x close

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง 2 วัน 2 คืน ในราคาประหยัด


เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          "ญี่ปุ่น" ประเทศในฝันของใครหลายคน สวรรค์ของนักท่องเที่ยว นักช้อปและนักชิม แต่ใครหลายคนก็ต้องดับฝันของตัวเองลง เพราะกว่าจะเก็บเงินไปเที่ยวญี่ปุ่นสักครั้งใช่ว่าเป็นเรื่องง่ายอยู่เมื่อไร กดเครื่องคิดเลขคำนวณค่าใช้จ่ายต่อ ทริปก็ต้องมานั่งกุมขมับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองค่าครองชีพสูงอย่าง "โอซาก้า" แต่ถ้าวันนี้มีตัวเลือกให้เพื่อน ๆ ได้เที่ยวญี่ปุ่นแบบประหยัด มันก็น่าสนอยู่ไม่น้อยเลยใช่ไหม ? และขอบอกว่ามีคนทำได้มาแล้ว เหมือนอย่าง คุณ Rabbit_Indy สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้ตะลุยเมืองโอซาก้าด้วยงบเบา ๆ สบายกระเป๋า เขามีเคล็ดลับตรงไหน ฮั่นแน่ !!! หูผึ่งเตรียมรอฟังกันอยู่ใช่ไหม ? ไม่รอช้ารีบไปดูกันเลย



          รีวิวเล็ก ๆ นี้ผมตั้งใจทำขึ้นเพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้นให้กับคนที่ยังไม่เคยเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น แล้วอยากลองเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองสักครั้งในชีวิต โดยที่ไม่ต้องใช้เงินมากนักก็สามารถไปได้แบบไม่ต้องซื้อทัวร์ เพราะสำหรับตัวผมเองแล้วนี่ก็คือการเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกในชีวิตด้วยเช่นกัน !!!

          สำหรับคนที่รู้วิธีไปแบบประหยัดแล้วก็ผ่านได้เลยครับ ผมเชื่อว่าคนที่ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงยังมีอีกมาก จึงอยากจะแชร์ประสบการณ์ให้กับคนที่ยังไม่รู้เพื่อเป็นแนวทาง ตอนแรกคิดจะไปคนเดียวช่วงเดือนมิถุนายน แต่ดูแล้วมันตรงกับช่วงหน้าฝนคงเที่ยวไม่สนุกแน่ เลยเลื่อนมาเป็นเดือนตุลาคมแทน ซึ่งเป็นฤดูใบไม้เปลี่ยนสี อากาศกำลังสบาย ไม่ร้อน และหมดฝนแล้ว จัดการจองตั๋วเครื่องบิน+ที่พักเรียบร้อย พอบอกว่าจะไปเดือนตุลาคมน้องบอกว่าน่าสน และก็จองตั๋วไปด้วย ก็ดีที่จะได้มีเพื่อนคุยและก็เที่ยวด้วย

          ค่าใช้จ่ายแบบคร่าว ๆ นะครับ

          ผมจองตั๋วผ่านทาง AirAsiaGo เป็นตั๋วเครื่องบินไป-กลับ พร้อมที่พัก 3 คืน ระหว่างวันที่ 3-6 ตุลาคม 2558 จองช่วงเดือนมีนาคม 2558 ได้ราคา 13,000 บาท

          ค่าตั๋วรถไฟใต้ดิน Osaka Amazing Pass 2015 2 Day Pass ซื้อจากงานไทยเที่ยวไทย ราคา 850 บาท

          ค่ารถบัสจากสนามบินคันไซ-นัมบะ ราคา 472 บาท

          ค่าตั๋วรถไฟ Nankai Airport ไปสนามบินคันไซ ขากลับ ราคา 280 บาท

          ค่าเช่า Pocket Wi-Fi 3 วัน 600 บาท หารกับน้องคนละ 300 บาท


          รวมทั้งทริป (ไม่รวมค่ากิน+ค่าของฝาก) 14,902 บาท

          เมื่อทำบัญชีค่ากินและค่าของฝากหักลบกันเสร็จสรรพแล้ว ทริปนี้ผมแลกเงินไป 8,400 บาท เหลือกลับมาตีเป็นเลขกลม ๆ 2,400 บาท เท่ากับว่าผมใช้เงินไป 6,000 บาท ซึ่งถือว่าไม่เยอะมาก ได้กินของขึ้นชื่อของโอซาก้าครบครัน ได้ของฝากมาฝากที่บ้านและที่ทำงานพอสมควร

          1. ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ AirAsia X พร้อมที่พัก 3 คืน ผมจองช่วงเดือนมีนาคม เดินทาง 3-6 ตุลาคม ไม่ได้ใช้แต้มอะไรแลก ที่ผมเลือกจองพร้อมกันเลยก็เพื่อความสะดวกครับ จะได้จบในที่เดียว ไม่ต้องไปจองแยก แต่ถ้าจองแยกกันและใช้แต้มแลกก็อาจจะได้ราคาที่ถูกกว่านี้ หรือถ้าใครสัมภาระไม่เยอะ ไม่ต้องหิ้วของที่ซื้อฝากและฝากซื้อ ก็จองโรงแรมแค่ 2 คืนก็พอ จะได้นอนจริง ๆ คือคืนที่ไปถึงและคืนที่ 2 ส่วนวันกลับก็เที่ยวได้จนถึงราว 1 ทุ่ม แล้วไปขึ้นรถไฟ Nankai Airport เที่ยว 20.24 น. ตรงนัมบะ เพื่อไปขึ้นเครื่องที่สนามบินคันไซ ส่วนผมจองไว้ 3 คืน เพราะของฝากซื้อเพียบ เอาห้องไว้เก็บของจะได้เที่ยวแบบสบาย ๆ ทิ้งทวน

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          2. Osaka Amazing Pass 2015 2 Day Pass ใช้ขึ้นรถไฟใต้ดินและรถบัสในโอซากา (ไม่รวมสาย JR และสายของเอกชน) แบบไม่จำกัดเที่ยว 2 วัน และใช้สำหรับเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในโอซากาฟรี 28 แห่ง แถมใช้เป็นส่วนลดร้านอาหารตามที่ระบุไว้ได้อีกด้วย คุ้มมากๆ แนะนำให้ซื้อจากไทยไปจะสะดวกกว่าครับ

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          3. ที่พัก ผมเลือกโรงแรม For Leaves Inn Uehonmachi เพราะเดินทางสะดวก โรงแรมนี้อยู่ห่างจากสถานีรถไฟใต้ดิน Tanimachi 9-chome ประมาณ 200 เมตร และห่างจากย่านนัมบะเพียง 2 กิโลเมตร สามารถเดินไปได้ มีร้าน Lawson อยู่ใกล้ ๆ 2 ร้าน เผื่อหิวยามดึก ผมจองห้องเตียงเดี่ยวเอาไว้เพราะตอนแรกคิดว่าจะไปคนเดียว

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          4. Pocket Wi-Fi ผมเช่าของบริษัท Japan Wi-Fi ไปครับ ค่าเช่าวันละ 195 บาท แต่ต้องเช่าขั้นต่ำ 3 วัน มีค่ามัดจำ 500 บาท เค้ามี Power Bank แถมในชุดให้ด้วย สัญญาณโอเคครับ ในรถไฟใต้ดินก็ยังใช้ได้ เอาไว้อัพรูป หรือติดต่อกับเพื่อน ๆ ที่ฝากซื้อของ และเอาไว้หาเส้นทางเดินไปยังสถานที่ที่เราจะไป จะได้ไม่เสียเวลาเพราะหลงทาง จริง ๆ ฟรี Wi-Fi ที่โน่นก็มีให้ใช้ครับ แต่ก็ต้องสมัคร เช่า Wi-Fi ไปจะสะดวกกว่าครับ

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          5. การแลกเงิน ผมแลกที่ Super Rich สีส้ม ตรงพระราม 4 เรตวันที่แลก 1 เยน = 0.3050 บาท แลกไปทั้งหมด 80,000 เยน (รวมที่น้องฝากแลก และของเพื่อนที่ฝากซื้อของ) เป็นเงินตัวเอง 27,540 เยน = 8,400 บาท ตั้งใจจะแลกไป 10,000 บาท แต่วันนั้นที่ร้านมีแต่แบงค์ 10,000 เยน ก็เลยแลกได้ไม่ถึง

          ตอนกลับมาแล้วถ้าจะแลกเงินคืน Super Rich เค้ารับแลกคืนแต่ธนบัตรเท่านั้นนะครับ ไม่รับแลกเหรียญ ถ้าเหรียญเหลือมาเยอะ แนะนำให้ไปแลกที่ร้าน MT Exchange ตรงสะพานควาย ร้านอยู่ปากซอยประดิพัทธ์ 17 แต่เรตของเหรียญจะไม่สูงเท่ากับธนบัตร (วันที่ผมไปแลกคืน 1 เยน = 0.20 บาท) หรือถ้ามีคนรู้จักกำลังจะไปญี่ปุ่น ก็เก็บเอาไว้ให้เค้าแลกจะดีกว่าครับ

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ออกเดินทางกันเลย

          ไฟลท์ที่ผมเดินทาง วันที่ 3 ตุลาคม เครื่องออกจากสนามบินดอนเมืองเวลา 15.20 น. ตรงเป๊ะ ถึงสนามบินคันไซเวลาของญี่ปุ่น 22.40 น. ประตูเปิดปุ๊บก็เดินมารอขึ้นรถไฟไปอีกอาคารเพื่อทำการตรวจคนเข้าเมือง โชคไม่ดีที่เครื่องที่มาจากกัวลาลัมเปอร์ลงพร้อมกัน ทำให้คิวยาวเหยียด แล้วน้องที่มาด้วยกันดันไม่ได้รับเอกสารเข้าเมืองที่ให้กรอกบนเครื่อง เลยต้องมากรอกที่สนามบิน ผมใช้เวลาผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองไม่ถึง 1 นาที ก็เรียบร้อย แต่ต้องรอน้องที่ออกไปกรอกเอกสารแล้วกลับมาต่อแถวใหม่ค่อนข้างนาน ทำให้ไม่ทันรถไฟ Nankai เข้าเมืองเที่ยวสุดท้าย แต่ก็ยังมีรถบัสเข้าเมืองรอบ 00.30 น. ราคาตั๋ว 1,550 เยน นั่งรถประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงย่านนัมบะ

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          พอถึงย่านนัมบะก่อนเข้าที่พักขอหาอะไรกินสักหน่อย ประเดิมมื้อแรกบนแผ่นดินญี่ปุ่นด้วยราเมงเจ้าดังที่ใครมาโอซากาต้องมาลิ้มลอง "ราเมงข้อสอบ" ร้านอยู่ริมคลองโดทงโบริ (Dotonbori) ตรงป้ายกูลิโกะ เดินไปหน่อยหนึ่งก็เจอร้านป้ายสีแดง มีบันไดเดินขึ้นไป ร้านจะออกแคบ ๆ ดีที่ไปช่วงดึกแล้วคนไม่ค่อยมี เจอแต่วัยรุ่นสาว ๆ ญี่ปุ่นที่เพิ่งเลิกดื่มจากผับแถวนั้นมากินราเมงต่อ เสียงดังล้งเล้ง ๆ แต่ผมก็ไม่รำคาญนะ 555+ เหลือบไปเห็นร้านทาโกะยากิข้าง ๆ ดูน่ากินเลยซื้อใส่กล่องกลับไปกินที่โรงแรม ที่ร้านราเมงข้อสอบพอเปิดประตูเข้าไปจะเจอกับตู้อัตโนมัติสำหรับให้สั่งราเมง กดเลือกว่าจะเอาเมนูไหน หยอดเงินใส่ตู้ จะมีกระดาษเล็ก ๆ ออกมา จากนั้นก็ไปหยิบกระดาษเพื่อวงว่าจะเอาเส้นแบบไหน ใส่ต้นหอมไหม ใส่กระเทียมไหม เอาความเผ็ดขนาดไหน ที่นั่งกินก็จะเป็นคอกมีไม้กั้นเป็นช่อง ๆ มีก๊อกน้ำเย็นให้กดกินเอง เอาใบออร์เดอร์ยื่นให้พ่อครัว รอแป๊บหนึ่งก็จะได้ราเมงชามโต หอมกรุ่น มาวางตรงหน้า อร่อยสมคำร่ำลือจริง ๆ น้องที่ไปด้วยกันซดน้ำซุปเกลี้ยงชามเลย 555+ กินอิ่มแล้วก่อนเดินเข้าที่พักแวะซื้อของฝากที่ดองกี้บางส่วนก่อน

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          เปิด GPS เดินจากโดทงโบริไปที่พัก เดินเรื่อย ๆ ดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืน ใช้เวลาราว 20 นาที ก็ถึงที่พักตอนตี 3 ห้องพักใช้ได้ครับ เตียงนุ่ม ห้องน้ำอาจจะเล็กไปหน่อย แต่สำหรับผมไม่ใช่ปัญหา โรงแรมมี Wi-Fi ฟรี ทีวี ตู้เย็นเล็ก ตู้เก็บของเล็ก กาต้มน้ำร้อนไฟฟ้า พัดลมตัวเล็ก แอร์แบบตั้งพื้น (แต่เอาไปวางตรงหน้าต่างเหนือหัวเตียง) พวกอุปกรณ์อาบน้ำ สบู่ แชมพู ยาสีฟัน แปรงสีฟัน เค้าไม่มีให้นะครับ มีแต่ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก ๆ ให้ 1 ผืน พวกเซตอุปกรณ์อาบน้ำและผ้าเช็ดตัวเค้ามีขายตรงเคาน์เตอร์ ราคาราว 150 บาท แนะนำให้เตรียมไปเองครับ

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          นอนพักเอาแรงแป๊บหนึ่ง ต่อไปผมจะพาไปเที่ยวโอซาก้า      

          วันที่ 1 : วัดชิเทนโนจิ-หอคอยโอซาก้า-ปราสาทโอซาก้า-ชิงช้าสวรรค์เทมโปซาน-ชินไซบาชิ

          ไปคืนแรกก็เจอปัญหานอนไม่หลับเล่นงาน คงเพราะผิดเวลา ปกติอยู่ที่ไทยจะนอนโน่นตี 3-ตี 4 ก็เลยตัดสินใจไม่นอนดีกว่า ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหลับยาวจะอดเที่ยว เปิดทีวีดูการ์ตูนญี่ปุ่นไปเรื่อยเปื่อย ออกจากที่พัก 7 โมงกว่า หาอะไรกินรองท้องที่ Lawson ตรงหน้าปากซอย วันนี้เพื่อนของน้องที่ไปด้วยกันไปทำงานอยู่ที่โกเบ 3 ปีแล้ว จะมาหาและไปเที่ยวด้วย

          วันนี้จะเริ่มที่แรกที่วัดชิเทนโนจิ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักมากนัก เดินคุยกันไปแป๊บเดียวก็ถึงวัดชิเทนโนจิ ซึ่งจุดเด่นจะอยู่ที่เจดีย์ 5 ชั้น แต่ช่วงนี้เค้าปิดบูรณะอยู่ เลยเอาผ้าคลุมไว้ T__T บริเวณวัดเงียบสงบ ในส่วนของโบสถ์ต่าง ๆ จะมีพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ทุกโบสถ์ พร้อมกับภาพเขียนสีโบราณบนผนังบอกเล่าประวัติต่าง ๆ มีอยู่โบสถ์หนึ่งที่เป็นภาพเล่าประวัติของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ประสูติจนปรินิพพาน ซึ่งในโบสถ์เค้าห้ามถ่ายรูป

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          จากวัดชิเทนโนจิเดินไปอีกพอสมควรก็จะเป็นย่านชินเซไก ซึ่งเป็นที่ตั้งของหอคอยโอซาก้า บริเวณนี้ก็จะมีร้านค้าและร้านอาหารมากมาย การขึ้นชมต้องเดินลงบันไดไปขึ้นลิฟต์ที่ชั้นใต้ดินเพื่อไปยังชั้น 2 ก่อน และขึ้นลิฟต์ต่อไปยังชั้น 5 ซึ่งเป็นจุดชมวิวสูง 87.5 เมตร แล้วค่อยเดินลงบันไดลงมาเพื่อชมชั้น 3 และชั้น 4 ซึ่งแต่ละชั้นก็จะมีจุดที่บอกเล่าเกี่ยวกับประวัติของหอคอยแห่งนี้ ร้านจำหน่ายสินค้า จุดสำหรับถ่ายรูป มี Pocky Cafe อยู่ข้างบนนี้ด้วย ถ้าสาว ๆ ได้ไปเยือนน่าจะชอบ เพราะมองไปทางไหนก็จะเจอแต่ Pocky Pocky และก็ Pocky เต็มไปหมด ที่ผมชอบที่สุดในหอคอยนี้คือจุดที่เป็นพิพิธภัณฑ์ย่อม ๆ ของ "คินนิคุแมน" ซึ่งถ้าเป็นคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมน่าจะรู้จักดี (แอบเช็กอายุ 555) ซึ่งจัดแสดงรูปจากการ์ตูนเรื่องนี้ โมเดลส่วนหัวของตัวละคร และโมเดลคินนิคุแมนขนาดเท่าตัวจริงเอาไว้ให้ถ่ายรูปกัน

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          ลงจากหอคอยเดินผ่านสวนสัตว์โอซาก้า เพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดินมุ่งสู่ปราสาทโอซาก้า กว่าจะเดินเข้าถึงตัวปราสาทนั้นไกลพอสมควร เพราะต้องผ่านบริเวณที่เป็นสวนรอบ ๆ ปราสาทก่อน ปราสาทมีทั้งหมด 8 ชั้น จะเลือกขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้น 5 แล้วเดินต่อไปที่ชั้น 8 หรือจะเดินขึ้นบันไดไล่ชมไปทีละชั้นก็ได้ ส่วนผมขอเลือกที่จะขึ้นลิฟต์ละกัน บนชั้นต่าง ๆ ก็จะมีนิทรรศการจัดแสดงเพื่อบอกเล่าประวัติความเป็นมาของปราสาท ชุดเกราะซามูไร ดาบซามูไร ส่วนชั้นบนสุดก็จะเป็นจุดชมวิวและถ่ายรูป จุดถ่ายรูปยอดฮิตบนนี้ก็คือรูปปั้นปลาสีทองที่อยู่บนจั่วหลังคาของปราสาทนั่นเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          ล่วงมาถึงเวลาเย็นย่ำเหมาะแก่การกินลมชมวิว งั้นไปรำลึกวัยเด็กด้วยการขึ้นชิงช้าสวรรค์กันดีกว่า เดินจากปราสาทไปขึ้นรถไฟใต้ดินสู่ชิงช้าสวรรค์ยักษ์เทมโปซาน ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำโอซาก้า และติดกับอ่าวโอซาก้า ตอนแรกว่าจะเข้าพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ แต่ด้วยความที่เดินมาตั้งแต่เช้าจนขาเริ่มล้าเลยขอบายดีกว่า ชิงช้าสวรรค์นี้สูงถึง 112.5 เมตร เคยครองตำแหน่งชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลกมาแล้ว ใช้เวลาหมุน 17 นาที/รอบ บนนี้เราจะมองเห็นวิวของอ่าวโอซาก้ายามเย็นที่สวยงาม ลงมาจากชิงช้าสวรรค์กะว่าจะนั่งเรือซานตามาเรียต่อซะหน่อย แต่รอบต่อไปต้องรออีกเป็นชั่วโมง เลยไม่รอ เอาเวลาไปตะลุยแสงสียามค่ำคืนย่านชินไซบาชิกันดีกว่า

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          มาถึงไฮไลต์ยามค่ำคืนของโอซาก้า ที่ถ้าใครมาแล้วไม่ได้มาเดินที่นี่ถือว่ายังมาไม่ถึงโอซาก้าอย่างสมบูรณ์แบบ นั่นคือ "ชินไซบาชิ" ซึ่งเป็นแหล่งรวมของร้านรวงต่าง ๆ มากมายให้ขาช้อปได้ระบายเงินออกจากกระเป๋าจนตัวเบากันไปเลย นอกจากนั้นยังมีร้านของกินแสนอร่อยที่ขึ้นชื่ออยู่หลายร้าน ทั้งทาโกะยากิร้านดัง ขาปูย่างร้านปูยักษ์ ชีสทาร์ตร้าน PABLO เรียกว่ากินกันไม่ห่วงน้ำหนักขึ้นเลย วันที่ไปขาดอยู่อย่างเดียวที่อดกินคือขาปูย่าง ที่ขึ้นป้าย Sold Out ไปแล้ว อะไรมันจะขายดีขนาดนั้น อีกอย่างที่จะลืมไม่ได้เลยถ้ามาตรงนี้ คือป้ายไฟกูลิโกะ ที่ต้องถ่ายรูปเพื่อบอกชาวโลกว่าชั้นมาถึงโอซากาแล้วนะ โชคดีที่ตอนที่ไปถึงบนป้ายไฟกำลังเป็นภาพเคลื่อนไหวแสดงภาพ ตั้งแต่กูลิโกะแมนเป็นทารกไล่ตามวัยต่าง ๆ มาจนเป็นกูลิโกะแมนอย่างที่เราเห็นกัน

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          จบวันแรกเล่นเอาเพลียร่างจะแตก ขาจะหลุด ถึงโรงแรมอาบน้ำ ตบด้วยเบียร์อาซาฮี หลับสบาย เตรียมลุยวันที่ 2

          วันที่ 2 : Endo Sushi ตลาดปลาโอซาก้า-HEP Five-Temma ซอยละลายทรัพย์-Den Den Town

          วันที่ 2 วางโปรแกรมเอาไว้ว่าจะไปกินซูชิชื่อดัง Endo ที่ตลาดปลาโอซาก้า ตื่นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เพราะกลัวว่าถ้าไปถึงช้าจะต้องรอคิวยาว งานนี้ลุยเดี่ยว เพราะน้องกับเพื่อนน้องที่มาจากโกเบเมื่อคืนไปฉลองการเจอกันในรอบ 6-7 ปี หนักไปหน่อย ตื่นไม่ไหวเลยขอบาย การเดินทางไปตลาดปลาง่ายแสนง่าย ขึ้นรถไฟใต้ดินสถานีใกล้ที่พักยาวไปถึงตลาดปลาโดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนสาย เดินตามที่ GPS บอกมาจนถึงร้าน เฮ้ย...ทำไมร้านดูเงียบ ๆ อะ ไม่เห็นมีคนต่อแถวอย่างที่เค้าว่ากันมาเลย หรือร้านจะปิดฟะ แต่หาข้อมูลมาแล้วเค้าบอกว่าวันจันทร์เปิดนี่ ลองเอามือเลื่อนประตู อ้าว...Ship หาย เปิดไม่ออก คิดในแง่ดีอีกหรือยังไม่ถึงเวลาเปิด  แต่จากข้อมูลเค้าบอกเปิดตั้งแต่ตี 5 ครึ่งนี่หว่า เลยนั่งรอหน้าร้าน สักพักมีคนไทยเป็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งประมาณ 10 คนเดินคุยกันมา เดินไปเปิดประตูร้าน (ทำไมตูเปิดไม่ออกฟะ) พนักงานร้านก็ถามว่ามากี่คน หายไปสักพักก็ออกมาเรียกให้เข้าไป เราก็เดินตามต้อย ๆ เข้าไปนั่งตรงหน้าบาร์ สั่งมา 2 ชุด พร้อมซุปหอยตลับ ชาเขียว ขอบอกว่ามันอร่อยสมกับที่เค้าพูดกันจริง ๆ อยากจะยัด 4 เซต แต่กระเพาะไม่ไหว ระหว่างที่นั่งกินก็มีคนไทยทยอยเข้าร้านมาอีก 4 คน นึกในใจว่านี่ตูนั่งกินอยู่ที่ไทยเหรอฟะเนี่ย 5555

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          กินเสร็จแล้วเพิ่งจะ 8 โมงเช้า จะไปเที่ยวที่ไหนต่อก็ไม่ได้ เพราะสถานที่เที่ยวส่วนใหญ่กว่าจะเปิดก็ 10 โมง 11 โมง เลยกลับมานั่งพักที่โรงแรมก่อนค่อยไปลุยต่อ ที่ต่อไปที่จะไปคือชิงช้าสวรรค์สีแดง HEP Five ย่านอูเมดะ ซึ่งชิงช้าสวรรค์แห่งนี้ตั้งอยู่บนยอดตึก เมื่อขึ้นไปถึงจุดสูงสุดสามารถมองเห็นไปได้ไกลถึงปราสาทโอซาก้า วิวของที่นี่จะเป็นคนละแบบกับชิงช้าสวรรค์เทมโปซาน คือจะเป็นวิวในเขตเมืองที่เต็มไปด้วยตึก

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          ลงมาจาก HEP Five แล้วเดินเล่นย่านอูเมดะนิดหน่อย แล้วขึ้นรถไฟใต้ดินไปย่านที่เค้าเรียกกันว่าเป็นซอยละลายทรัพย์ของโอซาก้า คือย่าน Temma ย่านนี้จะเป็นทางเดินยาวราว 2 กิโลเมตร สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของ ร้านขายอาหารราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับย่านอื่น ๆ ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลยสักรูป เพราะทั้งสองมือเต็มไปด้วยถุงของฝาก 555+ เอาของกลับมาเก็บที่โรงแรม แล้วไปเดินย่าน Den Den Town ที่เป็นแหล่งรวมเครื่องใช้ไฟฟ้า ร้านขายโมเดล ฟิกเกอร์ ของเล่น หนังสือการ์ตูน DVD การ์ตูน เพราะน้องที่ทำงานฝากซื้อฟิกเกอร์ ถ้าไม่ได้ไปให้เธอคงกินไม่ได้ นอนไม่หลับแหง ๆ จะว่าไปแล้วย่านนี้น่าจะเหมือนคลองถม หรือสะพานเหล็กของบ้านเรา แต่ดูจะเป็นระเบียบกว่ามาก คือไม่ได้มีแผงลอยตั้งระเกะระกะ เค้าจะขายกันอยู่เฉพาะในร้านเท่านั้น สุดท้ายก็ได้ฟิกเกอร์มา 5 กล่อง เป็นอันจบการช้อปปิ้ง เตรียมแพ็กกระเป๋ากลับไทยตอนเที่ยงคืน

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง

          จบทริปเที่ยวโอซากา 2 วัน 2 คืน ในราคาที่สามารถเอื้อมถึงได้ไม่ยาก ผมหวังว่ากระทู้ของผมจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่ไม่เคยไปต่างประเทศ และไม่เคยไปสัมผัสประเทศญี่ปุ่นเลย ได้ลองหาโอกาสไปสักครั้งหนึ่ง ผมขอขอบคุณกระทู้ของสมาชิกพันทิปหลาย ๆ ท่านที่เคยรีวิวเอาไว้ ซึ่งผมใช้เป็นแรงบันดาลใจในการเก็บเงินไปเที่ยวโอซากา และใช้เป็นแหล่งข้อมูลของที่เที่ยว ที่กิน ที่ช้อปปิ้ง

          กระทู้ยังไม่จบบริบูรณ์นะครับ ตอนแรกผมว่าจะไม่เขียนอะไรเพิ่มแล้ว จะแค่เข้ามาเช็กกระทู้เป็นระยะ เพื่อตอบคำถามที่ถามกันมา แต่คิดว่ายังมีข้อมูลซึ่งเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่อยากเล่าสู่กันฟังในมุมมองของผมเอง เล่าจากสิ่งที่ได้เห็นประกอบกับข้อมูลจากการที่ผมได้ถาม ได้คุยกับเพื่อนของน้องที่ไปใช้ชีวิตทำงานที่โกเบมาแล้ว 3 ปี เกี่ยวกับบางสิ่งที่เห็นแล้วผมสงสัย น้องเค้าก็อธิบายให้ฟัง อ่านเอาสนุกแล้วกันนะครับ น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่กำลังจะไปโอซาก้าหรืออยากจะไปโอซาก้า

          1. การข้ามถนน ถึงแม้ถนนที่เรากำลังจะข้ามนั้นมันโล่งมาก ไม่มีรถวิ่งสักคัน เราก็ต้องดูสัญญาณไฟทางที่เราจะข้ามไปว่ามันเป็นสีเขียวหรือยัง อย่าข้ามตามใจฉันเหมือนที่เมืองไทยนะครับ ที่เห็นว่าไม่มีรถแล้วก็วิ่งข้ามโดยไม่สนใจไฟอะไรทั้งนั้น การข้ามถนนต้องข้ามตรงทางม้าลายเท่านั้น ผมว่าบ้านเค้าละเอียดมาก แม้กระทั่งตรงปากซอยเล็ก ๆ ก็มีทางม้าลายด้วย การยืนรอสัญญาณไฟก็ต้องยืนรอบนฟุตปาธ อย่าไปยืนรอบนพื้นถนน เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้มาก่อน ผมไปยืนรอจะข้ามถนนตรงพื้นถนน เพื่อนของน้องสะกิดบอกผมว่า พี่ ๆ ต้องขึ้นมายืนรอข้างบนฟุตปาธนะ ที่นี่เค้าไม่ไปยืนรอบนพื้นถนนกัน

          รถที่นี่ผมว่าเค้าระวังคนที่ข้ามถนนมาก อย่างถ้าตรงไหนมีเลี้ยวซ้ายผ่านตลอด แล้วทางที่กำลังจะเลี้ยวมาเป็นทางม้าลายที่กำลังเป็นไฟเขียวอยู่ รถจะจอดรอสัญญาณคนข้าม ไม่เลี้ยวพรวดพราด บางทีเราจะข้ามถนนที่ทางมันยาวมาก เดินช้าไม่ทันสัญญาณไฟเขียวที่กำลังกะพริบจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ถึงแม้ไฟจะเป็นสีแดงไปแล้ว ถ้าคนยังข้ามถนนไม่หมด รถที่ติดไฟแดงอยู่ก็จะรอจนคนข้ามหมดก่อนถึงจะขับออกไป ถ้าเราจะเดินข้ามถนนตรงซอยเล็ก ๆ ที่ไม่มีสัญญาณไฟ แล้วมีรถวิ่งออกมา รถเค้าจะหยุดให้เราข้าม ไม่ต้องวัดดวงเหมือนที่เมืองไทยว่ารถจะหยุดให้เราข้ามไหม 555+

          2. ทางเท้า ไปถึงคืนแรกระหว่างเดินไปยังที่พัก ผมเจอจักรยานวิ่งผ่านไปเยอะมากบนทางเท้า อันนี้พอจะรู้มาก่อนบ้างว่าบ้านเค้าให้ขับจักรยานบนทางเท้า (ตรงนี้คล้ายบ้านเรา) แต่บางคันนี่ขับกันเร็วมากจนนึกในใจว่าจะชนตูไหมเนี่ย มารู้จากเพื่อนน้องว่าเค้าจะแบ่งเป็นช่องให้คนเดินกับช่องให้จักรยานวิ่ง คนเดินช่องซ้าย จักรยานวิ่งช่องขวา แล้วถ้าได้ยินเสียงจักรยานดีดกระดิ่งมาทางข้างหลังก็ให้เดินตรง ๆ ตามแนวของเราไป อย่าหลบไปทางใดทางหนึ่ง เพราะอาจจะโดนจักรยานชนได้ เดี๋ยวจักรยานจะหลบเราเอง ไม่โดนชนหรอก เพื่อนน้องก็อธิบายให้ฟังเป็นความรู้อีกว่าบ้านเค้าถ้าจักรยานชนคนจะมีโทษเท่ากับรถยนต์ชนคน ดื่มแอลกอฮอล์ก็ห้ามขับจักรยาน จักรยานห้ามซ้อน

          พูดถึงจักรยาน บ้านเค้าดู ๆ แล้วผมว่าจักรยานเยอะกว่ารถยนต์ซะอีกนะ มองไปทางไหนก็เห็นแต่คนปั่นจักรยาน จักรยานแม่บ้านนี่แหละครับเยอะมาก ยามค่ำคืนเห็นสาวญี่ปุ่นแต่งตัวแฟชั่นจัดเต็มปั่นจักรยานก็ไม่ต้องตกใจนะครับ นั่นเป็นเรื่องปกติของบ้านเค้า

          3. บันไดเลื่อน ด้วยความเคยชิน ตอนขึ้นบันไดเลื่อนในสถานีรถไฟใต้ดิน ผมยืนตรงกลางบันไดเลยครับ ก็ได้เพื่อนของน้องนี่แหละดึงผมไปทางขวา แล้วบอกว่าถ้าเราไม่รีบให้เรายืนทางขวา ทางซ้ายนั้นสำหรับคนที่เค้ารีบ ทางคันไซเค้ามีธรรมเนียมปฏิบัติกันอย่างนี้

          4. รถไฟใต้ดิน รถไฟใต้ดินบ้านเค้าไม่เหมือนรถไฟใต้ดินบ้านเรานะครับ บ้านเรานี่สายเดียว (อนาคตจะมีหลายสายละ) ขึ้นง่าย ลงง่าย แต่ที่โน่นไม่ใช่ครับ สายรถไฟมี 9 สาย 9 สี อันนี้ผมนับเฉพาะสายที่ Osaka Amazing Pass 2 Day ใช้ได้นะครับ ยังไม่นับสายของเอกชนที่น่าจะมีอีก 5-6 สาย (ซึ่งถ้าเป็น 1 Day จะใช้สายพวกนี้ได้ด้วย) สาย JR Line ถ้าจะเปรียบเทียบก็ประมาณรังไส้เดือน คือเชื่อมต่อถึงกันหมด เอาแค่ในสถานีหนึ่งนี่เดินกันขาลากครับ ทางออกบ้านเรามีแค่ 4 ทางใช่ไหมครับ แต่ที่โน่นสถานีหนึ่งมีทางออก 8 ทาง ผมพึ่งแค่คู่มือที่มากับ Osaka Amazing Pass ในการขึ้นรถไฟไปที่โน่นที่นี่ก็ไม่หลงนะครับ ลงถูกสถานีตลอด แผนที่ดูเข้าใจง่าย ระบุชื่อสถานีเป็นภาษาอังกฤษด้วย

          แต่ปัญหาคือทางขึ้นนี่แหละครับ ถ้าขึ้นถูกก็จะใกล้กับสถานที่ที่เราจะไป แต่ถ้าขึ้นผิดก็เดินกันสนุกเลยล่ะครับ แต่ไม่ต้องห่วง พวกป้ายต่าง ๆ ในสถานีเค้าจะมีภาษาอังกฤษกำกับไว้ด้วย เดินตามป้ายได้เลยครับ ทีนี้ถ้าเราขึ้นแบบสายเดียวถึงจุดหมายโดยที่ไม่ต้องต่อสายอื่นก็สบายไป แต่ถ้าต้องต่อสายก็อาจจะงง ๆ นิดหนึ่ง อย่างตรงนัมบะจะเป็นจุดตัดของ 3 สาย ถ้าจะต่อสายสีแดงไปสายสีน้ำเงิน ก็วิธีเดิมครับ เดินตามป้ายหาสถานีที่เราจะไปต่อให้เจอ แล้วตอนจะขึ้นก็ดูดี ๆ นะครับ ขึ้นให้ถูกฝั่ง ซึ่งตรงกำแพงของแต่ละฝั่งเค้าจะมีป้ายเป็นตู้ไฟติดเอาไว้พร้อมกับลูกศรชี้ไปทางที่รถไฟจะไป

          แถมนิดหนึ่งครับ ตรงช่องที่เราจะต้องเสียบบัตรเพื่อผ่านไปขึ้นรถไฟ ไม่ต้องรอให้ตัวกั้นปิดก็เสียบบัตรแล้วเดินผ่านเข้าไปได้เลย ครั้งแรกที่ขึ้นรถไฟ คนก่อนผมเค้าเสียบบัตรไปแล้วที่กั้นมันเปิดค้างไว้นานมาก ผมก็ยืนรอจะให้ที่กั้นมันปิดก่อน นึกว่าจะเหมือนกับบ้านเรา จนพนักงานที่เค้ายืนดูแลอยู่ตรงนั้นพูดภาษาญี่ปุ่น (ผมฟังไม่รู้เรื่องหรอก) พร้อมทำท่าให้เสียบบัตร

          5. ราคาสินค้า ก่อนซื้อของอะไรก็ตาม ดูป้ายที่เค้าติดเอาไว้ที่ชั้นก่อนนะครับว่าราคารวมภาษีอีก 8% มันเท่าไร เค้าจะระบุราคาก่อนรวมภาษี และราคาที่รวมภาษีเอาไว้ชัดเจน ไม่เหมือนบ้านเราที่ราคาที่ระบุนั้นจะรวมภาษี 7% เอาไว้แล้ว บางทีเห็นราคาแล้ว เฮ้ย !!! ทำไมมันถูกจัง พอตอนจ่ายเงินเดี๋ยวจะงงว่าทำไมมันแพงขึ้นหว่า ก็เพราะไม่ได้ดูราคาที่รวมภาษีแล้วนั่นเอง แต่สำหรับคนที่ตั้งใจจะไปช้อปแบบเทกระเป๋า นักท่องเที่ยวอย่างเราก็หมดกังวลเรื่องภาษีได้ครับ เพราะเค้ามี Tax Free ให้เมื่อซื้อถึงจำนวนเงินที่กำหนด อย่างร้านขายของทั่วไป เช่น ดองกี้ ร้านขายเครื่องสำอางที่คนแย่งกันซื้ออย่างกับแจกฟรี (ก็แหงล่ะราคาถูกกว่าไทยตั้งครึ่งหรือเกือบครึ่ง) ซื้อตั้งแต่ 5,001 เยนขึ้นไป ก็ได้คืนภาษี แต่ถ้าร้านขายรองเท้าอย่างช็อปโอนิซึกะ ร้านขายโมเดล ซื้อตั้งแต่ 10,001 เยนขึ้นไป ก็ได้คืนภาษี ถ้าไปกันหลาย ๆ คนใช้วิธีรวมกันจ่ายเอาครับ ประหยัดเงินได้หลายเลย

          6. มารยาทในที่สาธารณะ เรื่องนี้ผมว่าหลาย ๆ คนน่าจะพอทราบกันมาบ้างถึงมารยาทของบ้านเค้า ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ แต่บางคนอาจจะยังไม่ทราบ บนรถไฟใต้ดินหรือบนรถบัส ถ้าจะเล่นเกม ดูคลิป เล่นไลน์ หรืออะไรที่ทำให้เกิดเสียงรบกวน ต้องใส่หูฟังหรือปิดเสียงนะครับ ถ้าคุยกันก็ต้องคุยเบา ๆ ถ้าจะคุยโทรศัพท์ก็ต้องเดินไปตรงระหว่างตู้ขบวน ซึ่งจะมีประตูเลื่อนเปิด-ปิด เพื่อเป็นการไม่ให้รบกวนคนอื่นที่โดยสารร่วมกับเรา ในบ้านเรานี่ผมเจอประจำทั้งบนรถ ปอ. รถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟฟ้าบนดิน เล่นเกมเปิดเสียงดังลั่น ดูทีวีออนไลน์เปิดเสียงเผื่อแผ่คนอื่น ตะโกนคุยกัน

          การเดินไปกินไปไม่ว่าจะอาหารหรือเครื่องดื่ม ไม่ควรทำที่โน่นครับ ถามว่าผิดไหม ไม่ผิดครับ สามารถทำได้ แต่ในเมื่อเราไปอยู่บ้านเค้า แม้จะแค่ไปเที่ยวไม่กี่วัน เราก็ควรจะต้องปฏิบัติตามธรรมเนียมของเค้าดีกว่าครับ ถ้าจะกินก็หามุมยืนหรือนั่งกินให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยเดินต่อไป การสูบบุหรี่ก็เช่นกันครับ อย่าเดินสูบแล้วก็เขี่ยขี้บุหรี่ไปตามทาง ให้ยืนสูบให้เรียบร้อย ดับทิ้ง แล้วค่อยเดิน

          การทิ้งขยะ ถังขยะของที่โน่นเค้าจะมีช่องแยกให้ทิ้งขยะประเภทต่าง ๆ นะครับ ซึ่งบางที่ไม่มีรูปกำกับ มีแต่ภาษาญี่ปุ่นแปะเอาไว้เท่านั้น ผมใช้วิธีมองลงไปในถังขยะก่อนว่ามีอะไรในช่องไหนบ้าง กระดาษ ขวดแก้ว กระป๋อง ขวดพลาสติก แล้วค่อยทิ้ง

          7. การสื่อสาร พูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ก็ไม่ต้องกลัวครับ ไปเที่ยวได้สนุกแน่นอน ผมก็พูดไม่ได้ 555+ แต่ไม่อายที่จะพูดภาษาอังกฤษได้ในระดับสื่อสารเล็ก ๆ น้อย ๆ พอให้คู่สนทนาเข้าใจ ที่โน่นมีทั้งคนที่พูดภาษาอังกฤษในสำเนียงที่เราสามารถเข้าใจได้ กับพูดภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น โดนกับตัวเลยครับ คุณลุงที่เคาน์เตอร์โรงแรมผมไปเช็กอินตอนกลางคืน แกพูดภาษาอังกฤษฟังง่ายครับ ผมคุยกับแกรู้เรื่องนะ แต่พอเช้าอีกวันเป็นคุณลุงอีกคน ผมจะออกไปข้างนอก ฝากกุญแจกับแก แกถามผมฟังได้ว่า "ยูกลิน" เฮ้ย !!! อะไรฟะ งานงอกละดิ ผมเลยบอกให้แกเขียนลงกระดาษ แกดันเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นมาให้อีก ผมก็บอกว่าผมไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นนะ จนแกทำท่าดูดฝุ่นประกอบ พร้อมทำเสียงฉู่ ๆๆๆ ผมถึงอ๋ออออ "ยูคลีน" นี่เอง 555+ ส่วนตามร้านอาหารเค้าจะมีเมนูภาษาอังกฤษแทบทุกร้านครับ แค่ยกเมนูแล้วชี้ก็พอ

          ผมขอแถมท้ายก่อนจบแบบดาร์ก ๆ กระชากอารมณ์สักนิดหนึ่งนะครับ หลังจากสนุกกันมาตั้งแต่ต้น

           ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ดีสำหรับการท่องเที่ยวครับ คือไปเที่ยวแล้วกลับ ไปแบบผ่าน ๆ จะไปบ่อยแค่ไหนก็ตามแต่ คุณจะได้ความรู้สึกประทับใจอะไรหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นจากสถานที่ท่องเที่ยว ผู้คน การบริการที่ยิ้มแย้มแจ่มใสกับนักท่องเที่ยว แต่ถ้าคิดจะไปอยู่หรือไปทำงานที่โน่น มันคนละเรื่องกับที่เราเห็นในฐานะนักท่องเที่ยวเลยครับ อันนี้เป็นประสบการณ์จริงทั้งจากเพื่อนของน้องที่ไปเป็นกุ๊กร้านอาหารไทย ซึ่งมีเจ้าของเป็นคนญี่ปุ่นอยู่ที่โกเบ 3 ปี และพ่อของน้องที่เคยไปทำงานเกี่ยวกับการนำอะไหล่รถเข้ามาขายในไทย 8 ปี ซึ่งก็ทำงานกับคนญี่ปุ่น พูดให้น้องฟังในทำนองเดียวกันว่า ถ้าคิดว่ามาอยู่ญี่ปุ่นแล้วมันจะสวยหรูเหมือนอย่างที่มาเที่ยวนั้นคิดผิด อยากให้มาเที่ยวแล้วผ่านไปดีกว่า...

          ผมขอจบกระทู้แบบสมบูรณ์เพียงเท่านี้ครับ คงไม่มีอะไรจะโม้ต่อแล้ว เดี๋ยวเขียนเยอะไปคนจะไม่อ่าน 555+ ถ้าใครผ่านมาเจอกระทู้นี้เข้าผมขอโหวตเป็นกำลังใจให้กับการเขียนรีวิวครั้งแรกในพันทิปด้วยนะครับ ส่วนใครที่มีคำถามก็สามารถถามไว้ได้เลยครับ ผมจะเข้ามาดูเป็นระยะ ๆ แล้วจะตอบให้ทุกคำถามเลย ขอบคุณสำหรับการติดตามกระทู้ครับ

          อ้อ...การรีวิวครั้งต่อไปน่าจะเป็น "หลวงพระบาง" ของลาว เพราะแพลนไว้ว่าช่วงปลายปีจะพาคุณพ่อกับคุณแม่ไปเที่ยวที่นั่น 555

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Rabbit_Indy สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
เที่ยวโอซาก้าด้วยตัวเอง 2 วัน 2 คืน ในราคาประหยัด อัปเดตล่าสุด 9 ตุลาคม 2558 เวลา 18:36:12 17,321 อ่าน
TOP