นอยู่ที่ยากแค้น และโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้า ซึ่งภาพและเรื่องราวของความโหดร้ายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ปรากฏอยู่ในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งในกาญจนบุรี

สังขละบุรี

สถานที่ท่องเที่ยวกาญจนบุรี

          จังหวัดกาญจนบุรีมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติ และการผจญภัย เช่น อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ โบราณสถานพงตึกและวัดดงสัก เจดีย์ยุทธหัตถี สะพานข้ามแม่น้ำแคว สุสานทหารสัมพันธมิตร บ้านหนองขาว บ้านมอญ อำเภอสังขละบุรี อุทยานแห่งชาติไทรโยค อุทยานแห่งชาติเอราวัณ อุทยานแห่งชาติถ้ำลำคลองงู ฯลฯ

กาญจนบุรี

สะพานข้ามแม่น้ำแคว

          ตั้งอยู่ที่ตำบลท่ามะขาม ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือตามทางหลวงหมายเลข 323 ประมาณ 4 กิโลเมตร แยกซ้ายประมาณ 400 เมตร มีป้ายชี้บอกทางไว้ชัดเจน เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดาและนิวซีแลนด์ประมาณ 61,700 คนและกรรมกรชาวจีน ญวน ชวา มลายู ไทย พม่า อินเดียอีกจำนวนมาก มาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่า ซึ่งเส้นทางช่วงหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำแควใหญ่ จึงต้องมีการสร้างสะพานขึ้น การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก ความทารุณของสงครามและโรคภัย ตลอดจนการขาดแคลนอาหาร ทำให้เชลยศึกจำนวนหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลงที่ สะพานข้ามแม่น้ำแคว

          มีบริการรถราง fairmong ทุกวัน วันธรรมดาจะมีตั้งแต่เวลา 08.00-10.00 น., 11.30-14.00 น., 15.00-16.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00-10.00 น., 11.30-14.00 น. ค่าโดยสารคนละ 20 บาท สอบถามรายละเอียดที่ สถานีรถไฟกาญจนบุรี โทร. 0 3451 1285
 
          ทางรถไฟสายมรณะ ทางรถไฟสายนี้เริ่มต้นจากสถานีหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ผ่านจังหวัดกาญจนบุรี ข้ามแม่น้ำแควใหญ่ไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อให้ถึงปลายทางที่เมืองตันบูซายัด ประเทศพม่า รวมระยะทางในเขตประเทศไทย 300 กิโลเมตร ใช้เวลาในการสร้างเสร็จเพียง 1 ปี ตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ.2485 ถึงเดือนตุลาคม พ.ศ.2486 เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า หลังสงครามทางรถไฟบางส่วนถูกเลาะทิ้ง บางส่วนจมอยู่ใต้ทะเลสาบเขื่อนเขาแหลม  ทางรถไฟสายนี้ถือเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงเหตุการณ์สงครามในครั้งนั้น จากน้ำพักน้ำแรงของการบุกเบิกก่อสร้าง ของทหารเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มา

          ทิวทัศน์ตลอดเส้นทางนี้สวยงามมาก โดยเฉพาะบริเวณถ้ำกระแซ ที่เส้นทางรถไฟจะลัดเลาะไปตามเชิงผาเลียบไปกับลำน้ำแควน้อย ปัจจุบันทางรถไฟสายนี้สุดปลายทางที่บ้านท่าเสาหรือสถานีน้ำตก ระยะทางจากสถานีกาญจนบุรีถึงสถานีน้ำตกประมาณ 77 กิโลเมตร การรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดบริการเดินรถบนเส้นทางสายนี้ทุกวัน และจัดรถไฟขบวนพิเศษสายกรุงเทพฯ-น้ำตก ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 1690 หรือ 0 2621 8701-9 หรือ www.railway.co.th

เหมืองปิล็อก

          ตั้งอยู่ในตำบลปิล็อก ซึ่งอยู่ห่างจากอำเภอทองผาภูมิไปทางทิศตะวันตกประมาณ 70 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข 3272 เคยมีการทำเหมืองแร่ดีบุก วุลเฟรม กันมากบนเทือกเขาตะนาวศรี ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างไทยกับพม่า มีอากาศดีโดยเฉพาะฤดูหนาว

สุสานทหารสัมพันธมิตรดอนรัก (Kanchanaburi War Cemetery)

          ตั้งอยู่ใจกลางเมือง หลังสถานีรถไฟกาญจนบุรี ห่างจากศูนย์กลางจังหวัดกาญจนบุรีประมาณ 2 กิโลเมตร ในเขตบ้านดอนรัก ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมืองกาญจนบุรี เป็นสุสานของเชลยศึกสัมพันธมิตร ที่เสียชีวิตระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะ เนื่องจากการเกณฑ์ทหารสัมพันธมิตรมาสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์ ผ่านกาญจนบุรีไปเมียนมาร์ของกองทัพญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นเหตุให้เชลยศึกพันธมิตรเสียชีวิตที่กาญจนบุรีเป็นจำนวนมาก สุสานแห่งนี้บรรจุกระดูกของทหารสัมพันธมิตร จำนวน 6,982 หลุม สุสานแห่งนี้มีพื้นที่ประมาณ 17 ไร่

ช่องเขาขาด พิพิธภัณฑสถานแห่งความทรงจำ

          ช่องเขาขาด หรือ ช่องไฟนรก (Hellfire Pass) ตั้งอยู่ห่างจากจังหวัดกาญจนบุรี 80 กิโลเมตร เป็นช่องเปิดที่เกิดจากการขุดเจาะภูเขา อยู่บนเส้นทางรถไฟสายมรณะ เพื่อลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพล เพื่อไปโจมตีพม่าและอินเดีย ซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนอาณานิคมของอังกฤษ ก่อสร้างโดยทหารญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยใช้แรงงานจากเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ส่วนใหญ่เป็นชาวออสเตรเลีย

          ช่องเขาขาด มีความยาวกว่า 110 เมตร สูงชัน 17 เมตร เป็นช่องเปิดที่ใหญ่ที่สุดของทางรถไฟสายนี้ การขุดเจาะเริ่มต้นเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2486 แต่งานล่าช้ากว่ากำหนดจึงต้องเร่งงาน โดยแรงงานแต่ละกะจะต้องทำงาน 18 ชั่วโมง ในการทำงานเวลากลางคืนจะต้องใช้แสงไฟจากคบเพลิงและกองเพลิง ซึ่งเงาสะท้อนของเชลยศึกและผู้คุมที่กระทบวูบวาบบนผนังช่องเขา ทำให้ช่องเขานี้ได้รับการขนานนามว่า "ช่องไฟนรก" (Hellfire Pass) ทหารญี่ปุ่นเรียกช่องเขานี้ว่า ช่องเขา "โคเนียว" (Konyu cutting)

          สำนักงานสุสานทหารแห่งกระทรวงการทหารผ่านศึกออสเตรเลีย ร่วมกับกองทัพบกไทย ได้ก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ขึ้นบริเวณเชิงผาเหนือช่องเขาขาด จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง เปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2539 และในวันที่ 25 เมษายนของทุกปี จะมีการประกอบพิธีรำลึกเชลยศึกผู้เสียชีวิต ณ บริเวณช่องเขาขาดแห่งนี้

สังขละบุรี

          เมืองบาดาล เป็นบริเวณชุมชนเก่าของสังขละบุรี ถูกน้ำเข้าท่วมในช่วงที่สร้างเขื่อนเขื่อนวชิราลงกรณ ทำให้จมอยู่ใต้น้ำมานานกว่า 30 ปีแล้ว โดยในช่วงน้ำลดจะสามารถสังเกตเห็นตัวโบสถ์ของวัดได้อย่างชัดเจน

          สะพานมอญ อยู่ในตัวอำเภอสังขละบุรี เขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สะพานอุตตมานุสรณ์ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยมีความยาวถึง 850 เมตร เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาว 850 เมตร สร้างข้ามลำน้ำซองกาเลีย ซึ่งสร้างโดยแรงศรัทธาจากชาวมอญ

          วัดวังก์วิเวการาม อยู่เลยจากตัวอำเภอสังขละบุรีไปประมาณ 6 กิโลเมตร เป็นวัดจำพรรษาของ "หลวงพ่ออุตตมะ" ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนชาวไทย ชาวมอญ รวมทั้งชาวกระเหรี่ยงและพม่า

อุทยานแห่งชาติเอราวัณ

          เดิมมีชื่อว่า อุทยานแห่งชาติเขาสลอบ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น อุทยานแห่งชาติเอราวัณ เนื่องจากชั้นสูงสุดของน้ำตกเป็นธรรมชาติ ที่มีลักษณะคล้ายหัวช้างเอราวัณ นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 12 ของประเทศ มีลักษณะพื้นที่เป็นภูเขาสูงชันอยู่สูง จากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 165-996 เมตร สลับกับพื้นที่ราบ ประกอบด้วยเทือกเขาที่สำคัญคือ เขาหนองพุก เขาปลายดินสอ เขาหมอเฒ่า เขาช่องปูน เขาพุรางริน และเขาเกราะแกระ ซึ่งเป็นยอดเขาสูงสุดประมาณ 996 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง

          เทือกเขาเหล่านี้เป็นต้นกำเนิดของลำห้วยที่สำคัญหลายสาย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ในพื้นที่ด้านตะวันออกนี้จะมีลำห้วยที่สำคัญคือ ห้วยม่องไล่ และห้วยอมตะลา ซึ่งไหลมาบรรจบกันกลายมาเป็น น้ำตกเอราวัณ ทางตอนเหนือของพื้นที่มีห้วยสะแดะและห้วยหนองกบ โดยห้วยสะแดะจะระบายน้ำลงสู่ เขื่อนศรีนครินทร์ ส่วนห้วยหนองกบไหลไปรวมกับห้วยไทรโยคก่อให้เกิด น้ำตกไทรโยค ส่วนในพื้นที่ด้านตะวันตก และด้านใต้ ได้แก่ ห้วยทับศิลา ห้วยเขาพังซึ่งเป็นต้นกำเนิดน้ำตกที่สวยงามที่เรียกว่า "น้ำตกเขาพัง" หรือน้ำตกไทรโยคน้อย

          อุทยานแห่งชาติเอราวัณ เป็นอุทยานที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามหลายแห่ง โดยเฉพาะ น้ำตกเอราวัณ ที่มีสีฟ้า-เขียวที่สวยงาม เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ เดิมมีชื่อว่า น้ำตกสะด่องม่องลาย ตามชื่อ ลำห้วยม่องล่าย ซึ่งเป็นต้นน้ำของน้ำตกที่เกิดจากยอดเขาตาม่องล่ายใน เทือกเขา สลอบ สายน้ำจะไหลมาตามชั้นหินเป็นระยะทางประมาณ 1,500 เมตร แบ่งออกเป็นชั้นใหญ่ ๆ ได้ 7 ชั้น แต่ละชั้นมีความสวยงามร่มรื่นไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ทั้งเถาวัลย์พันเกี่ยวทอดตัวไปบนต้นไม้ใหญ่ กล้วยไม้ป่าหลายชนิดบนคาคบไม้ สายธารน้ำที่ไหลตกลดหลั่นลงมาบนโขดหินสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง ในชั้นที่ 7 อันเป็นชั้นบนสุดของน้ำตก เมื่อมีน้ำตกไหลบ่าจะมีรูปคล้ายหัวช้างเอราวัณ จนคนทั่วไปรู้จักและขนานนามว่า "น้ำตกเอราวัณ"



          ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวแต่ละแห่ง นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเที่ยวได้ด้วยตัวเอง และสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ของอุทยานแห่งชาติเอราวัณนำเที่ยวได้ สถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ ถ้ำพระธาตุ เป็นถ้ำมืดขนาดใหญ่ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 790 เมตร อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ประมาณ 12 กิโลเมตร ทางเข้าถ้ำพระธาตุ ห่างจากทางแยกเข้าเขื่อนศรีนครินทร์มาตามทางเลียบแนวเขื่อนประมาณ 7 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงที่ตั้งถ้ำพระธาตุ ปากถ้ำมีขนาดเล็กแต่ตัวถ้ำภายในกว้างใหญ่ ลึกถึง 200 เมตร มีหินงอกหินย้อยเป็นรูปทรงต่าง ๆ ตามแต่ผู้พบเห็นจะจินตนาการ มีความสวยงามมาก ภายในถ้ำแบ่งเป็น 5 ห้อง ได้แก่ กบจำศีล ท้องฟ้าจำลอง เสาเอก ม่านลิเก และระฆัง อากาศภายในถ้ำโปร่งสบาย

          ถ้ำเรือ เริ่มจากซอยสามัคคี ธรรม 10 ข้ามคลองตะเคียนไปประมาณ 100-200 เมตร จะมีทางเลี้ยวขวา ซึ่งรถยนต์จะสามารถแล่นเข้าไปได้ประมาณ 200-300 เมตร จากนั้นต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะถึงถ้ำเรือ ซึ่งเป็นถ้ำที่มีความลึกประมาณ 40-50 เมตร ไม่มีหินงอกหรือหินย้อย แต่จุดเด่นอยู่ที่มีภาชนะที่ใช้รองน้ำสมัยโบราณวางอยู่ ภาชนะนั้นทำจากไม้ทั้งต้นมาเจาะให้มีลักษณะคล้ายเรือ ส่วนหัวได้ตกแต่งเป็นรูปหัวคน มีตา จมูก และหู 2 ข้าง ซึ่งจะช่วยค้ำไม่ให้พลิกเอียง ปัจจุบันสภาพของภาชนะนั้น แตกหักเหลือที่สมบูรณ์เพียงไม่กี่อัน และมีมูลค้างคาวตกปกคลุมเป็นส่วนใหญ่



          ถ้ำวังบาดาล อยู่ห่างจากที่ทำ การอุทยานแห่งชาติประมาณ 54 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 323 ตรงหลักกิโลเมตรที่ 63 เลี้ยวขวาเข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตร ถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ อว. 3 (วังบาดาล) แล้วเดินทางต่อไปอีก 1 กิโลเมตร จะถึงปากถ้ำ ลักษณะของถ้ำวังบาดาล เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ ปากทางเข้าเป็นห้องเล็ก ๆ มีหลายห้อง ห้องชั้นล่างมีน้ำไหลผ่านและมีสัตว์น้ำอาศัยอยู่ด้วย นอกจากนี้แต่ละห้องยังมีความงามของหินงอกหินย้อย เช่น ห้องม่านพระอินทร์ จะมีลักษณะหินย้อยลงมาคล้ายกับม่าน ห้องเข็มนารายณ์ มีลักษณะคล้ายเข็มแท่งใหญ่ซึ่งวิจิตรงดงามมาก



          ถ้ำหมี เป็นถ้ำขนาดใหญ่มี อากาศถ่ายเทพอควร จากคำบอกเล่าของชาวบ้านว่า ในอดีตถ้ำนี้เป็นที่อยู่ของหมี ทำให้เรียกกันต่อ ๆ มาว่า "ถ้ำหมี" ภายในถ้ำแบ่งเป็นห้องลดหลั่นเป็นชั้น ๆ ได้ 5 ห้อง แต่ละห้องจะปรากฏรูปร่างและสีแปลกตา มีหินงอกหินย้อยตามผนังถ้ำสวยงามพอสมควร สามารถเดินทางจากจังหวัดกาญจนบุรีไปก่อนถึงเขื่อนท่าทุ่งนาประมาณ 1 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปทางอำเภอไทรโยคจนถึงทางเข้าบ้านทับศิลา บริเวณหลักกิโลเมตร ที่ 10 แล้วเดินทางไปตามทางลูกรังอีก 500 เมตร จะถึงบ้านทับศิลาและเข้าซอยสามัคคีธรรม 10 จนถึงคลองตะเคียน จากจุดนี้เดินเท้าไปตามเส้นทางชักลากไม้เก่าต่อไปอีก 7 กิโลเมตร





          น้ำตกผาลั่น เป็นน้ำตกชั้นเดียวจะมีน้ำเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น ถ้ำตาด้วง เริ่มจากจังหวัด กาญจนบุรีไปตามเส้นทางที่จะไปเขื่อนศรีนครินทร์ จนถึงบ้านโป่งปัด แล้วเลี้ยวซ้ายไปยังอำเภอไทรโยคประมาณ 2 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวาเข้าหมู่บ้าน ซึ่งจะเป็นทางติดกับแม่น้ำแคว และสามารถเข้าไปยังด้านหลังเขื่อนท่าทุ่งนาได้ ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงเชิงเขาที่มีถ้ำตาด้วง จากนั้นต้องเดินขึ้นเขาซึ่งค่อนข้างชันมากไปอีก 700-800 เมตร มีภาพเขียนอยู่ที่ผนังปากถ้ำเป็นรูปคนและต้นไม้ นอกจากนี้ยังพบเศษเครื่องใช้สมัยโบราณยุคหินใหม่ เช่น เศษถ้วย ไห เป็นต้น

อุทยานมัจฉาวังสังกะวาส


          อุทยานแห่งนี้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนทั่วไป ที่นิยมมาให้อาหารปลา เวลากลางวันจะพบปลาตะเพียน ในเวลาหนึ่งทุ่มเป็นต้นไปจึงจะพบปลาสังกะวาสซึ่งนับวันจะหาดูได้ยาก

เขื่อนวชิราลงกรณ

          เขื่อนหินถมดาดหน้าด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กสูง 92 เมตร สันเขื่อนกว้าง 10 เมตร ยาว 1,019 เมตร กั้นลำน้ำแควน้อย เป็นเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำเอนกประสงค์ มีความสวยงามตามธรรมชาติ บริเวณเหนือเขื่อนมีทิวทัศน์สวยงาม เหมาะสำหรับการล่องเรือชมทิวทัศน์สภาพธรรมชาติของอ่างเก็บน้ำ และสามารถชมสวนมะพร้าวกะทิบนเกาะกลางน้ำ ซึ่งต้องนั่งเรือจากเขื่อนไป 1 ชั่วโมง

          เขื่อนวชิราลงกรณ อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 278 กิโลเมตร การเดินทางโดยรถยนต์ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ใช้เส้นทางถนนสายเพชรเกษมหรือสายพุทธมณฑล เข้าสู่จังหวัด กาญจนบุรี แล้วเดินทางต่อไปตามทางหลวงหมายเลข 323 มุ่งสู่อำเภอทองผาภูมิ เป็นระยะทาง 130 กิโลเมตร ก็จะถึงอำเภอทองผาภูมิ จากทองผาภูมิไปยังเขื่อนอีกประมาณ 20 กิโลเมตร

เขื่อนศรีนครินทร์

          เขื่อนศรีนครินทร์ อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 70 กิโลเมตร บนทางหลวงสาย 3199 (กาญจนบุรี-ศรีสวัสดิ์) อยู่ห่างจากน้ำตกเอราวัณ ประมาณ 4 กิโลเมตร ทางตอนบนของแม่น้ำแควใหญ่ เป็นเขื่อนหินถมแกนดินเหนียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย กั้นแม่น้ำแควใหญ่

อุทยานแห่งชาติไทรโยค

          มีเนื้อที่ 598,750 ไร่ ประกาศเป็นอุทยานฯ เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2523 สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาหินปูน ประกอบด้วยพื้นที่ป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง ไทรโยค ได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่แห่งเดียวในประเทศไทย ที่มีค้างคาวที่เล็กที่สุดในโลก คือ ค้างคาวกิตติ และ ปูราชินี ปูน้ำจืดชนิดใหม่ของโลกอาศัยอยู่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทรโยคเคยเป็นค่ายพักแรมของทหารญี่ปุ่น ปัจจุบันปรากฎร่องรอยเตาหุงข้าวและซากเตาไฟอยู่ในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังพบร่องรอยมนุษย์ยุคหินเก่า

อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ


          ตั้งอยู่พรมแดนไทย-พม่า อุดมด้วยป่าดิบ ปกคลุมด้วยหมอกเกือบตลอดทั้งปี และมีที่พักบนต้นไม้ เรียกว่า บ้านทาร์ซาน อยู่ห่างจากอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณ 175 กิโลเมตร การเดินทางจากอำเภอเมืองไปยังพื้นที่ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินสาย 323 ถึงอำเภอทองผาภูมิ หลังจากนั้นเดินทางต่อโดยใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินสาย 3272 จนถึงพื้นที่สำรวจ ซึ่งที่ทำการอุทยานฯชั่วคราวตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้านห้วยปากคอก อยู่ห่างจากอำเภอทองผาภูมิเป็นระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน แนวเขาวางตัวในแนวทิศเหนือ-ใต้ เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาตะนาวศรี มีพื้นที่ราบลุ่มเป็นจำนวนน้อย

          ความสูงของพื้นที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 100-1,249 เมตร มี เขาช้างเผือก ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของพื้นที่เป็นยอดเขาสูงสุด สูง 1,249 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ยอดเขาที่สำคัญ ได้แก่ เขาช้างเผือก เขานิซา เขาพุถ่อง เขาด่าง เขาปาก ประตู เขาเลาะโล เขาประหนองโทคี เขาชะโลง ฯลฯ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของลำห้วยต่าง ๆ โดยไหลลงสู่ที่ราบทิศตะวันออกลงสู่ เขื่อนเขาแหลม และลำน้ำอีกส่วนไหลลงสู่แม่น้ำแควน้อย

          สถานที่ท่องเที่ยวได้น่าสนใจ ได้แก่ จุดชมทิวทัศน์ กม. 15 อยู่บริเวณหลักกิโลเมตร ที่ 15 ถนนสายบ้านไร่-อีต่อง จุดชมทิวทัศน์แห่งนี้อยู่ริมถนนพอดี อากาศที่นี่เย็นสบาย เราสามารถมองเห็นทิวทัศน์ต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย ทิวทัศน์อ่างเก็บน้ำของเขื่อนเขาแหลมเป็นจุดที่น่าสนใจที่สุด เพราะมีความสวยงามประทับตาต้องใจของผู้ที่ไปเที่ยวชมเป็นอย่างมาก การเดินทางใช้เส้นทางสายบ้านไร่อีต่อง

          จุดชมทิวทัศน์เขาขาด เป็นจุดชมทิวทัศน์ ที่อยู่บนยอดเขาสูง มีกระแสลมพัดผ่านตลอดเวลา อากาศบริสุทธิ์และเย็นสบาย จากการสำรวจได้พบว่า จุดชมทิวทัศน์แห่งนี้มีความสวยงามมาก เมื่อเราไปอยู่บนจุดนี้แล้วเราสามารถมองเห็นทิวทัศน์ต่าง ๆ ได้รอบตัว อันดับแรกเราจะได้เห็น น้ำตกจ๊อกกระดิ่น ที่มีสายน้ำไหลผ่านหน้าผาสูงลงสู่ พื้นล่างแล้วแตกกระจายออกมา กลายเป็นกลุ่มไอน้ำลอยตัวขึ้นมาจากพื้นล่างน่า ประทับใจเป็นยิ่งนัก จะมองเห็นหมู่บ้านอีต่อง หมู่บ้านหินกอง เนินเสาธง ทิวทัศน์ในประเทศสหภาพพม่า และเมื่อใดท้องฟ้าเปิดก็จะมองเห็นท้องทะเล อันดามันได้ด้วยตาเปล่า การเดินทางค่อนข้างลำบาก จะต้องเดินทางด้วยเท้าตลอดจากปากทางเข้า ที่ระหว่างหลักกิโลเมตร ที่ 24–25 ของถนนสายบ้านไร่อีต่อง เป็นระยะประมาณ 2 กิโลเมตร
   
          ถ้ำเขาน้อย ภายในถ้ำได้มีผู้นำ เอาพระพุทธรูปไปประดิษฐ์สถานไว้ ให้ผู้ที่เข้าไปเที่ยวได้สักการะบูชา เราจะพบเห็นหินย้อยรูปร่างแตกต่างกันออกไปอยู่ทั่ว ๆ ไปภายในถ้ำนี้การเดินทางสะดวกสบาย สามารถนำรถยนต์เข้าไปถึงพื้นที่ได้เลย น้ำตกเขาใหญ่ อยู่ในท้องที่หมู่ บ้านอีต่อง หมู่ที่ 1 ตำบลบิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีชั้นใหญ่ๆ อยู่ 3 ชั้นด้วยกัน ในแต่ละชั้นมีความสูงและความแตกต่างกันออกไป มีแอ่งน้ำใหญ่มากมายตลอดลำน้ำ น้ำใสและเย็น การเดินทางไปสู่น้ำตกนี้ค่อนข่างลำบาก ในฤดูฝนรถยนต์ไม่สามารถเข้าไปได้จะต้องเดินเท้าแทน อยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 4 กิโลเมตร

          น้ำตกจ๊อกกระดิ่น เป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีชั้นเดียว แต่มีความสวยงามมากเพราะว่าสายน้ำตกที่ไหลผ่านหน้าผาสูงประมาณ 30 เมตร ลงสู่พื้นล่าง แล้วแตกกระจายออกมากลายเป็นกลุ่มไอน้ำลอยตัวขึ้นมาจากพื้นล่าง ซึ่งมีความสวยงามมาก น้ำใส และเย็น การเดินทางไปสู่น้ำตกนี้ค่อนข้างลำบาก คือ จะต้องเดินทางเท้าได้อย่างเดียว รถยนต์ไม่สามารถเข้าไปได้ทั้งฤดูฝนและฤดูแล้ง อยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 2 กิโลเมตร น้ำตกน้ำดิบใหญ่ อยู่ทางตอนล่างของ น้ำตกเขาใหญ่ โดยสายนั้นของน้ำตกน้ำดิบใหญ่นี้ไหลไปรวมกับสายน้ำของน้ำตกเขาใหญ่ มีน้ำไหลตลอดทั้งปี สภาพป่าในบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์มาก และเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด การเดินทางใช้เส้นทางเดียวกับน้ำตกเขาใหญ่

          น้ำตกปิเต็ง เป็นน้ำตกที่มีน้ำ ไหลตลอดปี มีแอ่งน้ำน้อยใหญ่จำนวนมากเหมาะแก่การที่จะไปพักผ่อนและเล่นน้ำ อากาศเย็นสบาย สภาพป่าในบริเวณนี้มีความอุดมสมบูรณ์มาก ต้นไม้ขนาดใหญ่มีให้เราเห็นอยู่ทั่วไป และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด การเดินทางไปสู่น้ำตกแห่งนี้ค่อนข้างลำบาก ในฤดูแล้งสามารถนำรถยนต์เข้าไปได้ แต่ไปไม่ถึงน้ำตกจะต้องเดินทางอีกสักนิด หน่อยถึงจะไปถึงน้ำตก ส่วนในฤดูฝนไม่สามารถนำรถยนต์เข้าไปได้ จะต้องเดินทางเท้าอย่างเดียวอยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 12 กิโลเมตร แต่เนื่องจากเส้นทางสาย น้ำตกปิเต็ง เป็นเส้นทางอันตราย มีความลาดชันมาก คดเคี้ยว ใกล้ชายแดนประเทศเมียนม่าร์ และอ่อนไหวต่อการถูกรบกวน หรือทำลายทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และเพื่อเป็นการคุ้มครองทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า จึงห้ามมิให้บุคคลนำยานพาหนะเข้า-ออกในเส้นทางน้ำตกปิเต็ง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

          น้ำตกหวยเหมือง เป็นน้ำตกที่มีน้ำ ไหลตลอดทั้งปี สภาพป่าในบริเวณนี้บางส่วนถูกทำลาย เพราะพื้นที่บางส่วนอยู่ในเขตสัมปทานให้ทำเหมืองแร่ มีความสวยงาม และยังพบถ้ำในบริเวณนี้อีก การเดินทางใช้เส้นทางร่วมกัน เส้นทางที่บริษัทที่ได้สัมปทานทำเหมืองแร่ได้ทำไว้ โดยเป็นทางลูกรังอยู่ห่างจากหมู่บ้านอีปู่ประมาณ 25 กิโลเมตร

          เนินเสาธง
เป็นพื้นที่ยอดเขาที่กั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศสหภาพพม่า โดยที่ทางการทหารไทยได้จัดตั้งเสาธงพร้อมติดธงชาติไทยขนาดใหญ่ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า พื้นที่นี้เป็นจุดพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศสหภาพพม่า ทางการทหารไทยจึงได้ให้ชื่อพื้นที่แห่งนี้ว่า "เนินเสาธง" และได้อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปเข้าเที่ยวชมได้ โดยมีกำลังของทหารไทย และกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดนของไทยรักความปลอดภัยให้ตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อเราอยู่บนเนินเสาธงนี้แล้ว เราจะได้พบกับบรรยากาศเย็นสบาย อากาศสดชื่นแสนบริสุทธิ์สามารถมองลงเห็นทิวทัศน์ได้รอบตัวเรา ทั้งทิวทัศน์ที่สวยงามในประเทศไทยและทิวทัศน์ในประเทศสหภาพพม่า และเมื่อวันใดท้องฟ้าเปิดเราก็จะได้เห็นท้องทะเลอันดามันได้อีกด้วย

อุทยานแห่งชาติเขาแหลม

          ห่างจากตัวเมืองประมาณ 180 ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 323 (ทองผาภูมิ-สังขละบุรี) กิโลเมตรที่ 39-40 ก่อนถึงอำเภอสังขละบุรีประมาณ 30 กิโลเมตร พื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอทองผาภูมิและอำเภอสังขละบุรี ป่าเขา และอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ์ (เขาแหลม) เป็นต้น มีพื้นที่ประมาณ 815 ตารางกิโลเมตร บริเวณอุทยานฯ ร่มรื่น มีห้วยกระเต็งเจ็งไหลผ่าน สามารถกางเต็นท์พักแรมได้ และมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติไปน้ำตกกระเต็งเจ็ง

          อุทยานแห่งชาติเขาแหลม เป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของแนวเทือกเขาตะนาวศรี ที่มีเทือกเขาสลับซับซ้อน ทอดตัวตามแนวเหนือใต้ มีความสูงประมาณ 100-1,700 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ยอดเขาที่สูงที่สุดคือ เขาใหญ่ มีความสูงประมาณ 1,767 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ส่วนที่เป็นพื้นน้ำของอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนเขาแหลม ซึ่งการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้สร้างขึ้นในปี 2522 และได้กักเก็บน้ำเป็นครั้งแรกในปี 2527 โดยกกเก็บน้ำในระดับปกติ 155 เมตร และสูงสุด 160.5 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง คิดเป็นพื้นที่ผิวน้ำ ประมาณ 388 ตารางกิโลเมตร หรือร้อยละ 25.92 ของพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม

          สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่ จุดชมทิวทัศน์ป้อมปี่ อยู่ริมอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ประมาณ 2 กิโลเมตร ลักษณะทั่วไป เป็นพื้นที่อยู่ริมอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ สามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามเหนืออ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ ทั้งยังเป็นจุดชมวิวที่สามารถชมความงามของพระอาทิตย์ตก ในยามเย็นได้อีกด้วย และมีบ้านพักไว้บริการนักท่องเที่ยวจำนวน 4 หลัง และจุดกางเต็นท์บนสนามหญ้าอันอ่อนนุ่ม เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ กางเต็นท์พักแรม สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบกิจกรรมทางน้ำ สามารถเล่นน้ำ พายเรือ นั่งเรือชื่นชมความสวยงามของอ่างเก็บน้ำได้ การเดินทางเข้าถึง จาก จังหวัดกาญจนบุรี เดินทางตามถนนหลวงหมายเลข 323 กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ-สังขละบุรี บริเวณกิโลเมตรที่ 40 - 41 มีทางแยกเลี้ยวซ้าย มีป้ายบอกหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติป้อมปี่ เข้าไปอีกประมาณ 1.3 กิโลเมตร

          จุดชมทิวทัศน์ห้วยเขย่ง อยู่ด้านขวา มือทางหลวงจังหวัดหมายเลข 3272 สายกาญจนบุรี - ทองผาภูมิ - ปิล๊อก ตรงกิโลเมตรที่ 14 หมู่บ้านร่วมใจ หมู่ที่ 8 ตำบลห้วยเขย่ง อำเภอทองผาภูมิ (อยู่เลยอำเภอทองผาภูมิไปประมาณ 14 กิโลเมตร) เป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ (ห้วยเขย่ง) ทางอุทยานฯ ได้จัดเตรียมสถานที่กางเต็นท์ ห้องน้ำ - ห้องสุขา ร้านค้าสวัสดิการ แพพักสำหรับผู้ที่สนใจ เหมาะแก่การพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติ และชื่นชมความงดงามของอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ (เขื่อนเขาแหลม)

          จุดชมวิวเขาใหญ่ เป็นยอดเขาสูง ประมาณ 1,450 เมตร จากระดับน้ำทะเล เหมาะสำหรับเป็นพื้นที่กางเต็นท์พักแรม เพื่อชมทะเลหมอกยามเช้าที่สวยงาม และทุ่งหญ่าอันกว้างใหญ่และสวยงานยามต้องแสงอาทิตย์ ทุ่งหญ้าจะกลายเป็นสีทอง อีกทั้งยังสามารถชมทัศนียภาพของและอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ และชมพระอาทิตย์ตกได้ สถานที่แห่งนี้ห่างจากตัวที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาแหลมประมาณ 10 กิโลเมตร จากถนนสายหลักจะมีทางลาดยางเข้าไปประมาณ 4 กิโลเมตร และต้องใช้เส้นทางเดินเท้าเข้าไปอีก 5 กิโลเมตร จัดทำเป็นเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ในรูปแบบการผจญภัย โดยจัดเป็นทริปสั้น ๆ ใช้ระยะเวลาประมาณ 2 วัน 1 คืน

          ถ้ำเกริงกะเวีย เป็นถ้ำที่อยู่ทางตอนเหนือของบ้านเกริงกะเวีย มีหินงอกหินย้อยและธารน้ำไหลผ่าน ภายในถ้ำสวยงามมาก มีความลึกประมาณ 300-400 เมตร อยู่ห่างจากอำเภอทองผาภูมิ 40 กิโลเมตร น้ำตกกระเต็งเจ็ง อยู่หลังที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาแหลม เดินเข้าไปยังน้ำตก 4 กิโลเมตร ทางผ่านไปท่ามกลางป่าดิบชื้นที่สมบูรณ์ เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่เล็ก เถาวัลย์ ระหว่างทางมีนกป่าให้ดูหลายชนิด น้ำตกกระเต็งเจ็ง เป็นน้ำตกขนาดกลางที่มีความยาวของชั้นน้ำตกถึง 23 ชั้น แต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกันไป ระยะทางจากชั้นแรกถึงชั้นสุดท้ายประมาณ 3 กิโลเมตร น้ำตกชั้นสุดท้ายสูงประมาณ 30 เมตร เหมาะกับการเดินป่าศึกษาธรรมชาติของสภาพป่าชนิดต่าง ๆ ระหว่างทางมีนกให้ดูหลายชนิด บริเวณด้านบนของน้ำตก มีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นอ่างเก็บน้ำเขื่อนเขาแหลม ในการเดินทางขึ้นเที่ยวชมน้ำตกจ ะต้องกรอกแบบฟอร์มเพื่อขอเจ้าหน้าที่นำทางทุกครั้ง เนื่องจากเส้นทางระยะไกลและค่อนข้างไม่ชัดเจน

          น้ำตกเกริงกะเวีย อยู่ริมถนนสาย ทองผาภูมิ-สังขละบุรี กิโลเมตรที่ 32 หมู่ที่ 4 ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ลักษณะทั่วไป เป็นน้ำตกขนาดกลาง สูงประมาณ 5 เมตร กระแสน้ำไหลลดหลั่นกันตามหินปูนเป็นชั้น ๆ ผ่านแนวต้นไม้อันร่มรื่นที่ปกคลุม อยู่อย่างหนาแน่น มีความสวยงามตามธรรมชาติ เหมาะแก่การเล่นน้ำและพักผ่อน การเดินทางเข้าถึง จาก จ.กาญจนบุรี เดินทางตามถนนหลวงหมายเลข 323 กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ-สังขละบุรี อยู่ติดริมถนนสายทองผาภูมิ-สังขละบุรี ห่างจาก อ.ทองผาภูมิ 32 กิโลเมตร ซึ่งน้ำตกเกริงกระเวียอยู่ทางด้านขวามือ บริเวณใกล้น้ำตกจะมีร้านขายอาหารอยู่ 2-3 ร้านและมีลานจอดรถ ศาลาพัก สำหรับแวะรับประทานอาหารได้ การเดินทางท่องเที่ยวเหมาะสมทุกฤดูกาล

          น้ำตกไดช่องถ่อง อยู่ห่างจาก น้ำตกเกริงกระเวีย ประมาณ 1 กิโลเมตร แล้วมีทางเดินต่อไปถึงน้ำตกอีก 500 เมตร ตั้งอยู่ในเขต หมู่ที่ 4 ตำบลปรังเผล อำเภอสัง ขละบุรี เป็นน้ำตกขนาดเล็กสายเดียวกันกับน้ำตกเกริงกระเวีย สูงประมาณ 15 เมตร กระแสน้ำไหลลดหลั่นตามชั้นหินปูนเป็นชั้น ๆ ผ่านแนวต้นไม้อันร่มรื่นที่ขึ้นปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น มีสภาพป่าที่สมบูรณ์ มีความสวยงามตามธรรมชาติ น้ำตกทิพุเย อยู่บริเวณ สำนักสงฆ์ปฏิบัติธรรมพุทธโธภาวนา หมู่ที่ 3 ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จากถนนสายทองผาภูมิ-สังขละบุรี ตรงกิโลเมตรที่ 26 ไปประมาณ 1 กิโลเมตร และเลี้ยวซ้ายเดินเท้าอีก 1 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดกลางไหลผ่านภูเขาหินปูนที่สวยงาม ในสภาพป่าดิบที่มีต้นไม้หนาแน่นและมีขนาดใหญ่ มีน้ำตก 6 ชั้น น้ำตกชั้นที่สูงที่สุด สูงกว่า 30 เมตร

          น้ำตกผาแตก อยู่บริเวณพื้นที่ป่าบ้านทิพุเย หมู่ 3 ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นน้ำตกหินปูนขนาดกลาง ที่สวยงาม มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีจำนวน 4 ชั้น แต่ละชั้นสูงประมาณ 5 - 20 เมตร และเกือบทุกชั้นยังมีแอ่งน้ำสามารถเล่นน้ำได้ น้ำตกผาแตกอยู่ก่อนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาแหลม โดยจะมีถนนลาดยางเข้าไปถึงหมู่บ้านทิพุเย ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร และเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 8 กิโลเมตร จะถึงตัวน้ำตกผาแตก ซึ่งมีทางชักลากไม้เก่า สามารถพัฒนาให้เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ ไปจนถึงตัวน้ำตกผาแตกได้

          บึงเกริงกะเวีย อยู่ในเส้นทางศึกษาธรรมชาติบึงเกริงกระเวีย บริเวณหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาแหลม ที่ ปข.1 (เกริงกระเวีย) หมู่ที่ 2 ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ เป็นบึงธรรมชาติขนาดเล็ก เนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ เป็นที่อยู่อาศัยของนกหลายชนิดและนกอพยพต่างถิ่นในช่วงฤดูหนาว เช่น นกเป็ดแดง นกกวัก นกอีล้ำ นกยาง ฯลฯ ส่วนบริเวณทุ่งหญ้าตามริมขอบบึงก็มีนก เช่น นกกระปูด นกจาบคา ฯลฯ บริเวณบึงได้สร้างหอดูนกไว้ นอกจากนี้หน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาแหลมที่ ปข. 1 (เกริงกระเวีย) ยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบึงเกริงกระเวีย สามารถเดินเที่ยวชมศึกษาธรรมชาติ ดูนก และบริเวณที่ทำการหน่วยฯ ยังสามารถประกอบกิจกรรม เช่น ดูนก เที่ยวชมน้ำตก กางเต็นท์พักแรมค้างคืนได้   

          เจดีย์โบอ่อง ที่ตั้งอยู่ในบริเวณบ้านโบอ่อง ต.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ลักษณะทั่วไป เป็นเจดีย์โบราณแบบพม่า สร้างบนยอดเขาหินปูนที่มีบ่อน้ำล้อมรอบเจดีย์สูง 6 เมตร ฐานกว้างประมาณ 3x3 เมตร บริเวณบ่อน้ำมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ บริเวณวัดมีความร่มรื่น ข้อจำกัดสำหรับนักท่องเที่ยวที่เป็นผู้หญิง จะมีป้ายห้ามไม่ให้ขึ้นไปชมความงามบนยอดเขาหินปูน เนื่องจากเป็นความเชื่อของชาวบ้าน ว่าจะทำให้บ่อน้ำแห้งขอดและอาจมีภัยอันตรายแก่ตัวเองได้ การเดินทางเข้าถึง จาก จ.กาญจนบุรี เดินทางตามทางหลวงหมายเลข 3272 กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ-ปิล๊อก จนถึงบ้านท่าแพ การเดินทางต่อไปสามารถไปทางเรือได้ทางเดียว ลงเรือที่บ้านท่าแพ อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ขึ้นเรือที่บ้านโบอ่อง ฤดูกาลที่เหมาะสมในการเดินทางท่องเที่ยว เหมาะสมทุกฤดูกาล

ถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล

          ตั้งอยู่ในบริเวณสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล ติดภูเขาเล็กๆ แต่ละถ้ำมีชื่อเรียกตามลักษณะ เช่น ถ้ำบาดาลมีระดับน้ำสูงประมาณหัวเข่า ถ้ำพ่อปู่ฤาษี การเดินทาง ใช้เส้นทางอำเภอสังขละบุรี-ด่านเจดีย์สามองค์ กิโลเมตรที่ 16 เลี้ยวขวาบริเวณศาลาพักร้อนริมทาง จากนั้นขับรถไปตามถนนดินอีกประมาณ 800 เมตร เลี้ยวขวาไปตามเส้นทางอีก 200 เมตร จะถึงบริเวณสำนักปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล นักท่องเที่ยวสามารถสอบถามข้อมูลของถ้ำได้จากพระสงฆ์ ที่จำวัดอยู่ ณ บริเวณสำนักปฏิบัติธรรมนั้น

ด่านเจดีย์สามองค์ 

          เขตสิ้นสุดชายแดนไทยด้านทิศตะวันตก ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองลู ไปตามทางหลวงหมายเลข 323 โดยก่อนถึงตัวอำเภอสังขละบุรี 4 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองลู ไปตามทางหลวงหมายเลข 323 โดยก่อนถึงตัวอำเภอสังขละบุรี 4 กิโลเมตร จะมีทางแยกด้านขวาไปด่านเจดีย์สามองค์ เป็นระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร เส้นทางลาดยางตลอดสาย

          นี่เป็นสถานที่เพียงไม่กี่แห่งที่เราหยิบมาแนะนำกัน เพราะจริง ๆ แล้ว “กาญจนบุรี” ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวแจ่ม ๆ อีกมากมาย รอให้เดินทางไปสัมผัส ...

ทิปส์ท่องเที่ยว

          กาญจนบุรี เต็มไปด้วยโถงถ้ำสวยงาม และมีถ้ำที่เป็นที่สุดของโลก คือถ้ำเสาหิน อยู่ในอำเภอสังขละบุรี ซึ่งมีเสาหินสูงที่สุดในโลกอยู่ภายในถ้ำ ความสูง 62.5 เมตร และอีกสารพัดถ้ำที่สวยงามด้วยหินงอกหินย้อย แวววาวด้วยแร่แคลไซต์ดูสวยงาม ส่วนใหญ่เป็นถ้ำที่มีน้ำลอดผ่าน ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการเข้าถ้ำคือเดือนพฤศจิกายน-เมษายน

          เที่ยวเมืองกาญจน์ได้ทุกฤดู แต่เที่ยวหน้าฝนจะได้ชื่นชมผืนป่าเขียวสด น้ำตกก็หลั่งไหลชุ่มชื่นสวยงาม ยิ่งถ้าไปปลายฝน ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม จะได้ลิ้มรสอาหารที่ทำจากเห็ดโคนสดๆ ซึ่งเป็นเมนูเด่นของกาญจนบุรี

          ในเขตอำเภอทองผาภูมิ-สังขละบุรีที่อุดมไปด้วยผืนป่า โถงถ้ำ น้ำตก และสายน้ำ ไม่เพียงเป็นแหล่งธรรมชาติน่าเที่ยว แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมแอดเวนเจอร์ เช่น ขี่เอทีวี โรยตัวผ่านผาน้ำตก ล่องแก่ง โหนรอกผ่านหุบเขา

          บ้านหนองขาว อำเภอท่าม่วง เป็นชุมชนน่ารัก มีเอกลักษณ์ เต็มไปด้วยประเพณีวัฒนธรรมดั้งเดิมที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เข้าไปเที่ยวที่นี่ ควรพักค้างคืนที่บ้านกลางทุ่ง ออร์กานิก โฮม ซึ่งยึดคอนเซ็ปต์การใช้ชีวิตในความสดสะอาดของธรรมชาติแวดล้อม กินผักสด สูดอากาศบริสุทธิ์ และรื่นรมย์กับการชมวิถีชีวิตน่ารัก ๆ ของคนบ้านหนองขาว

การเดินทาง

          กาญจนบุรีอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 129 กิโลเมตร นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางสู่จังหวัดกาญจนบุรีได้หลายวิธี ทั้งทางรถยนต์ส่วนตัว รถประจำทาง และรถไฟ การเดินทางไป กาญจนบุรี

          โดยรถไฟ : มีรถไฟออกจากสถานีบางกอกน้อย ทุกวัน วันละ 2 เที่ยว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถานีรถไฟบางกอกน้อย โทร. 0 2411 3102 ส่วนวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดเส้นทางท่องเที่ยวสายน้ำตกกาญจนบุรี สอบถามรายละเอียดได้ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย โทร. 1690 หรือ www.railway.co.th

          โดยรถยนต์ : จากกรุงเทพฯ ไปตามถนนบรมราชชนนี แล้วใช้ทางหลวงหมายเลข 4 ผ่านนครชัยศรี นครปฐม จากนั้นใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 323 ผ่านบ้านโป่ง ท่ามะกา ท่าม่วง ถึงกาญจนบุรี ระยะทางประมาณ 129 กิโลเมตร

          โดยรถประจำทาง : มีรถโดยสารธรรมดาและรถโดยสารปรับอากาศของบริษัท ขนส่ง จำกัด และของเอกชน สายกรุงเทพฯ-กาญจนบุรี กรุงเทพฯ-ด่านเจดีย์สามองค์ ออกจากสถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี ทุกวัน วันละหลายเที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่บริษัท ขนส่ง จำกัด โทร.1490 www.transport.co.th กาญจนบุรีทัวร์ โทร. 0 2435 5012 ปัจจุบันบริษัท ขนส่ง จำกัด ได้เปิดให้บริการจองตั๋วรถโดยสารออนไลน์แล้ว ติดต่อได้ที่ www.thaiticketmajor.com

          โดยทางอื่น : รถตู้ มีรถตู้สายกรุงเทพฯ-พุทธมณฑล-กาญจนบุรี ออกจากคิวรถข้างห้างเซ็นจูรี่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และคิวรถตรงสี่แยกคอกวัว อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 05.00-20.00 น.

          การเดินทางภายในกาญจนบุรี : ในตัวเมืองกาญจนบุรีมีรถโดยสารประจำทางไปยังอำเภอต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก นักท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้บริการยานพาหนะได้หลายรูปแบบตามอัธยาศัย สอบถามรายละเอียดได้ที่สถานีขนส่งกาญจนบุรี โทร. 0 3451 1172 นอกจากนี้ ยังมีรถสองแถวไปยังแหล่งท่องเที่ยว เช่น สะพานข้ามแม่น้ำแคว น้ำตกไทรโยค ช่องเขาขาด ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว คิวรถจะอยู่ในสถานีขนส่ง




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
                  
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  ททท. และ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
พินิจ กาญจนบุรี เมืองเก่าริมแม่น้ำแคว อัปเดตล่าสุด 16 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 17:09:36 1,469 อ่าน
TOP