x close

ภูลังกา บนเส้นทางแห่งดวงดาวและสายหมอก

ภูลังกา

ภูลังกา
 
ภูลังกา


ภูลังกา

ภูลังกา


ภูลังกา
 
ภูลังกา

ภูลังกา


เคลื่อนไหวไปบนเส้นทางแห่งดวงดาวและสายหมอก ภูลังกา (อสท.)

หัสชัย  บุญเนือง...เรื่อง
หัสชัย บุญเมือง พลากร บุญทาวงษ์...ภาพ

          บนเส้นทางแห่งสายลมที่พัดความหนาวเย็นมาจากหุบเขาเบื้องล่าง กับผืนฟ้าเริ่มสางที่ตีนฟ้ายกให้เห็นแรกอรุณ ในขณะที่ดวงดาวบนท้องฟ้ายังคงพราวพร่างระยิบ ดาวประจำเมืองยังคงสกาวอยู่ตรงที่สุดของฟ้าเหนือเทือกเขา ไม่นานนักทะเลหมอกเริ่มเผยให้เห็นความอลังการ หลังจากบ่มความงดงามไว้ภายใต้ความหนาวเย็นของฤดูกาล สีของเวลาขับผ่านไปอย่างเนิบช้า ริ้วหมอกบาง ๆ พลิ้วไปตามท่วงทำนอง และจังหวะแห่งความเคลื่อนไหว เรายืนให้เวลาล่วงผ่านไปพร้อมซึมซับความงดงามของธรรมชาติผ่านสายตาและหัวใจ...

          เมื่อแสงแรกของวันเผยให้เห็นทะเลหมอกเบื้องล่างอย่างเต็มตา ความอลังการและงดงามนั้น คงไม่มีคำใดจะบรรยาย แต่อยากให้ไปเห็นด้วยกันที่สุดปลายทางแห่งผืนฟ้า...ภูลังกา

ภูลังกา

ภูลังกา

ทางเดินที่ซ่อนบางความหมายไว้หลังสายหมอก

          นกปลีกล้วยลายโผเข้าจับปลีกล้วยป่าที่กำลังเผยให้เห็นดอก ก่อนจะสอดเรียวปากที่ยาวโค้งเข้าไปดูดน้ำหวานภายในปลีดอก พร้อมกับหน้าผากที่แต้มเอาเกสรมาด้วย เมื่อมัวไปหาน้ำหวานในดอกต่อไป ก็จะช่วยให้การผสมเกสรเป็นไปอย่างที่ควร ผมนั่งมองนกตัวนี้โผบินอย่างเสรีในยามเช้า ที่สายฝนเพิ่งขาดเม็ดไปไม่นาน บนต้นไม้ใกล้กับระเบียงบ้าน นกไต่ไม้หน้าผากกำมะหยี่ห้อยหัวหาแมลงอย่างปราดเปรียว ไกลออกไป นกปรอดหัวสีเขม่า เกาะยอดไม้ไซ้ขนอาบแดดเช้าอย่างสบาย ๆ ก่อนจะขยับปีกออกบินเมื่อเสียงรถกระบะเคลื่อนเข้ามาใกล้

          สมชาติ พวงพะยอม หัวหน้าวนอุทยานภูลังกา ลงมาจากรถคันนั้น หลังจากที่เราทักทายกันพอสมควร เรามีแผนการสำรวจ วนอุทยานภูลังกา รวมถึงการเข้าไปเยี่ยมชมหมู่บ้านของชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ ในปริมาณนี้ด้วย และหลังจากอาหารเช้าอันแสนอร่อยผ่านไป เราจึงเดินไปแบกสัมภาระขึ้นบนท้ายรถกระบะคันเก่ง เพื่อขับไปจอดไว้ยังปลายสุดเส้นทางลาดยาง ที่ต่อจากนั้นเราจะเดินเท้าขึ้นไปยังยอดภูลังกากัน

ภูลังกา

ภูลังกา

          จากจุดจอดรถ ทางดินแดงทอดตัวเข้าไปในผืนป่าเขียวเข้มซึ่งห่มคลุมไว้ด้วยผืนหมอก ขึ้นเนินมาได้ไม่กี่สิบเมตรเราก็ได้เจอกับ กล้วยไม้กินซากดอกสีเหลือง กำลังชูช่อส่งดอกขึ้นคลอเคลียอากาศดูงดงาม กล้วยไม้ชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า เอื้องแฝงภู (Aphillorchismontana) สำหรับกล้วยไม้กินซากนั้น ทางวิชาการจัดให้เป็นพืชในกลุ่ม Mycoheterotrophic ซึ่งหมายถึงการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตต่างกลุ่มกัน เช่น พืชและรา โดยจะเป็นพืชที่พึ่งราแบบพาราไซต์ หรือราที่อาศัยอยู่ในรากของพืช ซึ่งพืชจะได้รับสารอาหารจากการที่ราย่อยอินทรียวัตถุในบริเวณนั้น ที่สำคัญ พืชและราต้องเป็นคู่ที่จำเพาะเจาะจงเท่านั้น และนั่นคงเป็นการพึ่งพาผูกพันของสรรพชีวิต ในธรรมชาติที่สุดแสนวิเศษของสิ่งมีชีวิตทั้ง 2 ชนิดนี้ เราอาจจะเป็นได้เพียงผู้สังเกตหรือเฝ้ามองธรรมชาติเท่านั้นเอง และในบางความหมาย เราคงไม่อาจเข้าใจพวกเขาได้อย่างแท้จริง เหมือนในบางราวที่ตัวเราเองยังไม่อาจทำความเข้าใจตัวเองได้ทั้งหมด

          ตามเส้นทางเดินที่มุ่งสู่เบื้องหน้า เรายังคงพบกับกล้วยไม้ชนิดนี้อีกหลายสิบต้น และในบางบริเวณก็อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่อย่างน่ามหัศจรรย์ ความงดงามของบางชีวิตที่กำเนิดในช่วงฤดูฝน มีให้เห็นเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ต่อปีเท่านั้น และนั่นก็เป็นเหมือนเกราะคุ้มครองความหมายอันซ่อนเร้น ภายใต้เม็ดน้ำที่รวมกลุ่มกันจนเป็นหมอกเหมย ช่วยปกคลุมให้ป่าดูลี้ลับและชวนค้นหา

          มิตรภาพก็เช่นกัน อาจจะเลือนหายไปกับสายหมอก หรือจะแจ่มชัดภายใต้สายหมอก ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับหัวใจของแต่ละคนที่ส่งผ่านออกมาโอบอุ้มกันและกัน

ภูลังกา

ภูลังกา

สายน้ำ...อณูแห่งการเติมเต็มของฤดูกาล

          ลมแผ่ว ๆ กับความขึ้นและความหนาวเย็นส่งผ่านร่องหุบและสายห้วยมาคลุมทุกอณู ดอกเทียนดอย (Impatiens violaeflora) กลุ่มใหญ่ส่งสีม่วงสวยสุดของกลีบดอก ออกมาแบ่งบานและแบ่งปันความรู้สึกให้เต็มอิ่ม ในเวลาที่เหนื่อยล้า 2 ชั่วโมงแล้ว ที่เราผ่านเนินชันขึ้นมา การได้หยุดถ่ายภาพดอกไม้ แมลง หรือผืนป่าสวย ๆ ทำให้เราเดินกันอย่างสนุกสนาน หัวหน้าสมชาติเดินขึ้นแนะนำสมุนไพรต่าง ๆ พร้อมสรรพคุณให้เราได้รู้จักกันมากมาย ในที่สุดสิ่งที่เราไม่อาจจะหลีกเลี่ยงคือสายฝน ก็โปรยสายลงมาอย่างไม่ขาดเม็ด

          เราวางกระเป๋าไว้ตรงขอนไม้บริเวณทางแยกก่อนจะตัดเข้าสู่ผืนป่า เพื่อไปยัง น้ำตกภูลังกา สายหมอกยังคงห่มคลุมไปทุกตารางนิ้ว และขณะที่เรากำลังเดินลงไปตามความชันของหุบห้วย สายฝนห่าใหญ่ก็ถั่งโถมลงมา เรายืนคอยให้ฝนชาจนเปียกปอนไปหมด เพราะอุปกรณ์กันฝนได้นำไปกันกล้องเสียหมด ในที่สุดเราก็สามารถถ่ายภาพ น้ำตกภูลังกา มาได้ โดยใช้ผ้ากันฝนมาคลุมไว้ เพื่อไม่ให้กล้องและเลนส์ได้รับน้ำมากจนเกินพอดี และยามนี้ น้ำตกภูลังกา กำลังงดงามอย่างพอเหมาะเลยทีเดียว เพราะมีน้ำเต็มหน้าผาไหลชุ่มฉ่ำ ผสานกับสายหมอกที่ห่มคลุมอยู่เหนือผืนป่าดิบเขา นับได้ว่าเป็นความอ่อนหวานของธรรมชาติอย่างแท้จริง บางคราวการได้มองอะไรนิ่ง ๆ นาน ๆ ก็ทำให้เห็นอะไรมากกว่าที่ตาเห็นอีกหลายอย่าง ขอเพียงชีวิตไม่ฉาบฉวยจนเกินไปก็น่าจะเพียงพอแล้ว

          สายฝนและความชุ่มฉ่ำได้สร้างความขึ้นให้กับผืนป่า และสร้างชีวิตที่หลากหลายให้กำเนิดขึ้นในห้วงกาลนี้ ลูกไม้จากช่วงแล้งที่รอดจากการกัดแทะของสัตว์ต่าง ๆ มาแล้ว ก็พร้อมสำหรับการแตกหน่อช่อใบในยามที่ความขึ้นทำให้ดินไม่หมาดน้ำ เปลือกแข็งของลูกไม้เริ่มอ่อนนุ่มเมื่อถูกน้ำหุ้มและอ่อนยวบ จนสามารถแทงออกมาจากแกนกลางของเมล็ดได้ไม่ง่ายเลยที่หนึ่งชีวิตจะสามารถเติบโตได้ในผืนป่ากว้าง หากเรามองเห็นการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขเป็นสิ่งที่ดี การอยู่ร่วมกันแบบเบียดเบียนของธรรมชาติ ก็เป็นสิ่งที่เราต้องรับให้ได้ด้วยเช่นกัน ไม่มีสิ่งใดจะเสียไปทั้งหมด หรือเกิดมาเพื่อทำความเลวร้ายให้แผ่นดินแต่เพียงอย่างเดียว

ภูลังกา

ภูลังกา

          จาก น้ำตกภูลังกา เราเดินขึ้นมาตามทางอีกแค่ไม่กี่อึดใจ ก็เจอกับต้นไม้ขนาดใหญ่มากที่ไม่อาจต้านทานแรงลม ล้มลงอย่างที่ผมและใครที่เห็นต่างบอกว่าไม่น่าจะล้มเลย ต้นนี้คงอยู่เป็นเพื่อนฟ้ามานานเนิ่นแน่ ๆ ผมเดินไปสำรวจกล้วยไม้และพรรณไม้ต่าง ๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่บนเรือนยอดสูงลิบจนเราต้องแหงนกันคอตั้งบ่า แต่ตอนนี้ลงมาอยู่บนพื้นดินให้เราได้ลองสอดส่องดู ในที่สุดก็เจอกับกล้วยไม้สีขาวขนาดเล็ก ที่อาจจะเป็นช่อสุดท้ายของฤดูกาลนี้แล้ว เนื่องจากกออื่น ๆ ได้ติดฝักไปหมดแล้ว ผมยืนมองดอกไม้ชนิดนี้ด้วยความสุขใจ ก่อนจะจัดการกางขาตั้งกล้องและติดเลนส์มาโคร เพื่อบันทึกภาพระยะใกล้เอาไว้ สำหรับกล้วยไม้เล็ก ๆ ดอกสีขาวที่เราเห็นอยู่นี้มีชื่อว่า เอื้องนิ่มน้อย (Eria globulifera)

          บ่อยครั้งที่เราใช้เวลาอย่างรวดเร็ว และเร่งรีบกับการเพียงไปให้ถึงจุดหมาย โดยหลงลืมความหมายที่ซ่อนไว้สองข้างทาง คราวนี้การเดินเท้าไปอย่างช้า ๆ ภายใต้ร่มเงาและความชุ่มฉ่ำของผืนป่าทำให้ได้เห็นอะไรมากมาย ซึ่งนั่นเป็นการเติมเต็ม บางความหมายให้ชีวิตได้เป็นอย่างดี และคงอาจจะเป็นเช่นเดียวกับธรรมชาติในแต่ละฤดูกาล ที่ต่างเติมเต็มกันและกันด้วยบางความหมายเช่นกัน...

ภูลังกา

ภูลังกา

บนหนทางแห่งภูเทวดา

          บรรยากาศระหว่างทางเดินเท้าสู่ยอดภูลังกา ทำให้เราได้พบสิ่งต่าง ๆ ที่หลอมรวมกันเป็นผืนป่ามากมาย เราได้ความรู้จากการแลกเปลี่ยนกันของเพื่อนร่วมทาง หลังมื้อเที่ยวกันเองแบบง่าย ๆ กับอาหารที่เตรียมมา เราเดินกันต่อไปอีกราว 2 ชั่วโมง ก็ถึงบริเวณศาลาแปดเหลี่ยมซึ่งตั้งอยู่ทางขึ้นยอดภูลังกา โดยจุดนี้เราจะใช้เป็นแหล่งพักกายในช่วงคืนนี้

          "ผมว่าสายหมอกไหลอย่างนี้ ภาพเคลื่อนไหวถ่ายทอดออกมาได้สวยเลย" ยิ่งยศ จักรสาน เพื่อนผู้อ่อนไหวกับสรรพชีวิตบนผืนโลกมากกว่าตัวเองให้ความเห็น ก่อนจะหยิบกล้องคอมแพ็กต์ระดับสูงออกไปยืนบันทึกภาพเหล่านั้น เพราะเพื่อนผมคิดจะทำสารคดีสนุก ๆ สไตล์อินดี้สักเรื่อง เอาไว้ชมความเคลื่อนไหวและลื่นไหลไปตามองศาแห่งเวลา

          แสงตะวันยามบ่ายแก่ ๆ พอจะส่งอออกมาได้บ้างแล้ว ฝูงนกป่าบินเริงร่าออกมาตากปีกและหาอาหาร ผมยืนมองนกบินอย่างล่องลอย ไม่ต้องคิดว่าจะได้เห็นหรือได้ยินอะไร ได้แต่มองตามที่ใจคิด มองความเลื่อนไหวของปลายปีก ผมไม่มีคำถามหรือคำตอบแทนสิ่งมีชีวิตที่กำลังไปเหมือนไร้ทิศทาง มีแต่คำตอบให้กับความสุขของตัวเองในเวลานี้เท่านั้น ซึ่งเพียงเท่านี้ก็คงจะพอแล้ว สำหรับในบางเสี้ยวของเวลา

          "สมัยก่อนชาวเขาเผ่าเย้ามาทำไร่ฝิ่นอยู่ด้านหลังดอยนี้ พอช่วงวันขึ้น 15 ค่ำ ก็จะมีแสงส่องออกมาจากยอดดอย จึงรวมตัวกันขึ้นมาดูว่าเกิดจากอะไร พอขึ้นมาถึงยอดดอยก็เห็นว่ามีแท่นหินขนาดใหญ่อยู่ จึงเชื่อกันว่าบนดอยแห่งนี้เป็นที่อยู่ของ ฟินจาเบาะ หรือ เทวดา เลยเรียกกันว่า ภูเทวดา สุดท้ายก็เพี้ยนกันมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็น ภูลังกา อย่างในปัจจุบัน" หัวหน้าสมชาติ บอกเล่าเรื่องราวที่มาของชื่อเทือกดอยแห่งนี้ให้เราฟัง หลังจากดื่มชาเจียวกู้หลานร้อน  ๆ พอให้ร่างกายสดชื่นเรียบร้อย

ภูลังกา

ภูลังกา

          ช่วงเย็นวันนี้ผมและคณะ จะออกเดินเท้าไปยังจุดสูงสุดของภูลังกา เพื่อไปรอชมแสงสุดท้ายของวันอย่างที่เคยขึ้นมา เมื่อคราวที่ลมหนาวยังคงอวลอยู่ในอากาศ ทว่าเพียงคิดก็หมดโอกาสแล้ว เพราะน้ำฟ้าได้ร่วงพรูมาอีกครั้ง ผมจึงเปลี่ยนแนวมานั่งมองธรรมชาตินิ่ง ๆ และพูดคุยกันระหว่างเพื่อน นานพอควรแล้วที่เราไม่ได้เดินด้วยกัน แต่ทุกความหมายระหว่างย่างก้าวที่ผ่านมานั้น ไม่ได้เลือนไปกับเวลาที่ผ่านไปแต่ประการใด ความสุขของการเดินทางอาจจะได้รับมาจากหลายประเด็น และการได้เดินทางกับคนที่มีความละมุนละไมต่อธรรมชาติ ก็คือหนึ่งในนั้น

          หลังจากที่แสงสุดท้ายของวันหายไปจากฟากฟ้า พลากร บุญทาวงษ์ ช่างภาพที่มาช่วยมากกว่าการถ่ายภาพ ก็ส่งเสียงมาพร้อมกับยื่นจอกเล็ก ๆ ที่ก้นจอกมียาแก้หนาวต้มกลั่นจากข้าวเหนียวมาให้

          "เดี๋ยวกินอาหารญี่ปุ่นกันเลยนะ น้ำเดือดแล้ว" ผมยกแก้วเทของเหลวเหล่านั้นหายวาบไปในลำคอ ความร้อนแรงของดีกรีคงไม่อาจจะประเมินได้ เพราะมันลงไปแทบทุกขดของลำไส้ แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้ฝนหยุดหรืออบอุ่นได้มากไปกว่ามิตรภาพ...

ยามเมื่อหมอกไหลคลอเคลียยอดดอย

          เราผ่านค่ำคืนที่ฟ้ารั่วมาได้อย่างไม่ลำบากนัก แม้จะมีฝนสาดเข้ามาบ้างก็ตาม ยามเช้าตรู่ของวันนี้ยังคงอวลไปด้วยน้ำหมอกที่ชุ่มฉ่ำ ผมลุกขึ้นมาต้มน้ำบนเตาแก๊สขนาดเล็กเพื่อชงกาแฟ ระหว่างรอน้ำเดือด ผมมองไปยังปลายเทือกดอย หมอกแผ่นหนาไหลคลอเคลียเทือกดอยจนดูคล้ายสายน้ำไหล ภาพนี้ผมเคยเก็บไว้พร้อมกับแสงสียามเช้าในวันหนาวของฤดูที่ผ่านมา วันนี้แม้ท้องฟ้าจะไม่มีสีสันตระการตา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความประทับใจลดน้อยลงแต่อย่างใด

          เมล็ดกาแฟคั่วบดในซองใส่แบบซิปถูกเทลงในแก้วชงกาแฟแบบเพรส พอได้เวลาผมจึงรินออกมาแบ่งกันดื่ม  กาแฟขมกลมกล่อม กลิ่นหอมกำลังดีในจอกสเตนเลสแบบมีหูจับ ทำให้สติฟื้นสมบูรณ์ขึ้น ผมยืนมองความเคลื่อนไหวที่มาตามร่องหุบและยอดดอย กาแฟหมดไปพักใหญ่แล้วหมอกหนาก็คลายลง ผมเดินเก็บภาพหยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนใยแมงมุม ยอดหญ้า และบนก้านชูสเปอร์ของมอสขนาดเล็กในบริเวณใกล้ ๆ ศาลาแปดเหลี่ยม เราพร้อมเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดของภูลังกา หลังจากที่นกกลุ่มใหญ่เริ่มออกบินขึ้นสู่ท้องฟ้า และทิ้งให้น้ำค้างร่วงพรู

          ผมหยุดถ่ายภาพกล้วยไม้ดินเล็ก ๆ อีกหลายชนิดระหว่างทางเดินขึ้นสู้ยอดดอย หญ้าที่เคยแห้งเหลืองในยามที่ดินหมาดน้ำ กลับมีชีวิตชีวาแตกใบคลุมทางไว้อย่างเสรี และไม่นานนักเราก็มายืนบนจุดสูงสุดที่มีแท่นเทวดา หรือ "ฟินจาเบาะ" เป็นจุดหมายให้เราได้รู้ความพิเศษของแดนดอยแห่งนี้ ที่คงไม่ได้มีเพียงเรื่องเล่าอันอัศจรรย์ของชนเผ่าในละแวกนี้ แต่ความพิเศษ คือความงดงามกลมกลืนของผู้คนและผืนป่าที่พึ่งพาผูกพันกัน โดยมีการเชื่อมโยงกันระหว่างวนอุทยานภูลังกา ชาวบ้านผู้นำชุมชน โครงการหลวง ทำให้ผืนป่าเล็ก ๆ แห่งนี้ยังคงเป็นต้นน้ำให้กับหลายหมู่บ้านในละแวกนี้

ภูลังกา

ภูลังกา

          เรานั่งพักให้หมอกที่ลอยขึ้นมาจากหุบเขาห่อหุ้มร่างกายและหัวใจ "ไอ้ก้านเขียวตรงแท่นเทวดาน่ะ เค้าเรียกหอมชู มีที่เดียวเฉพาะตรงนี้ อย่างที่หัวหน้าบอกเมื่อวานไง" พี่หนุ่มน้อย เจ้าหน้าที่วนอุทยานภูลังกา ซึ่งขึ้นมากับเราชี้ให้ดูพืชชนิดหนึ่ง ที่เชื่อกันว่าพบเพียงจุดนี้เท่านั้น ในพื้นที่บริเวณนี้ลากยอดดอยเราเดินต่อไปยังลานหินล้านปี ซึ่งในเวลานี้ช่างแสนงดงาม เพราะบนก้อนหินเต็มไปด้วยสีชมพูหวานฉ่ำของดอกเทียนดอย และดอกสีขาวของตาเหินไหว รวมไปถึงมอสสีเขียวสดใสคล้ายกับปูพรมไว้บนก้อนหินก็มีปาน ยิ่งอยู่ภายได้ม่านหมอกด้วยแล้ว คล้ายจะทำให้ความงามเพิ่มขึ้นอีกมากนัก พวกเราช่วยถ่ายภาพกันหลายมุมตามใจต้องการ โดยแต่ละมุมก็ช่างอ่อนหวานยิ่งนัก สำหรับบริเวณนี้ หากมาในช่วงฤดูหนาวก็สามารถพบดอกไม้ต่าง ๆ สลับหมุนเวียนกันไป นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

          หลายชั่วโมงที่เราสัมผัสความอ่อนหวานของดอกไม้บนดอยสูง และได้มีโอกาสเห็นนกกินปลีบางชนิดบินเข้ามาเกาะดูดน้ำหวานจาก ดอกข่าไฟ (Hedychiumcoccineum) พืชชนิดเดียวในสกุลนี้ ที่มีสีแดงอมส้มตัดกับผืนป่าสีเขียวเข้มที่ห่มด้วยไอหมอก และในยามนี้ มีพืชชนิดอื่นๆ ในวงศ์ขิง (Zingiberaceae) กำลังผลิตอกอยู่หลายชนิด หลายสกุล โดยดอกข่าไฟชนิดดังกล่าวดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งกว่าดอกไม้อื่น ๆ แม้ว่าจะแชมอยู่ท่ามกลางกอหญ้าคาหรือคงอ้อก็ตาม เราทยอยกันเดินกลับลงมาอย่างไม่เร่งรีบนัก แม้ว่าจะมีฝนเม็ดเล็ก ๆ เริ่มโปรยปรายลงมาบ้างก็ตาม และเมื่อลงมาเก็บของที่ศาลาแปดเหลี่ยมเรียบร้อย เราก็เดินกันยาว ๆ ลงสู่ที่ทำการวนอุทยานฯ

          ในระหว่างทาง บางคราวเราอาจจะหลงลืมหลาย ๆ สิ่งไปกับความเร่งรีบแห่งชีวิต การมองผ่านเลยหลายสิ่งบนเส้นทาง เพราะคิดว่าคงไม่มีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่นั้น เป็นวูบหนึ่งที่เราคิดพลาดไป เนื่องจากว่าไม่มีอะไรในผืนป่าจะขาดความสำคัญไปเสียหมด ไม่มีใครที่เกิดมาทำหน้าที่เป็นผู้ให้หรือผู้รับแต่เพียงด้านเดียว เพียงเราเปิดตา เปิดใจมองด้วยความนิ่งงามในหัวใจ เราอาจจะได้เห็นบางอย่างที่ไม่เคยได้พบเลยก็ว่าได้

ภูลังกา

ภูลังกา

โครงการหลวง-ดั่งสายฝนพรมพร่างสู่แผ่นดิน

          บ่ายวันนี้เรากลับมาพักยังบริเวณที่ทำการวนอุทยานภูลังกาอีกครั้ง เมื่อลงมาถึงและเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อย ข้าวปลาอาหารก็พร้อมรอเราอยู่แล้วด้วยพ่อครัวมือเยี่ยมของที่นี่ กับข้าวเด็ด ๆ ที่มีนำเสนอกันพอเรียกน้ำย่อย ได้แก่ เบบี้ฮ่องเต้ผัดน้ำมันหอย ไข่เจียวฟูกรอบนอกนุ่มใน ผักกาดจอกระดูกหมู และผัดพริกสดกับหมู หากได้กินกับข้าวสวยร้อน ๆ ถือได้ว่าสุดใจเลยทีเดียว กับเวลาที่ผ่านมาค่อนวันโดยไม่มีอะไรตกถึงท้อง

          "ผักนี่กรอบดีนะครับ ซื้อมาจากไหนครับ" ใครบางคนหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มพร้อมตั้งคำถาม

          "มาจากโครงการหลวง ตอนนี้กำลังส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกกันอยู่ ไว้พรุ่งนี้เช้าเราจะไปที่แปลงกัน ผมคุยกับชาวบ้าน และโครงการหลวงไว้แล้ว" หัวหน้าสมชาติ บอกกับงานแบบรวดเดียวจบ พร้อมกับนัดกันอีกครั้งตอนค่ำ ช่วงบ่ายนี้พักผ่อนกันตามสบาย ซึ่งผมได้เล็งปลีกล้วยใกล้ ๆ บ้านพักไว้แล้ว พร้อมกับดงไพรที่ติดรถมาด้วย ผมคิวด่าลองไปนั่งรอเล่น ๆ อาจจะได้ภาพสวย ๆ ของนกปลีกล้วยลายได้ ทว่า ตอนนี้อิ่มจนแทบปลดกระดุมกางเกงสีเขียวละ ฮาฮา

          คืนนี้พวกเรานอนหลับกันไม่ดึกนัก แม้ว่า "ชุดเผา" ของหัวหน้าสมชาติ ซึ่งประกอบด้วยหมูสามชั้น ไส้หมู และมะเขือยาว ซึ่งนำมาหมักด้วยเครื่องปรุง ก่อนนำไปย่างด้วยถ่านอ่อน ๆ จะยังเหลืออยู่ไม่น้อย แต่ความอ่อนเพลียของร่างกายก็ทำให้เราอ่อนล้าลงได้ถนัดใจ ผมตั้งกล้องถ่ายภาพดาวหมุนเหนือขุนเขาไว้ราว 40 นาที โดยหวังว่าฟิล์มม้วนนี้เมื่อล้างออกมาแล้ว จะมีรอยเดินทางของดวงดาวในห้วงเวลานั้นประทับอยู่ และอาจพบเจอบางความหมายที่ถูกซ่อนไว้ในนั้น

          ของบางอย่างอาจจะเหมือนไกลเกินเอื้อม หรือไม่อาจแตะต้องได้ ทว่า มันอาจช่วยให้ชีวิตเราเปลี่ยนแปลงไปได้เช่นกัน พรุ่งนี้เราอาจจะเจอกับสิ่งนั้น แสงสว่างบนหนทางแห่งชีวิต...

          "ตอนนี้ก็เพิ่งเริ่มต้นปลูกเบบี้ฮ่องเต้ ทางโครงการหลวงเขาเข้ามาส่งเสริม ทางเราก็ลงทุนด้านโรงเรียน ปุ๋ย ยา แล้วก็ต้นอ่อนผลผลิตก็ขายให้โครงการหลวงนี่แหละ" สุธี แซ่เตียว ชาวม้งแห่งบ้านปางค่า เป็นผู้เริ่มต้นที่จะเปลี่ยนแปลงสวนลิ้นจี่บางส่วน ให้เป็นโรงเรียนปลูกผัก ซึ่งก็ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย สำหรับโครงกรหลวงปังค่า ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริมอาชีพให้ชาวไทยภุเขา ซึ่งยังคงทำไร่เลื่อนลอยหรือปลูกพืชเสพติด มีอาชีพที่มั่นคงในการดำรงชีวิต โดยในช่วงแรกทางโครงการหลวงปังค่าเน้นไปในแนวทางของการศึกษา และทดลองปลูกพืช ผัก ผลไม้จากเขตอบอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฟักทองยักษ์และอะโวคาโด ที่ให้ผลผลิตได้เป็นอย่างดี รวมถึงเน้นไปในแนวทางการจัดการท่องเที่ยวในชุมชนให้ยั่งยืนอีกด้วย

          "ปัจจุบันนอกจากทางโครงการหลวงปังค่าจะส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยว เพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชนแล้ว ก็ยังนำพืชผักต่าง ๆ มาส่งเสริมให้ชาวบ้านในพื้นที่มีรายได้ โดยเราจะซื้อเข้ากลับไปจำหน่ายในร้านโครงการหลวง ตอนนี้มีหลายหมู่บ้านแล้วที่เข้าร่วมกับทางเรา" สมชาย กันหา เจ้าหน้าที่โครงการหลวงปังค่า ให้ข้อมูลกับนำอะโวคาโดสุกกำลังดีมาให้ลองชิม

          "เป้าหมายหลักของโครงการหลวงคือสร้างอาชีพให้กับชาวเขา ลดการทำลายป่าและการโยกย้ายถิ่นฐาน นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดกลไกการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว" กรรณิการ์ กันหา เจ้าหน้าที่โครงการหลวงปังค่า เล่าถึงเป้าหมายหลักที่ทางโครงการหลวงกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน

          ผมอาจจะไม่เข้าใจในเนื้อแท้ของวิถีแห่งเกษตรกรรมมากนัก แต่ก็พอจะเห็นว่า ฤดูกาลยังคงเข้ามาเกี่ยวเนื่องกับผู้คนอย่างแน่นแฟ้น เพราะเมื่อความชื่นฉ่ำของฤดูกาลกำลังหมดไป ข้าวในนากำลังเริ่มเหลือง แสงของวันเริ่มหมดช้าลง อาจจะเป็นเพราะมันเดินทางไกลขึ้น หรือที่คนโบราณบอกว่ามันเดินอ้อมต้นข้าว เพื่อให้ข้าวได้แสงนาน ๆ จะได้สุกเร็ว ๆ คนปลูกข้าวทั้งบนภูเขาและที่ราบต่างรอคอยเวลานั้น เวลาของการเก็บเกี่ยวผลิตผลที่ฟูมฟักมาตลอดหลายเดือน เนื่องว่านี่คือต้นทุนชีวิตของปีหน้า เงินทองหรือกับข้าวไม่มีก็คงไม่หนักหนา เพราะว่าข้าวเปลือกในยุ้งยังเต็มเปี่ยม อย่างไรก็พอจะทำให้ชีวิตมีเรี่ยวแรงต่อสู้ จังหวะของชีวิตต่างไหลลื่นไปตามกระแสแห่งกาล ซึ่งโครงการหลวงเข้ามาเติมเต็มในหลายเรื่องราวด้วยกัน นี่แหละที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายเหมือนการปิดทองหลังพระ ที่ทำความดีโดยไม่ต้องอวดใคร

ภูลังกา

ภูลังกา
 
ที่สุดทะเลหมอก เหนือหุบเขาโรแมนติก

          วันนี้เราลาจากโครงการหลวงและวนอุทยานภูลังกา ในช่วงเวลาที่ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆฝน เป้าหมายต่อไปของเราคือ ภูลังกา รีสอร์ท จุดพักผ่อนและชมทิวทัศน์ที่งดงามสุดบนถนนสายโรแมนติก รอยต่อระหว่างจังหวัดน่านและพะเยา ความทรงจำของวันอุ่นไอหนาว ที่คลอเคล้าสายหมอกในหุบเขาเบื้องล่างนั้น เป็นสิ่งที่คนเดินทางและถ่ายภาพต้องการจะพบเจอ เพราะนั่นเป็นเสมือนรางวัลที่ธรรมชาติมอบให้ ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้วให้หัวใจได้โบยบิน...

          เย็นนี้เรานั่งมองแท่งหินปูนเบื้องหน้าจากระเบียงบนบ้านพัก พร้อมจินตนาการแสนสุขถึงอรุณรุ่งและห้วงยามอันอ่อนหวาน เราแยกย้ายกันเข้าที่พักในช่วงหัวค่ำค่อนข้างเร็ว เนื่องว่าต้องการพักผ่อนเอาแรงไว้สำหรับวันใหม่ ซึ่งผมมีประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมกับการถ่ายภาพทะเลหมอกที่นี่ จำได้แม่นยำว่าคราวนั้นเราล่องภาคเหนือกันหลายวัน เพื่อนผมจากสงขลาขี่รถมอเตอร์ไซค์ สัญชาติอเมริกัน ฮาเลย์ เดวิดสัน ขึ้นมาสมทบกันที่นี่ เล่าเรื่องราวต่าง ๆ แลกเปลี่ยนกันอย่างออกรส กว่าจะแยกย้ายกันเข้านอนแสงเดือนฉายก็สว่างขึ้นเหนือทิวเขาใหญ่

          เสียงนาฬิกาปลุกดังเบา ๆ จากโทรศัพท์เคลื่อนที่เรียกให้ผมลุกออกมาจากที่นอนและผ้าห่มนุ่มหนา ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ดารดาษไปด้วยหมู่ดาวที่ประดับวิบวาวอยู่อย่างตระการตา ผมนำขาตั้งกล้องและกล้องพร้อมสายลั่นชัตเตอร์ขึ้นประกอบและค่อย ๆ โฟกัสอย่างช้า ๆ ก่อนจะเปิดโปรแกรมให้อยู่ในโหมด B เพื่อให้เราสามารถเก็บแสงได้นานอย่างที่ต้องการ ความงดงามของผืนทะเลหมอกเบื้องล่างเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อตีนฟ้ายก ผมยืนมองภาพที่เปลี่ยนไปตามกระแสธารแห่งเวลาที่ไม่หยุดนิ่ง สายลมหนาวจากหุบเขาพัดผ่านเข้ามาเป็นระยะ

          เสียงน้ำเดือดดังขึ้น หลังจากที่ผมปล่อยสายลั่นชัตเตอร์ เพื่อให้กล้องหยุดการบันทึกแสง จากนั้นจึงตรวจภาพที่ได้จากการถ่ายภาพเมื่อสักครู่ แม้จะเป็นเพียงเส้นทางสั้น ๆ ของดวงดาวที่มาประดับไว้ในไฟล์ภาพ คู่กับผืนทะเลหมอกแน่น แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับความอิ่มใจ

ภูลังกา

ภูลังกา

          แสงแรกเริ่มส่องผ่านทิวเขาทางตะวันออก เงาตะคุ่มดำของแท่งหินปูบริเวณบ้านห้วยเฟือง เห็นชัดเจนขึ้นจนดูคล้ายกับจะลอยอยู่เหนือท้องทะเลก็มิปาน จากการมองผ่านเลนส์เทเลโฟโต ผมเห็นสายหมอกเป็นริ้วเคลื่อนไหวไปอย่างเอื่อยช้า ตามความแผ่วของสายลมที่พัดพลิ้วอยู่ในหุบเขาเบื้องล่าง ผมยืนมองแสงยามเช้าที่เริ่มสาดแสงสีเหลืองทองลงบนผืนทะเลหมอกสีขาว ของธรรมชาติทำให้เราอิ่มเอมหัวใจยิ่งนัก

          เรายังยืนอ้อยอิ่งอยู่บนระเบียงจุดชมวิวของภูลังกา รีสอร์ท จนสายหมอกเริ่มจางหายไปจากหุบเขาของบ้านห้วยเฟือง และภายใต้ผืนทะเลหมอกนั้น ยังมีสิ่งงดงามอีกมากมายนักที่ยังรอการเข้าไปเยี่ยมจากคนเดินทาง

          เราตัดสินใจลาจากเส้นทางสุดแสนโรแมนติกแห่งนี้  หลังจากที่ได้คุยกันถึงพาสปอร์ที่ยาวที่สุดในโลกกับเจ้าของสถานที่  โดยหวังว่าหนาวนี้เราจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง หวังว่าคงได้เจอกันนะครับ บนเส้นทางแห่งสายหมอกและดวงดาวบนท้องฟ้า...

ภูลังกา

ภูลังกา

คู่มือนักเดินทาง

          จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) มุ่งสู่จังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร ตาก ลำปาง และต่อไปจนถึงจังหวัดพะเยา แนะนำให้ใช้ทางเส้นทางนี้ เนื่องจากสามารถเดินทางได้สะดวกที่สุด และเป็นถนนสี่เลนตลอดเส้นทาง

          จากจังหวัดพะเยา เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1021 (พะเยา-เทิง) ถึงหน้าอำเภอจุน ถึงสี่แยกเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1021 ประมาณ 24.5 กิโลเมตร ถึงตำบลน้ำแวน อำเภอเชียงคำ เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1176 ประมาณ 6.5 กิโลเมตร เลี้ยวซ้าย เพื่อเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1179 (ฝายกวาง-บ้านดอนเงิน) ประมาณ 0.5 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหายเลข 1148 ประมาณ 14 กิโลเมตร ถึงสามแยกตัดกับทางหลวงหมายเลข 1092 จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 1148 ประมาณ 2.9 กิโลเมตร ผ่านบ้านสิบสองพัฒนา ถึงที่ทำการศูนย์วัฒนธรรมชาวเขา เลี้ยวซ้ายหักศอกเข้าสู่ถนน รพช. เพื่อมุ่งหน้าสู่วนอุทยานภูลังกา ประมาณ 7.8 กิโลเมตร จะผ่านโครงการหลวงปังค่า โฮมสเตย์วิถีชีวิตชนเผ่ามั่งบ้านน้ำต้ม

ติดต่อ

          วนอุทยานภูลังกา ตำบลผาช้างน้อย อำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา 56110 โทรศัพท์ 0 5371 4914  โทรสาร 0 5374 4961 อีเมล reserve@dnp.go.th




ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
 
ISSN 0125 7226 ปีที่ 50 ฉบับที่ 3 ตุลาคม 2553

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ภูลังกา บนเส้นทางแห่งดวงดาวและสายหมอก อัปเดตล่าสุด 16 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 17:01:25 3,407 อ่าน
TOP