x close

ภูสอยดาว 2017 ตะลุยป่าตามหาทุ่งดอกหงอนนาคกลางป่าสนบนยอดเขา

         รีวิวประสบการณ์การเดินขึ้นสู่ลานสน แห่งอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว จังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อตามหาทุ่งดอกหงอนนาค ภูสอยดาวที่กำลังบานสะพรั่งรับสายฝน บอกเล่าตั้งแต่การเตรียมตัว เส้นทางขึ้นสู่ภูสอยดาว การเดินทางไปยังภูสอยดาวฉบับ 2017
          ถือเป็นความโชคดีมาก ๆ ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุโขทัย ได้เชิญชวนทีมงานของเราไปสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวภูสอยดาว 2017 ซึ่งปีนี้เจ้าหน้าที่บอกว่าดอกหงอนนาคบริเวณลานสนสวยงามกว่าปีก่อนอีกค่ะ และจากการที่เราได้ขึ้นไปพิชิตลานสนมา ก็ต้องบอกว่าสวยงามตามท้องเรื่องแบบสุด ๆ วันนี้เราจึงจะมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการเตรียมตัวเที่ยวภูสอยดาว พร้อมทั้งเรื่องราวระหว่างทางว่าเส้นทางเป็นอย่างไร ลำบากมากน้อยแค่ไหน บรรยากาศทุ่งดอกหงอนนาค บนลานสนสวยงามคุ้มค่าต่อการเดินเท้าขึ้นเขากว่า 4 ชั่วโมงหรือไม่ มาดูไปพร้อม ๆ กันได้เลย

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

          รู้จักภูสอยดาว

          ก่อนที่จะเดินทางไปเที่ยวภูสอยดาว เรามาทำความรู้จักกับที่นี่กันสักนิดก่อนดีกว่าค่ะ อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ครอบคลุมพื้นที่อยู่ 2 จังหวัดด้วยกัน คือตำบลม่วงเจ็ดต้น ตำบลนาขุม ตำบลบ้านโคก อำเภอบ้านโคก อำเภอห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ และตำบลบ่อภาค อำเภอชาติตระการ จังหวัดพิษณุโลก โดยเราจะต้องติดต่อการขึ้นไปยังลานสนที่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ที่ตำบลห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์

          แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์ของภูสอยดาวก็คือ "ทุ่งดอกหงอนนาค" บริเวณลานสน ที่จะบานสะพรั่งในทุก ๆ หน้าฝน รวมทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวสวย ๆ ให้ชมระหว่างทางมากมาย อาทิ น้ำตกภูสอยดาว, น้ำตกสายทิพย์, หลักกิโลเมตรประเทศไทย-ลาว และจุดชมพระอาทิตย์ตกดิน ฯลฯ ส่วนถ้าใครมีแรงเหลือมากพอก็สามารถเดินต่อขึ้นไปพิชิตยอด 2,102 จุดสูงสุดของอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวได้ด้วยเช่นกัน

          สำหรับเส้นทางพิชิตลานสน ภูสอยดาว นักท่องเที่ยวจะต้องเดินเท้าเข้าป่าเป็นระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ใช้เวลาราว ๆ 4-5 ชั่วโมง แล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคนค่ะ โดยเส้นทางก็จะผ่านลำธาร เดินขึ้นเขาสูงชันบ้างบางจุด แบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 เนิน เริ่มจากเนินส่งญาติ เนินปราบเซียน เนินป่าก่อ เนินเสือโคร่ง และเนินมรณะ

          หลายคนเข้าใจว่าภูสอยดาวเที่ยวได้แค่เฉพาะหน้าฝน ซึ่งอันที่จริงแล้วที่นี่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี หน้าหนาวอากาศจะเย็นมาก มีทะเลหมอกและทะเลดาวสวย ๆ ให้ชมเพียบ แต่ถ้าใครอยากเห็นดอกหงอนนาคบานเต็มผืนป่าก็ต้องมาเที่ยวหน้าฝนค่ะ ช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม-ตุลาคมของทุกปี

          การเตรียมร่างกายก่อนพิชิตลานสน ภูสอยดาว
 
          หลายคนถามมาว่าเส้นทางภูสอยดาวโหดไหม ถ้าสำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบท่องเที่ยวแบบผจญภัย ไม่ได้ออกกำลังกายมากนัก ก็ต้องตอบว่าโหดพอสมควรค่ะ (บางคนยังไม่พ้นเนินส่งญาติก็ถอดใจกันแล้ว) เพราะจะต้องเดินขึ้นเขาตลอด บางช่วงก็ชันและลื่นมาก ยิ่งถ้าฝนตกก็จะยิ่งเฉอะแฉะ เพิ่มความยากเข้าไปอีกเท่าตัว

          แต่สำหรับทริปนี้เราโชคดีมาก ๆ ที่ฝนไม่ตก เส้นทางไม่ลื่น ฟ้าปิด (แต่ถ่ายรูปออกมามันก็จะอึมครึมเล็กน้อย) มีเมฆหมอกตลอดทาง อากาศเย็นสบายกำลังดี เดินได้เรื่อย ๆ ไม่เหนื่อยและร้อนหรือหนาวฝนจนเกินไป

          สิ่งที่แนะนำก่อนการเดินทางก็คือควรออกกำลังกายประเภทคาร์ดิโอไปก่อนสัก 3-5 วัน เน้นช่วงขาได้ยิ่งดี และระมัดระวังอย่าให้ไม่สบายก่อนการเดินทาง เตรียมร่างกายประมาณนี้ก็สามารถเดินขึ้นลานสน ภูสอยดาว ได้แบบสบาย ๆ ^^

          การจัดกระเป๋า สำหรับการขึ้นภูสอยดาว

          สำหรับทริปนี้เรานำกระเป๋าใบเล็กใส่กระเป๋าเดินทางไปเพิ่มประมาณ 3 ใบค่ะ โดยจะแบ่งเป็นเป้ใส่สัมภาระให้ลูกหาบแบกขึ้นไปให้ มีกระเป๋ากันน้ำใส่กล้องสำหรับพกติดตัว และเป้สะพายหลังใส่สัมภาระเล็กน้อยพกติดตัวตอนเดินขึ้นเขา

          ในเป้ที่ให้ลูกหาบแบกขึ้นไปให้มีอะไรบ้าง ? ของเราจะมีพวกเสื้อผ้า อาหารแห้งไว้กินตอนเย็นและมื้อเช้า (ขนมและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเล็กน้อย เพราะทางทีมงาน ททท. สุโขทัย เตรียมไว้ให้แล้ว) น้ำดื่ม (ไว้ล้างหน้าสำหรับคนแพ้น้ำ) รองเท้าแตะ ของอาบน้ำ แบตเตอรี่สำรอง ทิชชูเปียก ทิชชูธรรมดา และเครื่องสำอาง ใครที่ไปเที่ยวเองควรเตรียมยาต่าง ๆ และถุงดำไปด้วยนะคะ (ทริปเรา ททท. สุโขทัย เตรียมให้ ขอบคุณค่ะ ^^ ) อ๊ะ ๆ อีกสิ่งที่สำคัญมาก ๆ แต่เราลืมก็คือไฟฉาย จำเป็นมาก ๆ เพราะด้านบนไม่มีไฟฟ้า

ภูสอยดาว

          ของที่พกติดตัวระหว่างเดินขึ้นเขาล่ะควรมีอะไรบ้าง ? เราจะแบ่งเป็นเป้ 2 ใบค่ะ เป้ใบแรกจะใส่กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์ กระเป๋าเงิน และของจำพวกที่เปียกไม่ได้ ส่วนเป้สะพายหลังอีกใบจะใส่น้ำดื่ม 3 ขวด (เรากินน้ำดื่มเยอะ) ยาดม แผ่นพลาสเตอร์ยา แบตเตอรี่สำรอง เสื้อกันฝน ทิชชู (เช็ดแล้วเก็บมาทิ้งข้างล่างนะคะ หาถุงพลาสติกใบเล็ก ๆ ไว้ใส่ขยะกระจุกกระจิก) อาหารกลางวัน ฯลฯ

ภูสอยดาว

          เสื้อผ้าสำหรับการเดินป่า แนะนำให้ใส่ขายาวจะดีที่สุด จะได้ไม่โดนทากดูดเลือดหรือตัวคุ่นกัด เป็นสีสันนิด ๆ ก็ได้ค่ะ ยุงจะได้ไม่มาตอมและกัดคันยิบ ๆ เหมือนเรา T^T รองเท้าก็เป็นรองเท้าผ้าใบเดินสบาย ที่มีดอกยางหนืด ๆ ย้ำ ! ว่าต้องหนืด ! เพราะพื้นลื่นมาก (ใส่ ก ไก่สิบตัว) ไม่แนะนำสตั๊ดดอยนะคะ อาจจะกัดเท้าได้

          การเดินทาง ภูสอยดาว
  
ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

          ในการเดินทางไปพิชิตลานสน ภูดอยดาว ครั้งนี้ เราใช้บริการสายการบินบางกอกแอร์เวย์สมาลงที่จังหวัดสุโขทัยค่ะ แล้วเดินทางต่อด้วยรถตู้ที่ ททท. สุโขทัย จัดเตรียมไว้ให้ มานอนค้างที่อำเภอน้ำปาด 1 คืน พอวันรุ่งขึ้นก็ค่อยเดินขึ้นภูสอยดาว แต่เท่าที่สอบถามนักท่องเที่ยวท่านอื่น ๆ ก็ยังมีวิธีเดินทางให้เลือกอีกมากมาย แต่ที่นิยมกันมากที่สุดก็คือการนั่งเครื่องบินมาลงที่พิษณุโลก แล้วเช่าเหมารถมาส่งที่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว ราคาเช่าเหมารถไป-กลับ จะอยู่ประมาณ 2,000-3,500 บาท สามารถต่อรองและสอบถามจากผู้ประกอบการได้เลยค่ะ

          เตรียมตัวพร้อม ก็เริ่มออกเดินทางสู่ภูสอยดาว

          เช้าวันรุ่งขึ้นเราออกจากที่พักในอำเภอน้ำปาดตั้งแต่ประมาณ 06.30 น. เมื่อคืนฝนตก เดาว่าเส้นทางน่าจะลื่นระดับหนึ่ง แต่คงไม่มากนัก เพราะช่วงเช้ามีแดดออกแล้ว จากรีสอร์ทเดินทางไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาวจะใช้เวลาราว ๆ 1-1.30 ชั่วโมง เพราะเส้นทางคดเคี้ยวและเป็นเส้นทางเรียบริมเขา ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

          สิ่งแรกที่เราทำเมื่อมาถึงที่นี่ก็คือการจัดเตรียมข้าวของที่จะให้ลูกหาบแบกขึ้นไปค่ะ กิโลกรัมละ 30 บาทเท่านั้น แล้วก็จ่ายค่าธรรมเนียม และค่าเต็นท์ รวมทั้งค่าอาหารบนดอย มีชาบูดอยบริการด้วยนะคะ สั่งได้เลยจากข้างล่าง ราคาอยู่ที่ 399 บาท สำหรับ 2-3 คน ควรเตรียมทั้งอาหารเย็นและอาหารเช้าอีกวันให้พร้อมค่ะ เพราะด้านบนไม่มีร้านค้า ให้ลูกหาบแบกขึ้นไปให้เลย

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว
รายละเอียดค่าเต็นท์ ค่าอาหาร และอุปกรณ์ต่าง ๆ

          อ้อ...บริเวณที่ทำการอุทยานและบนลานสน ภูสอยดาว มีคลื่นโทรศัพท์แค่ 2 ค่าย ค่ะ คือทรูมูฟและเอไอเอส ใครใช้ค่ายอื่น อาจจะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก 2 วันนะคะ

ภูสอยดาว
          กินข้าวเช้าที่อุทยาน เตรียมความพร้อมด้วยข้าวผัดกะเพราไข่ดาว

          กินข้าวเช้าเรียบร้อย ก็เข้าห้องน้ำ แล้วนั่งรถอีแต๊ก (หรืออีแต๋น ไม่แน่ใจค่ะ) ไปยังน้ำตกภูสอยดาว เพราะเส้นทางเดินสู่ลานสน จะเริ่มที่นี่ค่ะ

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

          เมื่อพร้อมแล้วก็...ลุย !

ภูสอยดาว

          เราเริ่มเดินประมาณ 10.00 น. ช่วงแรกของการเดินขึ้นลานสน ภูสอยดาว จะเป็นเส้นทางเรียบริมน้ำตก ลัดเลาะไปตามไหล่เขาเรื่อย ๆ มีเดินขึ้นเนินบ้าง ลงเนินบ้าง ชันมากน้อยแตกต่างกันไป สลับกับพื้นดินราบเล็กน้อย มีความเฉอะแฉะน้อยถึงมาก เรียกเหงื่อได้ท่วมตัวเลยทีเดียวค่ะ

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

          ช่วงต่อมาเรายกให้เป็นการเตรียมตัวก่อนขึ้นเนินส่งญาติแล้วกันค่ะ 555+ เพราะเริ่มชันแล้ว ต้องไต่ปีนบันได 2 ช่วงสั้น ๆ แต่ก็หอบค่ะ หอบมากด้วย แต่มันต้องสู้ ดอกหงอนนาครอเราอยู่ ฮึบ !

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

          คราวนี้ก็ของจริงแล้วกับการเริ่มต้นสู่เนินแรก "เนินส่งญาติ" เนินแห่งป่าไผ่ร่มรื่น แต่ทางไม่เรียบลื่นเลยค่ะ มันชันมาก เป็นการเดินขึ้นเขาอย่างเดียว มีบางช่วงเป็นบันไดเหล็ก บางช่วงก็เป็นขั้นบันไดดิน สลับกันไป ต้องระมัดระวังการลื่นล้มแบบสุด ๆ เทคนิคที่เราใช้เดินขึ้นเขาครั้งนี้ก็คือก้าวสั้น ๆ โน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ค่อย ๆ เดิน อย่ามองขึ้นสูง (เพราะจะตัดกำลังใจเรามาก ฮือ) แต่ละก้าวตั้งสติและต้องมั่นใจว่ามันจะไม่ลื่น แล้วค่อยทิ้งน้ำหนักตัวเดินไต่ขึ้นไป หายใจตลอด มันจะเหนื่อยน้อยลง และทำให้เราเดินได้แบบเรื่อย ๆ

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

          พอพ้นเนินส่งญาติมาจะเป็นลานนั่งพักค่ะ ใครไม่ไหวนั่งพักตรงนี้ก่อนที่จะไปต่อก็ได้ ส่วนเราคิดว่ายังไหว ก็เลยเดินเรื่อย ๆ ไปยัง "เนินปราบเซียน" ซึ่งเนินนี้จะเป็นเส้นทางเดินขึ้นเขาสลับกับทางราบเรียบ มีดอกไม้ป่า เห็ดป่าให้เดินชมตลอดทาง

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว
          ลูกหาบเดินตามหลังมาเรื่อย ๆ แข็งแรงมาก นี่ก็หาบมา 20 กว่ากิโล

          แถ่น แท้น ... และแล้วเราก็เดินขึ้นมาถึงเนินป่าก่อ เวลา ณ ขณะนี้ประมาณ 13.00 น. พอดีค่ะ ก็แวะพักทานข้าวกลางวันกันแป๊บหนึ่ง แต่บอกตรง ๆ ว่ากินไม่ค่อยลงเท่าไร ไม่หิวเลย หรือมันเหนื่อยจนกินไม่ลงก็ไม่รู้ 555

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

          มามะ มาเหนื่อยกันในเฮือก (ใกล้) สุดท้าย เดินต่อไปยัง "เนินเสือโคร่ง" ช่วงระหว่างนี้ไม่หนักหนาเท่าไรนะคะ เป็นเส้นทางราบเรียบสลับกับเนินเตี้ย ๆ บ้าง ไม่ชัน แต่ระวังทากดูดเลือด เราโดนกัดแถว ๆ นี้นี่แหละ (ทั้งทริปเราโดนอยู่คนเดียว ทำไม ?) ดีดออกแทบไม่ทัน

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว
วิวมันก็จะเขียว ๆ หน่อย สดชื่น ^^

ภูสอยดาว
คุณลุงลูกหาบอายุ 64 ปี แล้ว แต่ยังแข็งแรงมาก

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

          และแล้วด่านสุดท้ายก็มาถึง จุดที่ต้องเสียทั้งเหงื่อและน้ำตา กับ "เนินมรณะ" เนินที่โหดที่สุดของเส้นทางนี้ มีระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร แต่เป็น 1 กิโลเมตร ที่เหนื่อยแทบขาดใจจริง ๆ เพราะมันจะเป็นทางขึ้นเขาอย่างเดียวเลยค่ะ ความชันก็ราว ๆ 70 องศาตลอดเส้นทาง

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

          มีจุดให้แวะพักริมทางสูดอากาศหน่อย ๆ แต่วิวมันดีมาก บางช่วงฟ้าเปิดจะเห็นเป็นยอดเขาน้อยใหญ่ด้านล่าง มีเมฆหมอกบาง ๆ สามารถย้อมใจให้ฮึดเดินขึ้นไปยังลานสนได้อย่างดีทีเดียว

ภูสอยดาว
วิวย้อมใจ ช่วยหายเหนื่อยได้ดี

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว
มีจุดแวะพักเหนื่อยระหว่างเนินมรณะ

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว
ช่วงท้าย ๆ ของเนินมรณะจะเป็นทางเดินเรียบ ๆ ค่ะ ไม่เหนื่อยแล้ว เราจะได้ว้าวกันแล้วจ้า

          โอ้โห...พอเดินขึ้นมาถึงบริเวณป้ายผู้พิชิตลานสน ภูสอยดาว ต้องบอกว่าหายเหนื่อยเลย ใจมันว้าวมาก สายหมอกกับอากาศเย็น ๆ มันรู้สึกดีแบบบอกไม่ถูกเลยทีเดียว มองดูนาฬิกา เวลาตอนนั้นราว ๆ 14.30 น. รวมเวลาเดินทั้งหมดก็ประมาณ 4.30 ชั่วโมงค่ะ

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

          ยังว้าวไม่สะใจ หันมองไปข้างหน้าที่ลานสน โอ้แม่เจ้า ! ดอกหงอนนาคสีม่วงกำลังบานสะพรั่งรอเราอยู่เต็มเลย หันไปทางไหนก็มีแต่ดอกหงอนนาค แต่ละดอกมีน้ำค้างค้างอยู่นิด ๆ สายหมอกลอยละล่องบางเบา อากาศหนาวหน่อย ๆ สูดเข้าไปนี่สดชื่นแบบสุด ๆ หูย...ฟินอะ ! คุ้มค่ากับการเดินขึ้นเขามากค่ะทุกคน

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

ภูสอยดาว

          หลังจากนั้นก็เดินถ่ายรูปบ้าบอไปเรื่อยเลยค่ะ ดอกไหน ช่อไหนก็สวยไปหมด อะไรที่มันอยู่ถูกที่ถูกเวลา ก็มักจะงดงามแบบนี้นี่แหละ












    



บรรยากาศบริเวณลานกางเต็นท์















          หลังจากที่ถ่ายรูปกับดอกหงอนนาคจนหนำใจ ก็สำนึกขึ้นมาได้ว่าทั้งตัวนั้นมีแต่เหงื่อท่วม กลิ่นเน่าเริ่มลอยมาตามลมแล้ว ควรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หอมฟุ้งนะตัวเธอ ก็เลยเดินไปยังลานกางเต็นท์ แล้วความจริงอันโหดร้ายก็ปรากฏขึ้น ลูกหาบยังมาไม่ถึงค่ะ ฮือ...ร้องไห้ในใจอยู่สักพัก ก็ตั้งสติได้ งั้นฆ่าเวลาด้วยการไปเก็บภาพน้ำตกสายทิพย์ก่อนดีกว่า เผื่อพรุ่งนี้เหนื่อยเดินไปไม่ไหว จะได้มีภาพสำรองไว้ ฟิตค่ะ เราฟิต (กางเกงก็ฟิตหนักมากเช่นกัน)






ชันมาก ระมัดระวังกันด้วยนะคะ

          จากจุดกางเต็นท์เดินย้อนมาเล็กน้อย จะเห็นทางลงไปน้ำตก พอเห็นทางเท่านั้นแหละ เหมือนโดนหลอกมายังไงก็ไม่รู้ ไหนบอกหนูว่ามันเดินสบาย ๆ ไง ? คือมันชันกว่าเนินมรณะอีกนะเนี่ย แต่ก็หันหลังกลับไม่ได้แล้ว เดี๋ยวเสียฟอร์ม ก็เลยค่อย ๆ ไถก้น จับต้นหญ้าลงไปเรื่อย ๆ (ไม่อยากจะคิดถึงตอนเดินขึ้นเลย Y^Y) ช่วงไม่ยาวมากค่ะ แต่ชันมาก











          แต่พอลงมาถึงตัวน้ำตกแล้วมันหายเหนื่อยเลย สวยมาก ! มีทั้งมอสส์และต้นไม้อื่น ๆ ขึ้นเขียวขจี และมีดอกไม้ป่าเล็ก ๆ สีสันสดใสอยู่รอบ ๆ น้ำตก มีทางเดินลงไปเรื่อย ๆ เราเจอกับใบเมเปิลสีแดงด้วย ตื่นเต้นกว่าถูกหวยอีก ฮ่า ๆๆ







          อยากฝากไว้สักนิดค่ะ...ใครที่จะลงมาชมน้ำตกต้องระมัดระวังมาก ๆ นะคะ เพราะทางชันและลื่นมากจริง ๆ ตรงน้ำตกถ้ามีน้ำเยอะ ๆ อย่าไปยืนเชียว เพราะเป็นหน้าผาลึก จะลื่นและตกลงไปได้ค่ะ ส่วนขาขึ้นน้ำตกไม่ต้องบรรยายละเนอะ เอาเป็นว่าเหนื่อยพอ ๆ กับเนินมรณะเลยละกัน













          พอกลับมาถึงลานกางเต็นท์อีกครั้ง ทุกคนในทริปเดินทางมาถึงแล้วค่ะ แต่ลูกหาบก็ยังไม่มา เลยเดินเล่นถ่ายรูปต่ออีกสักหน่อย เพราะดอกหงอนนาคจะบานหลังจาก 10 โมงเช้าเป็นต้นไป ซึ่งเช้าวันรุ่งขึ้นเราจะต้องเดินทางกลับแล้ว ก็อาจจะไม่ได้เห็นดอกหงอนนาคบานอีกรอบค่ะ โน้ตไว้เลยนะคะว่าดอกหงอนนาคบานตั้งแต่ 10.00 น. บางคนมาถึงเย็นย่ำแล้วกลับเช้าอีกวัน อาจจะพลาดได้


มาเป็นแก๊งก็จะสนุกหน่อย ๆ :)














ลูกหาบมาแล้ว เย้ !

          หลังจากที่ลูกหาบเดินทางมาถึง ก็นัดเวลากินข้าวเย็น แล้วแยกย้ายเอาสัมภาระไปเก็บในเต็นท์ พร้อมกับอาบน้ำพักผ่อน แต่ความจริงที่โหดร้ายอีกข้อก็ปรากฏ คือเราต้องตักน้ำจากลำธารมาอาบกันที่ห้องน้ำ นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ แต่ความสำคัญมันอยู่ตรงที่น้ำเย็นเจี๊ยบ ! โอ๊ย หนาวสุดขั้วหัวใจไปเลย ตัดสินใจไม่อาบค่ะ ใช้กระดาษทิชชูเปียกทั้งแพ็กนั่นแหละเช็ดตัว สบาย :)


เต็นท์ของอุทยานจะมีหลังคาคลุม ไม่ต้องกลัวเปียก


ภายในเต็นท์กว้างขวาง

          และแล้วเวลาที่เรารอคอยก็มาถึงอาหารเย็นนั่นเอง ระหว่างรอเจ้าหน้าที่จัดแจงอาหารก็แอบต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินไปนิดหน่อย ใครที่ไม่ได้สั่งอาหารอย่างชาบูดอยกับทางอุทยาน เขามีให้เช่าพวกอุปกรณ์ทำอาหารค่ะ แต่ต้องติดต่อมาจากข้างล่าง วางแผนดี ๆ นะคะ ยิ่งช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาวนักท่องเที่ยวจะเยอะมาก อาจจะไม่เพียงพอ จะได้หาแผนสำรองได้ทันท่วงที







          เมนูมื้อเย็นของเราอิ่มหมีพีมันมาก ๆ เป็นชาบูดอยที่อร่อยสุด ๆ มีทั้งผัก เนื้อสัตว์ และเครื่องต่าง ๆ แบบครบเซต อิ่มอร่อยนอนกางพุงกางสบายแล้วคืนนี้





          เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับเท่าไรค่ะ อากาศหนาวมาก เพราะฝนตก ๆ หยุด ๆ ตลอดทั้งคืน ใครจะมาเที่ยวหน้าหนาว เตรียมเสื้อกันหนาวให้ดีนะคะ อากาศจะเย็นมากกว่านี้แน่นอน


บรรยากาศยามเช้า










เสิร์ฟความสดชื่นกันด้วยภาพบรรยากาศยามเช้า




ข้าวเช้าของพวกเรา

          หลังจากกินข้าวเช้าเรียบร้อย เรานัดกันไปชมหลักกั้นเขตแดนระหว่างดินแดนไทย-ลาว เราต้องเดินไปทางด้านหลังของจุดกางเต็นท์ ผ่านลำห้วยนิดหน่อย เจ้าหน้าที่บอกว่าให้เดินตามทางไปเรื่อย ๆ ก็จะถึงหลักกิโลเมตร เราก็เดินถ่ายภาพตามทางมาเรื่อย ๆ ค่ะ แต่ด้วยความที่หมอกเยอะมาก มองไม่เห็นทาง ไม่เห็นสัญลักษณ์อะไรเลย เดินนำทีมมาก่อนแค่ 3 คน เดินเรื่อย ๆ ก็หาไม่เจอสักที ถอดใจกำลังจะเดินย้อนกลับ คนอื่น ๆ ในทริปก็เดินตามมาพอดี มีคนบอกให้เดินต่อไปอีกจะเจอ ก็เลยพากันเดินไปอีกระยะค่ะ ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึงแล้ว













          หลักเขตแดนนี้เป็นจุดแสดงกั้นอาณาเขตดินแดนไทย-ลาว เราสามารถเที่ยวได้ 2 แผ่นดินในทริปเดียวเลย (ห้ามเดินเข้ามาทางฝั่งลาวนะคะ ใครมาเที่ยวที่นี่ก็อย่าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปนะคะ)











          สำหรับเส้นทางมาชมหลักเขตแดนไทย-ลาวนี้สามารถเดินวนไปยังลานกางเต็นท์ได้ค่ะ เดินตามเส้นทางไปเรื่อย ๆ ได้เลย ทางฝั่งนี้เราแอบเห็นต้นดอกกระดุมเงินด้วย และยังมีชะง่อนผา รวมทั้งจุดชมวิวสวย ๆ ให้ถ่ายรูปคู่กับวิวเพียบ เซลฟี่กันยาว ๆ ไป
























































          ดอกหงอนนาคเริ่มบานแล้ว ได้รูปมานิดหน่อยเช้านี้ ^^

          และแล้วก็ถึงเวลาเดินทางกลับค่ะ กลับทางไหน ก็ทางเดิมที่เดินมานั่นแหละ 555+ เก็บสัมภาระให้เรียบร้อย อย่าลืมเก็บข้าวของให้หมดเด้อ และที่สำคัญอย่าลืมขยะกลับไปทิ้งข้างล่างด้วยนะคะ

ภูสอยดาว
ลงมาถึงข้างล่างก็ต้องเล่นน้ำตก :)

          เราเดินลงมาตอน 10 โมงนิด ๆ ถึงน้ำตกภูสอยดาวประมาณบ่ายโมง รวมใช้เวลาเดินลงราว ๆ 3 ชั่วโมงค่ะ ตอนเดินลงเขาขากลับ เตรียมเบรกเท้าไว้ให้ดี ๆ นะทุกคน ไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ เดิน ขามันจะสั่นหน่อย ๆ ปล่อยมันสั่นไป แค่ไม่ล้มพับหรือลื่นไถลลงป่าข้างทางเป็นพอ :) แล้วไปเช็กอินที่ลานสน ภูสอยดาว ด้วยกันนะคะ ^_^

          ส่วนถ้าใครอยากเติมพลัง ช่วงนี้สามารถไปอิ่มอร่อยกับทุเรียนพันธุ์หลง-หลิน แห่งบ้านหัวดง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ กันได้นะคะ อยากบอกว่ามันหวานหอม อร่อยมาก ๆ นี่ไม่ได้ยั่วนะ













          แต่ถ้าใครอยากกินจริง ๆ แต่ไม่สามารถเดินทางไปยังตลาดบ้านหัวดงได้ ร้านแม่ลูกหมี เขาก็มีบริการส่งให้ด้วยค่ะ เบอร์โทรศัพท์ 08 2410 1456

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุโขทัย, park.dnp.go.th

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ภูสอยดาว 2017 ตะลุยป่าตามหาทุ่งดอกหงอนนาคกลางป่าสนบนยอดเขา อัปเดตล่าสุด 16 สิงหาคม 2562 เวลา 13:54:56 38,587 อ่าน
TOP