x close

ตระเวนกิน ถิ่นอัมพวา



ตระเวนกินถิ่นอัมพวา (momypedia)

เรื่องและภาพโดย: เรืองรวี บรรณพิภพ

เมืองหอยหลอด ยอดลิ้นจี่ ของดีน่ากิน
 
         ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ มาตลอดทั้งสัปดาห์ ก็อาจทำให้เรารู้สึกว่าอยากจะออกนอกเมือง ไปสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดกันบ้าง แต่ครั้นจะให้ขับรถไปไหนไกลๆ หลายคนก็เหนื่อยและล้าเกินกว่าจะทำอย่างนั้นได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเบนเข็มมาเที่ยวพักผ่อนกันใกล้ๆ เมืองหน่อยแล้วล่ะค่ะ เอาที่ขับรถไปถึงได้ภายในเวลาแค่ 1 - 2 ชม. เท่านั้น

         และตัวเลือกที่น่าสนใจ ก็คือ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ค่ะ เพราะว่าขับรถไปไม่ไกลเลยค่ะ แต่ว่าคราวนี้เราจะไม่ได้มุ่งหน้าตรงไปตลาดน้ำอัมพวาเป็นแห่งแรกนะคะ เราจะแวะตามรายทางกันก่อนค่ะ เพราะอันที่จริงแล้ว อัมพวา ไม่ได้มีดีแค่ที่ตลาดน้ำนะคะ แต่อัมพวายังมีร้านอาหารอร่อยๆ และตลาดที่รวบรวมร้านอาหารเล็กๆ แต่เก่าแก่มาแต่รุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายยไว้เพียบเลยค่ะ

         เราจะมาเริ่มกันที่ "ตลาดแม่กลอง" หรือ "ตลาดร่มหุบ" กันเป็นที่แรกเลยนะคะ แต่เราคงจะต้องไปที่นี่กันให้เช้าหน่อย เพราะร้านแถวๆ ตลาดแห่งนี้ โดยมากจะเปิดขายกันตั้งแต่เช้าตรู่เลยค่ะ ดังนั้นพอเริ่มสายๆ ไปจนถึงเที่ยงๆ ของจะเริ่มหมดแล้วค่ะ บางร้านขายดีมาก จนหมดเกลี้ยงไปตั้งแต่ 11 โมงก็มีค่ะ จะให้ดีเราควรไปถึงสักตอน 8 โมง – 11 โมง เพราะเป็นช่วงเวลาที่แดดยังไม่ร้อนมาก และยังมีของกินอร่อยๆ เหลือให้กินอยู่ค่ะ

         ทางไป ตลาดแม่กลอง ถ้าขับรถมาจากกรุงเทพฯ ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 35 ถนนพระราม 2 (ถนนธนบุรี-ปากท่อ เดิม) ขับไปเรื่อยๆ จนถึงหลัก กม.ที่ 63 ชิดซ้าย ใช้ทางคู่ขนานต่างระดับ เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองสมุทรสงคราม พอถึงสี่แยกแรก ให้ขับตรงไปจนถึงสี่แยกที่สอง (แยกโรงพยาบาล สมเด็จพระพุทธเลิศหล้า) จากนั้นค่อยเลี้ยวขวา และขับตรงไปอีกสักพักตรงไป ข้ามทางรถไฟ ก็จะถึง "ตลาดแม่กลอง" หรือ "ตลาดรถไฟ" ตลาดซึ่งมีทางรถไฟพาดผ่านตรงกลางที่พ่อค้าแม่ค้าวางกระบุงตระกร้าขายของกันเนี่ยแหละค่ะ มันจึงเป็นที่มาของชื่อ "ตลาดร่มหุบ" เพราะพ่อค้าแม่ค้าต้องคอยหุบร่มกันอยู่เป็นระยะๆ เวลาที่รถไฟผ่านมานั่นเอง

         แต่จุดที่เราจะไปตระเวนชิมกันไม่ได้อยู่ในบริเวณตลาดสดที่มีทางรถไฟพาดผ่านนะคะ ตลาดสดจะเป็นแค่จุดที่เราเดินลัดเลาะผ่านไปเท่านั้น แต่เป้าหมายของเราจะอยู่บริเวณร้านค้าที่เป็นตึกแถวเรียงรายอยู่รอบๆ ตลาดค่ะ.... เริ่มกันที่ร้าน 



         ชุ้นพาณิชย์ ก๋วยเตี๋ยวเส้นปลาทำเอง ชามละ 25 บาท พิเศษ 30 ถ้าเข้ามาจากทางหน้าตลาด ร้านจะอยู่ทางขวามือนะคะ เลยจากปากทางมาสัก 100 เมตร

         ก๋วยเตี๋ยวเส้นปลาของร้าน "ชุ้นพาณิชย์" เป็นเส้นปลาที่ทำเอง จึงได้เส้นที่ยาว และให้รสชาติปลาแท้ๆ ไม่ใช่กินเข้าไปแล้ว มีแต่แป้ง อารมณ์เหมือนกิน "ฮือก้วย" ลูกชิ้นปลาเส้น ขนาดเล็กเลยค่ะ และนอกจากจะมีที่เส้นปลาเหนียวนุ่มแล้ว ยังมีเกี๊ยวปลาที่อร่อยมากๆ กับน้ำซุปหอมกรุ่นอีกด้วยค่ะ ถ้าใครที่กินเกี๊ยวปลาแล้วติดใจ เขามีขายต่างหากนะคะ ราคากิโลกรัมละ 120 บาทค่ะ

         จากนั้นเดินลัดเข้ามาด้านในตลาด เพื่อไปโผล่อีกด้านหนึ่ง แล้วข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม จะเจอร้าน เกาเหลากรุงไทย เกาเหลาเลือดหมูที่สืบทอดจากรุ่นพ่อแม่มาสู่รุ่นลูก และขายกันอย่างยาวนานมากว่า 28 ปี เป็นเกาเหลาเลือดหมูที่มีเครื่องในมาให้เพียบ ทั้งไส้อ่อน ตับ เซี่ยงจี๊ กระเพาะหมู และหมูบะช่อ น้ำซุปหวานๆ เค็ม ๆ กลมกล่อม กินกับข้าวสวยร้อน แล้วจิ้มไส้อ่อนกับน้ำส้มพริกตำ อร่อยอย่าบอกใครเลยค่ะ (ก๋วยเตี๋ยวเส้นปลา - เกี๊ยวปลาชามละ 25 – 30 บาท, เกี๊ยวปลากิโลกรัมละ 120 บาท)



         อ๊ะ แต่ว่าร้าน เกาเหลากรุงไทย นี้ เขาไม่ได้มีแค่ที่เกาเหลาเลือดหมูเท่านั้นนะคะ ข้าวขาหมู และก๋วยจั๊บน้ำใสของเขาก็อร่อยมากๆ ค่ะ โดยเฉพาะขาหมูนี่อร่อยมากจนถึงกับต้องซื้อกลับมาฝากคนที่บ้านกันเลยทีเดียวค่ะ เพราะว่าขาหมูของ “เกาเหลากรุงไทย” รสชาติจะออกเค็มกลมกล่อมแบบสูตรโบราณ ไม่เน้นรสหวานเหมือนขาหมูสมัยนี้ ที่ทำซะจนหวานเลี่ยน เหมือนกินขาหมูแช่อิ่มอย่างไรอย่างนั้นเลยค่ะ และที่สำคัญ ขาหมูเนี่ย ต้องกินกับผัดกาดดองเปรี้ยวเท่านั้นนะคะ ถึงจะอร่อย เพราะผักกาดดองรสชาติเปรี้ยว ๆ จะไปตัดรสกับขาหมูที่เค็มนำ หวานตามได้อย่าลงตัวที่สุดแล้ว แถมผักกาดดองของเขาก็หั่นซอยให้มีขนาดพอดีๆ ไม่ชิ้นใหญ่ยืดยาวแบบบางร้านอีกด้วย สรุปว่าเป็นร้านที่ประทับใจในความอร่อยจริงๆ ค่ะ ให้ไปเลย 5 ดาว (เกาเหลาเลือดหมูชามละ 20 – 30 บาท, ข้าวขาหมูจานละ 25 บาท, ขาหมูเปล่า 30 – 50 บาท, ยำเครื่องในชามละ 30 – 50 บาท, ก๋วยจั๊บน้ำใสชามละ 30 บาท) ร้านเปิดตั้งแต่ ตี5 ครึ่ง - บ่ายโมง

         ส่วนถ้าใครที่ชอบกินขาหมู แต่ก็แอบกลัวไขมันจะพอกเส้นเลือด ต้องเดินเลยมาที่หน้าธนาคารออมสิน ตรงปากซอยเพชรสมุทรค่ะ เพราะที่นั่นมี "ร้านข้าวขาหมูออมสิน" ที่เปิดตั้งแต่ตี 5 – 11 โมง แต่พอสัก 10 โมงครึ่ง ก็เหลือขาหมูอยู่นิด ๆ หน่อย ๆ แล้ว ขายดีแบบนี้เพราะอาปาเจ้าของร้านมีเคล็ดลับที่น่าจะมัดใจสาว ๆ ละแวกนั้นที่อยากกินแต่ก็กลัวอ้วนได้เป็นอย่างดี เคล็ดลับนั้นคือ อาปาจะเลาะเอามันที่ติดอยู่ตามเนื้อและหนังขาหมูออกจนหมด จนได้เนื้อเพียวๆ และหนังหมูบาง ๆ ไม่มีไขมันติดอยู่ให้ลำบากใจ วิธีนี้อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะช่วยให้คนกินรู้สึกผิดน้อยลงได้นะคะ (ข้าวขาหมูจานละ 25 -30 บาท)



         ในเส้นถนนเพชรสมุทร ยังมีบะหมี่เกี๊ยวหมูแดง และข้าวหมูแดงหมูกรอบเจ้าอร่อย (สุดๆ) ก๋องเมงจั้น ที่เปิดขายมากว่า 60 ปี ผ่านการสืบทอดมานานถึง 3 ชั่วอายุคน ซึ่งนี่เองจึงทำให้กรรมวิธีย่างหมูแดงที่ทำตามแบบวิธีโบราณ เลยได้หมูแดงที่เกรียมนิดๆ มีรอยย่างมาให้ดูสวยงามด้วยค่ะ แถมการเลือกใช้เนื้อหมูที่ติดมันนิดๆ ของที่นี่ ยังทำให้ได้หมูแดงที่นุ่มหนาน่ากิน ไม่ใช่หมูแดงแห้งๆ แข็งๆ แบบที่หากินได้ทั่วไปในกรุงเทพฯค่ะ ส่วนการห่อเกี๊ยว ที่นี่เขาห่อเสร็จแล้ว ถ้ายังไม่ใช้ เขาจะเก็บไว้ในลิ้นชักก่อนค่ะ เพื่อไม่ให้มันโดนลมจนแห้งแข็ง และอีกอย่างที่ถึงกับเอาเก็บไปนอนฝัน ก็คือหมูกรอบค่ะ เขาทอดจนกรอบ ไม่มัน ไม่เยิ้ม ทุกอย่างที่ร้าน ก๋องเมงจั้น อร่อยมาก ๆ จนแทบอยากจะย้ายบ้านไปอยู่ตลาดแม่กลองเลยค่ะ (ราคาบะหมี่ – เกี๋ยวชามละ 25 -30 บาท, บะหมี่เกี๋ยวชามละ 30 – 35 บาท, ข้าวหมูแดงจานละ 30 บาท, ข้าวหมูแดง – หมูกรอบจานละ 30 – 35 บาท) ร้านเปิดตั้งแต่ 09.00 - 17.00 น.

         ส่วนเมนูเส้นแบบอื่นก็ยังมีให้ได้ลิ้มลองกันอีกหลายอย่างนะคะ ใครชอบก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อย หมูเปื่อย ต้องไปร้าน “ลูกชิ้นวีระ” ค่ะ ชามละแค่ 25 บาทเท่านั้น แต่ชามก๋วยเตี๊ยวที่ยกมาให้นั้นชามใหญ่เครื่องเยอะอย่างกับชามละ 30 แน่ะค่ะ นอกจากเนื้อตุ๋น – หมูตุ๋นแล้วยังมีเนื้อสด – หมูสด และลูกชิ้นเนื้อ – หมูอีกด้วย ของแท้ต้องกินกับซอสพริกนะคะ (ที่ร้านนี้ใช้ตรา “ช้างคู่) อีกเมนูเส้นที่ขอแนะนำว่าต้องไปลองคือ ก๋วยเตี๊ยว – เย็นตาโฟเส้นปลา, เกี๊ยวปลา – เกี๊ยวกุ้ง (ที่ใส่กุ้งเป็นตัวๆ ลงมาให้ด้วย) ที่ร้าน “อร่อยล้ำเส้น” บนเส้นถนนเกษมสุขุม ทุกอย่างชามละ 25 – 30 บาท น้ำซุปเขาหอมกรุ่น หวานธรรมชาติค่ะ ไม่ใช่หวานผงชูรส ที่สำคัญคือเกี๋ยวปลาอร่อยมาก ไม่คาวเลยแม้แต่น้อย

         ร้านสุดท้ายที่เราจะแวะกันคือ “เม้งีข้าวหมูแดง” ที่มาแปลกด้วยการเสิร์ฟข้าวหมูแดง ข้าวหน้าเป็ด และข้าวหน้าไก่ย่างมาพร้อมกับน้ำจิ้มเต้าเจี้ยวพริกตำแบบเดียวกับที่กินกับข้าวมันไก่ แถมยังเอาผักบุ้งลวกที่เอาไว้กินกับข้าวหน้าเป็ด มาแนมให้กินกับข้าวหมูแดงด้วยค่ะ ก็เป็นการผสมผสานที่ออกจะแปลกอยู่สักหน่อยสำหรับคนที่คุ้นชินข้าวหมูแดง ข้าวหน้าเป็ด แบบที่เรากินกันอยู่ตามปกติ แต่ก็อร่อยดีค่ะ และสิ่งที่ยืนยันว่าร้านนี้อร่อยเด็ดจริงๆ ก็คือลูกค้าที่ยืนรอหน้าเมนูที่ตัวเองสั่งอยู่ด้านหน้าร้าน รวมทั้งลูกค้าที่นั่งกินอยู่ในร้านก็ไม่เคยพร่องลงเลย อาปาเจ้าของร้านเล่าให้ฟังว่าแกสืบทอดกิจการมาจากเตี่ย ที่พายเรือขายข้าวหมูแดงมากว่า 60 ปี และยังคงไว้ซึ่งเคล็ดวิชาที่เตี่ยถ่ายทอดมา นั่นคือจะใช้เตาถ่านเคี่ยวน้ำจิ้มไปอย่างใจเย็นจนได้น้ำจิ้มรสเด็ดที่ลูกค้าติดใจนั่นแหละค่ะ ร้านเปิดตั้งแต่ 06.00 – 15.00 น. (แต่เจ้าของร้านต้องตื่นขึ้นมาเตรียมของตั้งแต่ตี 3 แน่ะค่ะ) ทุกอย่างราคา 25 - 30 บาท

         แล้วเราก็จะจบทริปของคาวในตลาดแม่กลอง กันด้วยของหวานที่ไม่ค่อยมีให้เห็นกัน ทองม้วนกะทิสด ที่ทำขายกันสดๆ เอาเตามาวางทำขนมโชว์กันเลยทีเดียว วิธีการทำดูคล้าย ๆ การทำข้าวเกรียบปากหม้อเลยค่ะ คือเอาแป้งที่ผสมกะทิและข้าวโพด หรืองา มาหยอดลงไปบนแผ่นเหล็กร้อนๆ อังไฟไว้สักพัก แล้วก็แซะออก ทองม้วนที่ได้จะนิ่ม ๆ ไม่แข็ง แบบทองม้วนที่เราคุ้นเคยกันนะคะ ราคาก็ไม่แพง ถ้าเดินผ่านไปเห็น ก็น่าลองซื้อมากินกันดูค่ะ

         และแน่นอนว่าถ้าเราไปอัมพวา เราก็ต้องไปแวะตลาดอัมพวากันอยู่แล้วใช่มั๊ยคะ ยิ่งตอนนี้เขามี ตลาดย่อยเล็กๆ แทรกตัวอยู่ในตลาดน้ำอัมพวาอีกที ชื่อว่า ตลาดอัมพวา ครับ ที่เพิ่งเปิดไปเมื่อเดือน กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ข้างในตลาดก้มีทั้งร้านนวดเท้า ร้านไอศกรีม ร้านกาแฟ – สมูทธี ร้านถ่ายรูป ฯลฯ ถ้าเดินเลยร้านกาแฟ สมานการค้าไปหน่อย จะเจอทางเข้าตลาด เป็นเหมือนร้านสไตล์จีนๆ มีจักรยานตั้งอยู่ ให้เดินเข้าไปเลย จะได้อีกฟีลหนึ่งที่ต่างจากด้านนอกอยู่พอสมควร เหมือนเดินเข้ามาในสวนบ้านเพื่อนอย่างไรอย่างนั้น

         แต่สิ่งสำคัญอยู่ที่เส้นทางขากลับของเรานะคะ เพราะเรามีจุดมุ่งหมายที่จะแวะร้านอาหารทะเลขึ้นชื่อร้านหนึ่งตอนขากลับกันค่ะ ร้านที่ว่านี้ขอแนะนำว่าถ้าขับรถมาเอง ก็ควรต้องแวะเลยค่ะ จะแวะขากลับ หรือขามาก็ได้ค่ะ ทางไปร้านเป็นทางหลวง 325 มุ่งหน้าไปทาง อ.ดำเนินสะดวก ตรงไปเรื่อยๆ แล้วตรงเข้าซอย บ้านปรก 40 ไม่ต้องกลัวหลงนะคะ เพราะจะมีป้ายชื่อร้าน "ชาวเล" และป้ายของ กนกรัตน์ รีสอร์ต ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกันกับร้าน ติดให้เห็นโดดเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าปากซอย



แผนที่ร้านชาวเล



         ร้าน "ชาวเล" ตั้งอยู่ริมคลอง "ผีหลอก" บรรยากาศเลยชิลล์ๆ นั่งสบาย ทางร้านมีท่าน้ำไว้ให้เอาเรือลงได้ด้วยค่ะ โดยจะมีบอกเวลาน้ำขึ้นน้ำลงไว้ที่หน้าร้านด้วย ถ้ามานั่งตอนเย็นๆ อากาศจะเย็นสบายเลยค่ะ ส่วนเมนูที่มาแล้วต้องสั่งให้ได้ คือ "กุ้งแม่น้ำเผา" ที่รับประกันความสดของกุ้งเลยจริงๆ เพราะแค่เอาเข้าปากแล้วเคี้ยว เนื้อกุ้งก็เด้งดึ๋งดั๋งสู้ฟันจริงๆ ค่ะ แถมมันกุ้งก็เยิ้มเป็นสีแดง จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสแซ่บ คลุกกับข้าวสวยร้อน ๆ สวรรค์จริง ๆ!

         แล้วก็ยังมีเมนูที่เป็นเอกลักษณ์ประจำจังหวัด นั่นคือ "หอยหลอดผัดฉ่า" หอยหลอดตัวยาวเหนียวหนึบ ผัดกับเครื่องเทศและเครื่องแกงรสเผ็ดร้อน ใครที่ไม่กินรสจัดคงต้องบอกให้เขาเพลาๆ พริกลงหน่อยนะคะ ตามมาด้วยปลากะพงทอดกระเทียม ที่ทอดปลามาได้กรอบถึงใจ ปลาตัวใหญ่เนื้อหนา นี่ก็เป็นอีกเมนูที่ต้องเก็บเอาไปฝันถึง และถ้าหากอยากได้อะไรมาซดคล่องๆ คอ ต้องสั่ง "ปลาทูต้มมะดัน" เมนูโบราณที่หากินอยู่เหมือนกันตามร้านทั่วๆ ไป น้ำแกงเปรี้ยว หวาน เค็ม ร้อนๆ ซดคล่องคอ กินเปล่า ๆ ก็ยังได้เลยค่ะ ส่วนใครที่ชอบกินผักสดจิ้มน้ำพริก ต้องสั่ง "น้ำพริกปู" ที่เอาเนื้อปูมาตำกับพริกและเครื่องเทศต่าง ๆ จนกลายเป็นน้ำพริกสีส้ม รสจัด กินแกล้มกับผัดสดนานาชนิด ไม่อ้วนแน่ ๆ ค่ะจานนี้

          ปิดท้ายด้วย "ทอดมันปลากราย" เนื้อปลากรายนวดมาได้เหนียวหนึบหนับ ปั้นเป็นชิ้นใหญ่เต็มปากเต็มคำ โรยหน้ามาด้วยใบกะเพราทอดกรอบ เพิ่มกลิ่นหอมให้มากขึ้นไปอีก ถ้าใครได้มากินที่อาหารที่ "ชาวเล" รับรองว่าคุณจะต้องอยากกลับมาอีกแน่นอนค่ะ เพราะเป็นร้านที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และอาหารสดมากถึงมากที่สุด

          วันหยุดยาวนี้ ถ้าคุณยังไม่มีแผนจะไปไหน ลองพาครอบครัวไปเที่ยวใกล้ๆ อย่าง อัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามดูก็ได้ค่ะ ไปไม่ยาก แถมของกินอร่อย เด็กๆ น่าจะชอบนะคะ



แผนที่ตลาดแม่กลอง

       
          เราสามารถเดินจาก ถ.เพชรสมุทร เข้า ถ. ศรีจำปา แล้ววกกลับมาที่ ถ. เกษมสุขุม เพื่อตระเวนกินร้านอร่อยที่เล่ามาทั้งหมด ซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ตลอด ถ. ทั้งสามเส้นนี้ค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก


 

                                                            

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
ตระเวนกิน ถิ่นอัมพวา อัปเดตล่าสุด 16 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 15:46:51 4,765 อ่าน
TOP