สังขละบุรี 17.30 น. : ถึงสังขละบุรี เข้าพักที่ OH DEE HOSTEL Day 2 : 4 กรกฎาคม 2558 06.00-19.00 น. เที่ยวสังขละบุรี+ข้ามไปฝั่งพม่าทั้งวัน [วันแรกยังไม่ตักบาตร] Day 3 : 5 กรกฎาคม 2558 06.00 น. ตักบาตรที่สะพานมอญ 12.30 น. ติดรถเพื่อนใหม่กลับบ้าน ส่วนรายละเอียดนั้นตามมาเลยครับในแต่ละวันเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะสุข เศร้า เหงา พลาดยังไง ไปดูกันครับ วันแรกของการเริ่มเดินทาง อ่านรีวิวหลาย ๆ รีวิวเกี่ยวกับการไปสังขละบุรีมาเยอะ ถ้าจะไปให้ชิค ๆ คูล ๆ ต้องรถไฟครับ วันเดินทางผมให้แฟนไปส่งที่สถานีรถไฟศาลายา เนื่องจากแฟนผมทำงานอยู่แถวนั้น เดินไปในสถานีอย่างมั่นใจพร้อมบอกกับเจ้าหน้าที่ขายตั๋วว่า \"ไปสถานีน้ำตกครับ\" คำตอบที่ได้คือ \"ช่วงนี้เราไม่มีรถไฟไปสถานีน้ำตกเนื่องจากกำลังปิดซ่อมรางอยู่ ไปได้ไกลสุดแค่บ้านโป่งแล้วไปต่อรถเอา\" โอ้โห !!! ผิดแผนตั้งแต่เริ่มเดินทางเลย แต่ไม่เป็นไรครับปัญหามีไว้แก้ เราเตรียมตัวมาไม่ดีเอง เลยบอกเจ้าหน้าที่ขายตั๋วว่างั้นผมไปลงสถานีนครปฐมแทน สาเหตุที่ไปลงที่สถานีนครปฐมเพราะว่าหนึ่งคุ้นเคย และสองผมรู้ว่าที่นั่นมีรถที่จะไปกาญจนบุรีเยอะมากเลยจัดไป ประมาณ 09.45 น. รถไฟก็มาครับ กำมือแน่น ๆ แล้วร้อง Yes !!!!! ในใจตื่นเต้นเหมือนเด็กไม่เคยขึ้นรถไฟ เอาจริง ๆ ก็ประมาณนั้นแหละ สำหรับรถไฟไทยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของผม ครั้งแรกนี่นานมาก (นานจนจำไม่ได้แล้ว) ขึ้นรถไฟกันดีกว่าถึงแม้ว่าจะสั้น ๆ แต่ก็ตรงตามจุดประสงค์ที่ว่างไว้ คือยังไงก็ต้องได้นั่งรถไฟ นั่งซึมซับบรรยากาศแป๊บเดียวก็เอา ฮ่า ๆ มาถึงสถานีนครปฐม นั่งพี่วินจากสถานีรถไฟไปหน้ามหาวิทยาลัยศิลปากร หลังจากนั้นทำการต่อรถตู้จากหน้ามหาวิทยาลัยศิลปากรไปที่กาญจนบุรี ราคาจะอยู่ที่ 70 บาทครับ รถจอดที่ บขส. กาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณ 1-1.30 ชั่วโมงครับ มาถึงจุดสำคัญเมื่อมาถึง บขส. กาญจนบุรี ถ้าคุณมาเร็วคุณจะมี 3 ตัวเลือกในการเดินทาง 1. รถแดงแอร์ 2. รถแดงพัดลม 3. รถตู้ แต่ถ้าคุณมาหลังเที่ยงคล้อยไปบ่าย คุณจะเหลือแต่รถตู้ที่หมดคันสุดท้ายประมาณ 5 โมงเย็นครับ ถ้าหาที่ขึ้นไม่เจอสอบถามจากคนแถวนั้นเลยครับ เดี๋ยวเค้าชี้บอกทางเอง สิ่งสำคัญในการเดินทางแบบ Backpack คือต้องใช้ปากเป็นเครื่องมือในการช่วยเดินทางครับ จากหลาย ๆ รีวิวบอกว่าถ้าอยากจะชิค ๆ คูล ๆ ต้องรถประจำทาง แต่สำหรับผมผู้ลองนั่งรถประจำทางแล้วขอบอกว่ารถตู้น่าจะดีกว่าครับ 3-3 ชั่วโมงครึ่งก็ถึง ถ้ารถแดง 5-6 ชั่วโมง นั่งกันเมื่อยตูดเลยทีเดียว แต่ถ้าใครชอบชิลก็จัดไปครับ สบาย ๆ ไปเรื่อย ๆ ส่วนผมที่ขึ้นรถแดงเอาจริง ๆ ก็เพราะอยากลองของครับจัดไป \"รถแดง !!!\" รถออกจาก บขส.กาญจนบุรี เที่ยงนิด ๆ ครับ ฉิ่งฉับทัวร์มาเรื่อย ๆ รถมาจอดที่ทองผาภูมิประมาณบ่าย 2 ครึ่ง และรถจะจอดตรงนั้นอีก 1 ชั่วโมง ต้องรอเด็กนักเรียนเลิกเรียน เพราะคันนี้เป็นรถเมล์คันสุดท้ายของวันแล้วครับ ระหว่างนั้นผมก็คิดขึ้นมาได้ว่าแล้วจะถึงมืดมั้ยเนี่ย ที่พักก็ไม่ได้จอง เลยหยิบข้อมูลที่พักที่ทำไว้ขึ้นมาดู ทำข้อมูลไว้ 10 ที่ หลังจากดูเวลาและสิ่งต่าง ๆ แล้วก็เลยตัดสินใจว่าจะพักที่พักที่ใกล้ท่ารถ สะดวกหาของกิน [แอบรู้มาว่าถ้าพักลึกหาของกินลำบาก] และที่สำคัญต้องเป็นที่พักที่พอจะหาเพื่อนคุยและคนปรึกษาได้เพราะไปคนเดียว ก็มาสะดุดตาที่ \"Oh dee hostel\" เห็นครั้งแรกก็เฮ้ย !! สังขละมี Hostel ด้วย ลองโทรไปสอบถามดูปรากฏว่าเตียงว่าง แถมตอนนี้มีโปรฯ 1 คืน ฟรี 1 คืน เลยจัดไปครับ 15.40น. เด็กนักเรียนเลิกเรียนเราก็พร้อมเดินทางกันต่อ เดินทางกันมาเรื่อย ๆ ตอนนี้ในรถเริ่มเหลือคนน้อยลง คนที่เหลือก็เริ่มเป็นนักท่องเที่ยว เราเลยมีโอกาสพูดคุยกัน ปรากฏว่ากลุ่มน้อง ๆ ที่นั่งคุยด้วยมากัน 4 คน มี 2 คน เป็นรุ่นน้องผมเองครับ แต่รุ่นน้องไกลมาก ผมรหัส 51 น้อง 56 ห่างกัน 5 ปีครับ ฮ่า ๆ แต่อายุก็ไม่ใช่อุปสรรคผมยังคงตีเนียนแอ๊บแบ๊วต่อไป ระหว่างทางก็ชมวิวไปเรื่อยครับ คุณลุงคนขับชิลมาก ตรงไหนสวยลุงจอดรถให้ถ่ายรูปตลอด ฮ่า ๆ วิวระหว่างทางจัดว่าเด็ดครับ ใครหลับบนรถถือว่าพลาด !!! รถก็มาถึงสังขละบุรีนั่งคุยนั่งเล่นกันสักพัก ตอนเวลา 17.40 น. โดยประมาณ ลงจากรถเสร็จ ร่ำลาน้อง ๆ ก่อนเผื่อจะไม่ได้เจอกันอีก แล้วผมก็เดินมาที่พักที่จองไว้ อย่างที่บอกไว้ด้านบนผมจองที่พักไว้ที่ Oh dee hostel ครับ เป็น Hostel แห่งเดียวในสังขละบุรี ที่พักอยู่บริเวณไปรษณีย์สังขละบุรีครับ ทำเลดี ใกล้บริเวณขนส่ง และใกล้ของกิน เจ้าของใจดีและเป็นกันเองมาก ที่โฮสเทลมีทั้งแบบห้อง Dorm และห้องเดี่ยว บรรยากาศการเข้าพักก็ชิล ๆ ครับ เหมาะสำหรับคนที่ชอบเที่ยวหนัก ๆ พักหลับสบาย ที่นอนหมอนนุ่มกำลังดีนอนสบายมาก ๆ ครับ ก่อนไปลองโทรไปสอบถามโปรโมชั่นดูก่อนได้ครับ มีโปรโมชั่นเด็ด ๆ ตลอดครับ หลังจากเช็กอินเสร็จสอบถามพี่ ๆ ที่โฮสเทลว่าวันนี้ไปไหนก่อนได้ เพราะ 6 โมงเย็นแล้ว พี่ที่โฮสเทลแนะนำว่าไป \"สะพานมอญ\" เลย สวยกำลังดีแดดไม่ร้อน เอาจักรยานไปได้เลย ปั่นไปไม่ไกลครับ 5-7 นาที ก็ถึง ผมรีบเตรียมกล้องคร่อมจักรยานแล้วออกปั่นเลยปั่นไปแป๊บเดียว แล้วก็ยืนถ่ายรูปอยู่ตรงนั้นจนถึง 19.00 น. คือมันเพลินมาก บรรยากาศชิล ๆ เพราะไม่ใช่เทศกาลท่องเที่ยว แสงท้องฟ้าที่เป็นฟ้าหลังฝน ทุกอย่างลงตัว ติดอย่างเดียว ตอนนี้ยังไม่ตอบโจทย์เรื่องเหงาเพราะยังไม่รู้จะคุยกับใคร แต่ก็ทำใจไว้บ้างแล้ว เพราะการเที่ยวคนเดียวก็ต้องเจอกับอารมณ์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา ถ่ายรูปเพลิน ๆ ได้สักพักปั่นกลับ จุดพีคมันอยู่ตรงนี้แหละ ขากลับโหดร้ายมากถึงมากที่สุด ขนาดขาผมค่อนข้างแข็งแรงเพราะผมออกกำลังกายทุกวันยังต้องลงเข็นครับ ทนมาได้สักพักก็กลับมาถึงโฮลเทล อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ น้อง ๆ ที่เจอกันบนรถแดงก็ Message มาชวนไปกินข้าวด้วยกัน จัดไปครับหมูพะโล้เสียบไม้ จัดไป 20 ไม้ >< กินเสร็จชักภาพกันสักหน่อยเป็นที่ระทึก แล้วก็โบกมือลากันเผื่อไม่ได้เจอน้อง ๆ อีก หลังจากอิ่มหนำกับหมูพะโล้เสียบไม้ในตลาดเรียบร้อยแล้ว ก็เดินไปเซเว่นฯ เพื่อซื้อของใช้นิดหน่อย แล้วก็จัดเบียร์มา 2 กระป๋อง กะว่าถ้านอนไม่หลับจัดสัก 2 กระป๋อง คงจะหลับสบาย ฮ่า ๆ หลังจากได้เบียร์ก็เดินกลับมาที่ Hostel ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที จากเซเว่นฯ ถึงที่พัก กำลังจะขึ้นไปเก็บของบนห้อง พี่จิม เจ้าของ Hostel ก็ส่งเสียงทักทายพร้อมถามว่ามาคนเดียวพรุ่งนี้วางแผนเที่ยวหรือยัง เท่านั้นล่ะครับนั่งคุยกันยาวเลย สุดท้ายผมก็ตกลงปลงใจไป Day Tour กับกลุ่มลูกค้าอีกกลุ่มของ Hostel เพราะนั่งคำนวณแล้วถ้าเที่ยวเองคนเดียวค่าใช้จ่ายต้องสูงแน่นอน ถ้าจะไปได้ครบอย่างที่หวังไว้ คุยกันไปจิบเบียร์ไปสักพัก 2 กระป๋อง ที่ซื้อมาก็หมดลง จึงขอตัวกลับขึ้นไปนอนเพื่อเอาแรงไว้ลุยในวันรุ่งขึ้น โดยพี่จิมนัดพวกเราพร้อมเดินทางเวลา 6 โมงเช้า โดยวันพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปตลาดเช้าที่ฝั่งพม่ากันก่อนเป็นโปรแกรมแรก วันที่สองของการเดินทางช่วงเช้า [ไปเที่ยวพม่ากัน] เที่ยวตลาดเช้าพม่า วัดเสาร์ร้อยต้น พระธาตุอินแขวนจำลอง ช้อปเหล้าเบียร์ปลอดภาษี ผมตื่นเวลา 05.30 น. อาบน้ำแปรงฟัน แต่งตัวเตรียมไปลุย Day Trip ของวันนี้ ลงมาที่ด้านล่างของที่พัก ทาง Hostel มีบริการกาแฟสดครับ ฟรีสำหรับผู้เข้าพัก พร้อมขนมปังปิ้ง กินเสร็จฝนดันตกครับ เราเลยต้องเลื่อนเวลาเดินทางออกไปนิดหน่อย ระหว่างมีเวลาว่างเลยถ่ายภาพของที่พักมาฝาก เผื่อใครอยากเห็นภาพประกอบ สักพักฝนก็เริ่มหยุดครับ เราจึงเริ่มออกเดินทางกัน อย่างที่บอกทริปนี้เป็นทริปลุย ๆ ครับ เพราะฉะนั้นนั่งกระบะแล้วลุยโลด !!! ระหว่างทางจากสังขละบุรีไปด่านเจดีย์สามองค์ ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตรครับ นั่งกันไปเรื่อย ๆ สักพักฝนตก ผมเลยต้องเก็บกล้องเข้าในรถ ไม่มีรูปตอนไปที่ด่านเลย พี่จิมก็ไปทำเรื่องผ่านด่านให้ครับ สำหรับบุคคลใช้สำเนาบัตรประชาชน และเงิน 30 บาทครับ สำหรับรถยนต์ใช้หลักฐานคือสำเนาทะเบียนรถหรือสำเนาการเสียภาษีก็ได้ครับ ส่วนค่าใช้จ่ายไม่แน่ใจครับ ลองสอบถามตรงด่านดูอีกทีนะครับ คร่าว ๆ น่าจะไม่เกิน 100 บาท ด่านเจดีย์สามองค์ระหว่างรอฝนหยุด ข้ามมาถึงสิ่งแรกที่วิ่งหาเลยก็คือ \"หมูพะโล้เสียบไม้ของแท้ของพม่า\" จะบอกว่านอกจากหน้าตาจะน่ากินกว่าของในตลาดเมื่อวานแล้ว รสชาติยังอร่อยกว่าอีกด้วยครับ จัดไปอีก 20 ไม้ [ไม้ละ 1 บาท] ต่อจากนั้นเราก็ไปจัดมื้อเช้าจริง ๆ กันครับ เป็นมื้อเช้าแบบพม่า หลังจากอิ่มจากมื้อเช้ากันแล้วเราก็เดินทางไปที่ \"วัดเสาร้อยต้น\" กันครับ ตอนนี้เราอยู่กันในฝั่งพม่าแล้วนะครับ มาเข้าช่วงสาระความรู้กันหน่อย หลังจากที่ผมไม่ค่อยจะมีสาระ เขตที่เรานั่งกินข้าวอยู่นี่คืออำเภอพญาตองซู รัฐกะเหรี่ยง เขตประเทศพม่า พอข้ามเขตไป เวลาจะช้ากว่าเรา 30 นาที ดังนั้นถ้าไปเที่ยวควรเผื่อเวลากลับไว้ด้วยนะจ๊ะ เวลาทำการตั้งแต่ 08.00-18.00 น. หลายคนมีคำถามอีก...ถ้าไม่ไป Day Tour จากสังขละบุรี ไม่มีรถส่วนตัว แว้นมอเตอร์ไซค์ไปเองจากตัวเมืองสังขละบุรีจะข้ามไปเที่ยวได้มั้ย คำตอบคือได้ครับ และมีหลายวิธีด้วย แต่วิธีที่จะแนะนำก็คือบริเวณนั้นจะมีคนขาย Tour อยู่ครับ ราคาน่าจะอยู่ที่ 200 บาท หรือถ้าใครอยากไปแค่ตลาด ทำเรื่องผ่านด่านแล้วก็เดินไปเลยก็ได้ครับ ตลาดใกล้นิดเดียว ถ้าขี้เกียจเดินก็พี่วิน วินมอเตอร์ไซค์เยอะมาก ราคาไม่แพง แต่ต้องใช้ทักษะในการสื่อสารขั้นสูงหน่อยนะครับ เพราะพวกพี่ ๆ เค้าพูดไทยไม่ชัด แต่ถ้าคุณไปแบบผมโดยเดินทางกับพี่จิม เจ้าของโฮสเทล นอกจากเที่ยวแล้วพี่เค้ายังให้ความรู้ในสถานที่ต่าง ๆ ที่ไปดีมาก เล่นเอาคนไม่มีเนื้อหาสาระอยากแต่จะถ่ายรูปอย่างผมต้องหยุดฟังและเก็บข้อมูลกันเลยทีเดียว เอาเป็นว่าไปกับพี่จิมไม่ผิดหวังละกัน...คอนเฟิร์ม !!!!! วัดเสาร้อยต้น อยู่ห่างจากชายแดนไทย-พม่า ด่านเจดีย์สามองค์ ประมาณ 5 กิโลเมตร ในเขตประเทศพม่า เป็นวัดเดิมที่หลวงพ่ออุตตมะเคยมาจำพรรษาและสร้างไว้ โดยเสาสร้างจากไม้แดงนับร้อยต้น เหล่าเณรน้อยกำลังเรียนหนังสือ เมื่อไหว้พระในโบสถ์เสร็จแล้วก็ออกมาบริเวณด้านหลังวัด จะมีพระพุทธรูปที่เป็นพระอรหันต์จำนวน 120 รูป ที่ตั้งแถวทอดยาวไปยังภูเขา เสร็จจากวัดเสาร้อยต้นเราก็ไปกันต่อที่ \"เจดีย์ชเวดากองจําลอง\" ข้างบนสามารถชมวิวกันได้ครับ ถ้าวันฟ้าเปิดคงจะสวยน่าดู แต่วันนี้ก็สวยในแบบของมัน สวยแบบในฤดูฝน เราเดินทางกันต่อไปที่ \"วัดตองไว\" ครับ ที่วัดนี้มีพระธาตุอินแขวนจำลองอยู่ วิวสวยอีกเช่นเคยครับ แอบเสียดายที่ฟ้าปิด ข้อมูลเพิ่มเติม ที่วัดตองไวทุก ๆ วันอาทิตย์จะมีการสอนธรรมะให้กับเด็ก ๆ เนื่องจากว่าแถวนี้ยาเสพติดเยอะและหาง่าย ทางผู้ปกครองจึงรวมตัวกันโดยออกทุนกันเองเพื่อจัดการเรียนการสอนธรรมะขึ้น เพื่อไม่ให้เด็กน้อยมีเวลาว่างมากเกินไป ผมไปดูอยู่สักพักก็น่ารักดี เหมือนบ้านเราสมัยก่อนที่มีการสอนธรรมะกันทุกวันหยุด แต่นี่เด็กเยอะมาก น่าจะมากันหมดทั้งหมู่บ้านเลย ใครใจดีและไปถึงก่อน 10 โมงเช้าก็ซื้อพวกขนมปังที่เป็นลัง ๆ ไปฝากน้องได้ครับ เพราะผู้ปกครองต้องรวมเงินกันและออกค่าของกินกันเอง สัปดาห์หนึ่ง ๆ ก็หลายบาทอยู่ครับ เสร็จจากจุดนี้เราก็กลับเข้าไปที่ตลาดอีกรอบครับ เพื่อแวะร้านค้าปลอดภาษี บอกได้คำเดียวว่าที่นี่จะกลายเป็นสวรรค์ของนักดื่มกันเลยทีเดียว ผมจัดมาเพียบ ก็มันถูกจริง ๆ น่ะเออ ฮ่า ๆ หลังจากได้เบียร์แล้วเราก็เดินทางกลับกันมาที่โฮสเทล จริง ๆ เราต้องมีโปรแกรมกันต่ออีกนิดหน่อย แต่เนื่องจากฝนตกเราเลยตกลงกันว่ากลับไปนอนพักที่โฮสเทลก่อนดีกว่า เดี๋ยวบ่ายค่อยว่ากัน วันที่สองของการเดินทางช่วงบ่าย ไปเที่ยวฝั่งมอญ ร่องเรือชมวัดจมน้ำ [ที่ตอนนั้นไม่จมน้ำ] เดินเล่นชิล ๆ ที่สะพานมอญ หลังจากกลับมาพักเอาแรงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราชาวคณะ [ไปคนเดียวนะ แต่ไปมั่วเป็นชาวคณะเค้าเฉย] ก็ออกเดินทางกันไปฝั่งมอญครับ โดยเราเริ่มต้นกันที่ “วัดวังก์วิเวการาม” หรือวัดหลวงพ่ออุตตมะ เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะร่วมกับชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ ได้ร่วมกันสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2496 ครับ แวะชมวัดและสักการะรูปปั้นของหลวงพ่ออุตตมะกันสักหน่อยครับ เพื่อความเป็นสิริมงคล หลังจากนั้นขับรถออกมาอีกนิดเดียวเพื่อไปชมความงามและสักการะเจดีย์พุทธคยากันครับ หลังจากนั้นเราก็เตรียมไปลงเรือเพื่อไปชมวัดจมน้ำกัน สำหรับสาว ๆ เตรียมเข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อยนะจ๊ะ เพราะถ้าเรือออกแล้วไม่มีห้องน้ำนะ เข้าป่าอย่างเดียว ส่วนเรื่องราคาเรือนั้นรวมในราคาแพ็กเกจที่ผมซื้อกับทางโฮสเทลแล้ว แต่ถ้ามาเองราคามาตรฐานจะเป็น ดังนี้ 1 วัด 300 บาท 3 วัด 500 บาท นั่งได้สูงสุดประมาณ 6 คนครับ แต่ถ้าต่อรองกันดี ๆ อาจจะเหลือ 400 บาท ก็ได้นะ เห็นน้อง ๆ ที่เจอบนรถแดงไปต่อมาได้ด้วยล่ะ ป่ะ ๆๆ ไปนั่งเรือกันเรือออกแล้ว วัดแรกที่เรือพาเราไปแวะคือ \"วัดศรีสุวรรณ\" พี่จิมเล่าให้ฟังว่าถ้าปีไหนไม่แล้งจริงจะไม่สามารถเข้าไปชมในโบสถ์ได้ครับ และปีนี้ก็แล้งจริงครับ สามารถเข้าไปดูข้างในได้เลย แต่สิ่งที่ทำให้ผมดีใจมากกว่าได้เห็นวัดจมน้ำก็คือฟ้าเปิดครับ ไม่น่าเชื่อฝนตกมาทั้งวัน ฟ้าเป็นใจให้เราได้ถ่ายรูปจนได้ ^__^ ไปต่อที่วัดที่สองกันครับ ผมจำชื่อวัดไม่ได้แต่ทราบมาว่าเป็นวัดเดียวที่ไม่จมน้ำครับ แต่จะอยู่กลางเกาะในเขื่อน เดินทางเข้า-ออกด้วยเรือเท่านั้นครับ หลังจากนั้นเราก็ไปต่อกันวัดสุดท้ายซึ่งเป็นไฮไลท์ของการนั่งเรือชมวัดจมน้ำครับ ก็คือ \"วัดวังก์วิเวการามเก่า\" นั่นเอง แต่อย่างที่บอกครับ ช่วงที่ผมไปวัดไม่จมน้ำแต่ก็ได้อารมณ์ของภาพอีกอารมณ์หนึ่งมาแทน หลังจากถ่ายรูปกันหนำใจแล้วก็ได้เวลากลับครับ ระหว่างทางกลับพระอาทิตย์กำลังเริ่มตก คืออารมณ์มันใช่มาก นั่งในเรือที่กำลังแล่นชมพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า และแล้วก็นั่งเรือกลับมาถึงสะพานมอญ ยังมีแสงเหลืออยู่เลยเดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยครับ บรรยากาศสวย ๆ แบบนี้ อยู่ดี ๆ อารมณ์ศิลปินก็เข้าสิงประมาณว่าตัวเองเป็นพระเอกมิวสิค เดินอยู่บนสะพานมอญ [โถ่ ๆๆๆๆ !!!!!] จริง ๆ ไม่ใช่อะไรครับ เวลาไปที่ไหนที่สวย ๆ ผมมักคิดถึงคนที่ผมรักและเป็นห่วงเสมอ อยากให้เค้ามาเห็นภาพเดียวกับผม อยากให้ได้รับความสุขแบบที่ผมได้รับ นั่นล่ะผมถึงได้ตั้งใจถ่ายรูปทุกทริปที่ไปเที่ยว เพราะอย่างน้อยถ้าเราไม่มีโอกาสได้พาเค้ามา ปล่อยให้รูปภาพเหล่านี้เล่าเรื่องให้เค้าเหล่านั้นฟังก็ยังดี ^___^ เดินถ่ายรูปไปมาก็ไปเจอน้อง ๆ กลุ่มเดิมอีกครั้ง น้อง ๆ ก็น่ารักกลัวผมเหงา ชวนผมไปกินข้าวเย็นเป็นวันที่สอง หลังจากกินอิ่มก็เดินทางกลับที่พัก จังหวะที่กำลังจะเดินขึ้นไปเอาของไปเก็บ เสียงของพี่จิมเจ้าของโฮสเทลก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมคำเชื้อเชิญให้มานั่งเล่นนั่งคุยกัน คุยกันไปคุยกันมา สุดท้ายก็เป็นแบบในภาพนี้ล่ะครับ ฮ่า ๆ หลังจากดื่มไปนิดหน่อยผมก็ขอตัวเอาของขึ้นไปเก็บบนห้อง พร้อมเช็กดูว่าวันนี้มีรูมเมทหรือเปล่า เพราะถ้ามีรูมเมทคงไม่ดื่มต่อ เกรงใจรูมเมทเดี๋ยวจะเหม็นกลิ่นแอลกอฮอล์ แต่ !!!!!! คืนนี้ไม่มีรูมเมท ฮ่าๆๆๆๆๆ สุดท้ายคืนนั้นจัดหนักกันถึงขั้นผมต้องไปนอนอยู่ในห้องน้ำของโฮสเทลสักพักเลย เลยพิสูจน์แล้วว่าห้องน้ำสะอาดจริง ๆ ฮ่า ๆ และแล้วคืนนั้นผมก็ได้รถกลับบ้านโดยบังเอิญ โดยโจ๊กคนขวามือในภาพ อนุญาตให้ติดรถไปได้ เพราะโจ๊กต้องขับรถผ่านอำเภอนครชัยศรี บ้านผมอยู่แล้ว ขอบคุณมาก ๆ ครับโจ๊ก เก๋ด้วยนะครับ วันที่ 3 เตรียมโบกมือลาสังขละบุรี หลังจากเมื่อคืนจัดหนักไปมาก แต่ ๆ ผมก็ตื่นเช้าได้เสมอถ้าเป็นการมาเที่ยว ตื่นมา 6 โมงเช้า เจอน้อง 2 คนที่มาจากหาดใหญ่และพี่สาวคนหนึ่งที่มาจากชลบุรี เราทั้งหมดจึงเดินไปพร้อมกันที่สะพานมอญเพื่อไปตักบาตรตอนเช้ากันครับ และที่ขาดไปได้ พี่เย็น คนที่เราเห็นตามภาพบ่อย ๆ แกบอกว่าเป็นเด็กปั้นแก ฮ่า ๆ บรรยากาศเช้า ๆ ในวันฝนตก แต่สิ่งตอบแทนที่เราได้รับคือไม่มีแดดให้เราต้องร้อน หลังจากเสร็จก็เดินข้ามสะพานมอญกลับมา โบกพี่วินกลับที่พักในราคา 20 บาท ตอนแรกกะไว้ว่าจะนอน ๆ นั่ง ๆ อยู่โฮสเทลจนกว่าโจ๊กจะกลับ โจ๊กบอกว่าจะออกประมาณ 11 โมง ปรากฏว่าพี่จิมชวนไปเดินเล่นฝั่งพม่าอีกครั้ง เพราะมีเวลาเหลือ ๆ กว่าจะ 11โมง จริง ๆ วันนี้แกมีลูกค้าคนเดียว จะไปกันสองคนก็คงจะเหงา ๆ ผมเลยถือโอกาสไปเที่ยวพม่าอีกรอบ [ไปฟรีไม่ไปได้ไง ฮ่า ๆ] หลังจากกลับมาจากฝั่งพม่า ก็เช็กเอาท์เตรียมโบกมือลาสังขละบุรี ลาก่อนสังขละบุรี...เป็นการเดินทางคนเดียวโดยไม่มีรถส่วนตัวครั้งแรกของผมที่มีคุณค่ามาก ๆ ลาก่อนสังขละในเงาฝน รายละเอียดค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ดังนี้ 1. One Day Trip [เที่ยวพม่า เที่ยวฝั่งมอญ นั่งเรือชมวัด] 600 บาท 2. ค่าที่พัก 2 วันที่ OH DEE HOSTEL ห้อง Dorm 590 บาท 3. ค่ารถตู้ นครปฐม-กาญจนบุรี 70 บาท 4. รถบัสแดง 130 บาท ส่วนขากลับนั้นฟรี ติดรถโจ๊กกลับมา 5. วินมอเตอร์ไซค์สังขละบุรี 20 บาท 6. ค่ากินเนื่องจากเน้นกินง่าย กินข้าวจานเดียวและเซเว่นฯ เป็นส่วนใหญ่ จึงตกอยู่ที่มื้อละ 70x7 = 490บาท 7. ค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ อีก 100 บาท ส่วนค่าแอลกอฮอล์ไม่ได้คิด ฮ่าๆ (ตัดออกไม่นับ) คร่าว ๆ จะอยู่ที่ 1,900 บาท ตีว่าถ้าคุณกำเงินไปสัก 2,000-2,500 บาท อยู่ได้สบายมาก ๆ ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 991935 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ","image":["https://my.kapook.com/imagescontent/fb_img/220/s_124845_8829.jpg"],"datePublished":"2015-07-22T15:05:27+07:00","dateModified":"2015-07-23T15:12:43+07:00","author":{"@type":"Organization","name":"กระปุก","url":"https://www.kapook.com/"},"publisher":{"@type":"Organization","@id":"กระปุก","logo":{"@type":"ImageObject","url":"https://my.kapook.com/img-portal/logo-kapook.png"}}} -->
x close

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน


แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

           วันนี้จะชวนเพื่อน ๆ ไปเที่ยวสังขละบุรี อำเภอเล็ก ๆ ในจังหวัดกาญจนบุรี ที่มีมนตร์เสน่ห์ล้นหลาม สามารถทำให้ใคร ๆ ก็อยากเดินทางไปสัมผัสความงดงามสักครั้ง ผ่านบันทึกการเดินทางของ คุณสมาชิกหมายเลข 991935 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้แบกเป้ นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ ไปเยือนสังขละบุรีหน้าฝนคนเดียวชิล ๆ พร้อมกับแบกเอาความประทับใจในช่วง 3 วัน 2 คืน ที่ได้ไปเที่ยวสังขละบุรีกลับบ้านไปเต็มกระเป๋าเลยล่ะ ^^



           "เฮ้ยบ้าเปล่า มีรถทำไมขับรถไป"
           "ไปเที่ยวหน้าฝนนี่จะได้เที่ยวอะไรวะ"
           "ไปคนเดียวจะสนุกเหรอวะ"

           ทั้งหมดคือเสียงที่เกิดขึ้นก่อนการเดินทางครั้งนี้ เมื่อตัดสินใจบอกกับคนรอบ ๆ ตัวว่า "จะ Backpack ไปสังขละบุรี โดยไม่ขับรถไป" จริง ๆ ผมเป็นคนที่เดินทางบ่อยมาก แต่ไม่เคยขาดรถยนต์ส่วนตัวเลย และนี่ก็กลายเป็นครั้งแรกของผมกับการท่องเที่ยวโดยไม่มีรถส่วนตัว กับการเดินทางไปสังขละบุรีในฤดูฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

           สวัสดีทุกคนครับ ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาที่มีความฝันอยากไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ เหมือนกับหลาย ๆ คน ผมจึงเริ่มออกเดินทางในสถานที่ต่าง ๆ บางครั้งไปคนเดียวบ้าง บางครั้งไปหลายคนบ้าง แต่สำหรับทริปนี้เป็นทริปแรกครับที่ออกเดินทางคนเดียวโดยที่ไม่ได้ใช้รถยนต์ส่วนตัว จริง ๆ แล้วการมีรถยนต์ส่วนตัวทำให้ผมไปที่ไหนก็ได้ในประเทศไทยที่ถนนไปถึง แต่มันทำให้ผมเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งเวลาขับรถไปคนเดียว คือมันเหงามาก ๆ ครับ สะดวกจริง สบายจริง แต่โคตรเหงา เลยมาลองศึกษาดูว่าพวกที่เขาเที่ยวคนเดียวเนี่ยเขาพัก เขาเที่ยวกันยังไง สิ่งที่ผมคิดว่าตอบโจทย์คือการเดินทางโดยรถสาธารณะและการพักโฮสเทล และก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังจริง ๆ ครับกับทริปแรก ผมพบเจอประสบการณ์และมิตรภาพดี ๆ มากมายระหว่างการเดินทางจนลืมไปเลยว่าผมมาเที่ยวคนเดียว ไปเริ่มกันเลยมั้ยครับ ตามผมมาเลยครับ ไปเที่ยวสังขละบุรีกันกับทริปนี้..."สังขละบุรีในเงาฝน"

           * ออกตัวนิดหนึ่งครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรก ผิดพลาดอ่านยากยังไงช่วยบอกกันด้วยนะครับ ^_^

           สำหรับทริปนี้มีเวลา 3 วัน 2 คืน ก่อนออกเดินทางกำหนดตารางการเดินทางคร่าว ๆ ไว้แล้ว แต่ ๆๆๆ........!!! โชคชะตาก็ทำให้สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามแผนครับ แต่ก็นั่นแหละคือรสชาติการเดินทางแบบ Backpacker โดยสรุปออกมาย่อ ๆ หน้าตาการเดินทางก็เลยออกมาประหลาดอย่างที่เห็นด้านล่าง แต่บอกได้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางสนุกกว่าที่ผมคิดไว้มาก

          Day 1 : 3 กรกฎาคม 2558 [ออกเดินทางจากสถานีศาลายาโดยรถไฟฟรีไปกาญจนบุรี] แต่รถไฟปิดซ่อมรางเลยไปสุดได้แค่บ้านโป่ง


          09.45 น. : ขึ้นรถไฟฟรีไปลงสถานีนครปฐม
          10.30 น. : ต่อรถตู้จากนครปฐมไปกาญจนบุรี
          12.00 น. : ต่อรถบัสแดง กาญจนบุรี ---> สังขละบุรี
          17.30 น. : ถึงสังขละบุรี เข้าพักที่ OH DEE HOSTEL

          Day 2 : 4 กรกฎาคม 2558

          06.00-19.00 น. เที่ยวสังขละบุรี+ข้ามไปฝั่งพม่าทั้งวัน [วันแรกยังไม่ตักบาตร]

          Day 3 : 5 กรกฎาคม 2558

          06.00 น. ตักบาตรที่สะพานมอญ
          12.30 น. ติดรถเพื่อนใหม่กลับบ้าน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          ส่วนรายละเอียดนั้นตามมาเลยครับในแต่ละวันเกิดอะไรขึ้นบ้าง จะสุข เศร้า เหงา พลาดยังไง ไปดูกันครับ

         
วันแรกของการเริ่มเดินทาง

          อ่านรีวิวหลาย ๆ รีวิวเกี่ยวกับการไปสังขละบุรีมาเยอะ ถ้าจะไปให้ชิค ๆ คูล ๆ ต้องรถไฟครับ วันเดินทางผมให้แฟนไปส่งที่สถานีรถไฟศาลายา เนื่องจากแฟนผมทำงานอยู่แถวนั้น  เดินไปในสถานีอย่างมั่นใจพร้อมบอกกับเจ้าหน้าที่ขายตั๋วว่า "ไปสถานีน้ำตกครับ" คำตอบที่ได้คือ "ช่วงนี้เราไม่มีรถไฟไปสถานีน้ำตกเนื่องจากกำลังปิดซ่อมรางอยู่ ไปได้ไกลสุดแค่บ้านโป่งแล้วไปต่อรถเอา"  โอ้โห !!! ผิดแผนตั้งแต่เริ่มเดินทางเลย แต่ไม่เป็นไรครับปัญหามีไว้แก้ เราเตรียมตัวมาไม่ดีเอง เลยบอกเจ้าหน้าที่ขายตั๋วว่างั้นผมไปลงสถานีนครปฐมแทน สาเหตุที่ไปลงที่สถานีนครปฐมเพราะว่าหนึ่งคุ้นเคย และสองผมรู้ว่าที่นั่นมีรถที่จะไปกาญจนบุรีเยอะมากเลยจัดไป


แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          ประมาณ 09.45 น. รถไฟก็มาครับ กำมือแน่น ๆ แล้วร้อง Yes !!!!! ในใจตื่นเต้นเหมือนเด็กไม่เคยขึ้นรถไฟ เอาจริง ๆ ก็ประมาณนั้นแหละ สำหรับรถไฟไทยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของผม ครั้งแรกนี่นานมาก (นานจนจำไม่ได้แล้ว) ขึ้นรถไฟกันดีกว่าถึงแม้ว่าจะสั้น ๆ แต่ก็ตรงตามจุดประสงค์ที่ว่างไว้ คือยังไงก็ต้องได้นั่งรถไฟ

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          นั่งซึมซับบรรยากาศแป๊บเดียวก็เอา ฮ่า ๆ

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          มาถึงสถานีนครปฐม นั่งพี่วินจากสถานีรถไฟไปหน้ามหาวิทยาลัยศิลปากร หลังจากนั้นทำการต่อรถตู้จากหน้ามหาวิทยาลัยศิลปากรไปที่กาญจนบุรี ราคาจะอยู่ที่ 70 บาทครับ รถจอดที่ บขส. กาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณ 1-1.30 ชั่วโมงครับ มาถึงจุดสำคัญเมื่อมาถึง บขส. กาญจนบุรี ถ้าคุณมาเร็วคุณจะมี 3 ตัวเลือกในการเดินทาง

        1. รถแดงแอร์
       
2. รถแดงพัดลม
       
3. รถตู้

           แต่ถ้าคุณมาหลังเที่ยงคล้อยไปบ่าย คุณจะเหลือแต่รถตู้ที่หมดคันสุดท้ายประมาณ 5 โมงเย็นครับ ถ้าหาที่ขึ้นไม่เจอสอบถามจากคนแถวนั้นเลยครับ เดี๋ยวเค้าชี้บอกทางเอง สิ่งสำคัญในการเดินทางแบบ Backpack คือต้องใช้ปากเป็นเครื่องมือในการช่วยเดินทางครับ จากหลาย ๆ รีวิวบอกว่าถ้าอยากจะชิค ๆ คูล ๆ ต้องรถประจำทาง แต่สำหรับผมผู้ลองนั่งรถประจำทางแล้วขอบอกว่ารถตู้น่าจะดีกว่าครับ 3-3 ชั่วโมงครึ่งก็ถึง ถ้ารถแดง 5-6 ชั่วโมง นั่งกันเมื่อยตูดเลยทีเดียว แต่ถ้าใครชอบชิลก็จัดไปครับ สบาย ๆ ไปเรื่อย ๆ ส่วนผมที่ขึ้นรถแดงเอาจริง ๆ ก็เพราะอยากลองของครับจัดไป "รถแดง !!!"

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

           รถออกจาก บขส.กาญจนบุรี เที่ยงนิด ๆ ครับ ฉิ่งฉับทัวร์มาเรื่อย ๆ รถมาจอดที่ทองผาภูมิประมาณบ่าย 2 ครึ่ง และรถจะจอดตรงนั้นอีก 1 ชั่วโมง ต้องรอเด็กนักเรียนเลิกเรียน เพราะคันนี้เป็นรถเมล์คันสุดท้ายของวันแล้วครับ ระหว่างนั้นผมก็คิดขึ้นมาได้ว่าแล้วจะถึงมืดมั้ยเนี่ย ที่พักก็ไม่ได้จอง เลยหยิบข้อมูลที่พักที่ทำไว้ขึ้นมาดู ทำข้อมูลไว้ 10 ที่ หลังจากดูเวลาและสิ่งต่าง ๆ แล้วก็เลยตัดสินใจว่าจะพักที่พักที่ใกล้ท่ารถ สะดวกหาของกิน [แอบรู้มาว่าถ้าพักลึกหาของกินลำบาก] และที่สำคัญต้องเป็นที่พักที่พอจะหาเพื่อนคุยและคนปรึกษาได้เพราะไปคนเดียว ก็มาสะดุดตาที่ "Oh dee hostel" เห็นครั้งแรกก็เฮ้ย !! สังขละมี Hostel ด้วย ลองโทรไปสอบถามดูปรากฏว่าเตียงว่าง แถมตอนนี้มีโปรฯ 1 คืน ฟรี 1 คืน เลยจัดไปครับ

           15.40น. เด็กนักเรียนเลิกเรียนเราก็พร้อมเดินทางกันต่อ เดินทางกันมาเรื่อย ๆ ตอนนี้ในรถเริ่มเหลือคนน้อยลง คนที่เหลือก็เริ่มเป็นนักท่องเที่ยว เราเลยมีโอกาสพูดคุยกัน ปรากฏว่ากลุ่มน้อง ๆ ที่นั่งคุยด้วยมากัน 4 คน มี 2 คน เป็นรุ่นน้องผมเองครับ แต่รุ่นน้องไกลมาก ผมรหัส 51 น้อง 56 ห่างกัน 5 ปีครับ ฮ่า ๆ แต่อายุก็ไม่ใช่อุปสรรคผมยังคงตีเนียนแอ๊บแบ๊วต่อไป ระหว่างทางก็ชมวิวไปเรื่อยครับ คุณลุงคนขับชิลมาก ตรงไหนสวยลุงจอดรถให้ถ่ายรูปตลอด ฮ่า ๆ วิวระหว่างทางจัดว่าเด็ดครับ ใครหลับบนรถถือว่าพลาด !!!

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          รถก็มาถึงสังขละบุรีนั่งคุยนั่งเล่นกันสักพัก ตอนเวลา 17.40 น. โดยประมาณ ลงจากรถเสร็จ ร่ำลาน้อง ๆ ก่อนเผื่อจะไม่ได้เจอกันอีก แล้วผมก็เดินมาที่พักที่จองไว้ อย่างที่บอกไว้ด้านบนผมจองที่พักไว้ที่ Oh dee hostel ครับ เป็น Hostel แห่งเดียวในสังขละบุรี ที่พักอยู่บริเวณไปรษณีย์สังขละบุรีครับ ทำเลดี ใกล้บริเวณขนส่ง และใกล้ของกิน เจ้าของใจดีและเป็นกันเองมาก ที่โฮสเทลมีทั้งแบบห้อง Dorm และห้องเดี่ยว บรรยากาศการเข้าพักก็ชิล ๆ ครับ เหมาะสำหรับคนที่ชอบเที่ยวหนัก ๆ พักหลับสบาย ที่นอนหมอนนุ่มกำลังดีนอนสบายมาก ๆ ครับ ก่อนไปลองโทรไปสอบถามโปรโมชั่นดูก่อนได้ครับ มีโปรโมชั่นเด็ด ๆ ตลอดครับ

          หลังจากเช็กอินเสร็จสอบถามพี่ ๆ ที่โฮสเทลว่าวันนี้ไปไหนก่อนได้ เพราะ 6 โมงเย็นแล้ว พี่ที่โฮสเทลแนะนำว่าไป "สะพานมอญ" เลย สวยกำลังดีแดดไม่ร้อน เอาจักรยานไปได้เลย ปั่นไปไม่ไกลครับ 5-7 นาที ก็ถึง ผมรีบเตรียมกล้องคร่อมจักรยานแล้วออกปั่นเลยปั่นไปแป๊บเดียว แล้วก็ยืนถ่ายรูปอยู่ตรงนั้นจนถึง 19.00 น. คือมันเพลินมาก บรรยากาศชิล ๆ เพราะไม่ใช่เทศกาลท่องเที่ยว แสงท้องฟ้าที่เป็นฟ้าหลังฝน ทุกอย่างลงตัว ติดอย่างเดียว ตอนนี้ยังไม่ตอบโจทย์เรื่องเหงาเพราะยังไม่รู้จะคุยกับใคร แต่ก็ทำใจไว้บ้างแล้ว เพราะการเที่ยวคนเดียวก็ต้องเจอกับอารมณ์แบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          ถ่ายรูปเพลิน ๆ ได้สักพักปั่นกลับ จุดพีคมันอยู่ตรงนี้แหละ ขากลับโหดร้ายมากถึงมากที่สุด ขนาดขาผมค่อนข้างแข็งแรงเพราะผมออกกำลังกายทุกวันยังต้องลงเข็นครับ ทนมาได้สักพักก็กลับมาถึงโฮลเทล อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ น้อง ๆ ที่เจอกันบนรถแดงก็ Message มาชวนไปกินข้าวด้วยกัน จัดไปครับหมูพะโล้เสียบไม้ จัดไป 20 ไม้ >< กินเสร็จชักภาพกันสักหน่อยเป็นที่ระทึก แล้วก็โบกมือลากันเผื่อไม่ได้เจอน้อง ๆ อีก

          หลังจากอิ่มหนำกับหมูพะโล้เสียบไม้ในตลาดเรียบร้อยแล้ว ก็เดินไปเซเว่นฯ เพื่อซื้อของใช้นิดหน่อย แล้วก็จัดเบียร์มา 2 กระป๋อง กะว่าถ้านอนไม่หลับจัดสัก 2 กระป๋อง คงจะหลับสบาย ฮ่า ๆ หลังจากได้เบียร์ก็เดินกลับมาที่ Hostel ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที จากเซเว่นฯ ถึงที่พัก กำลังจะขึ้นไปเก็บของบนห้อง พี่จิม เจ้าของ Hostel ก็ส่งเสียงทักทายพร้อมถามว่ามาคนเดียวพรุ่งนี้วางแผนเที่ยวหรือยัง เท่านั้นล่ะครับนั่งคุยกันยาวเลย สุดท้ายผมก็ตกลงปลงใจไป Day Tour กับกลุ่มลูกค้าอีกกลุ่มของ Hostel เพราะนั่งคำนวณแล้วถ้าเที่ยวเองคนเดียวค่าใช้จ่ายต้องสูงแน่นอน ถ้าจะไปได้ครบอย่างที่หวังไว้ คุยกันไปจิบเบียร์ไปสักพัก  2 กระป๋อง ที่ซื้อมาก็หมดลง จึงขอตัวกลับขึ้นไปนอนเพื่อเอาแรงไว้ลุยในวันรุ่งขึ้น โดยพี่จิมนัดพวกเราพร้อมเดินทางเวลา 6 โมงเช้า โดยวันพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปตลาดเช้าที่ฝั่งพม่ากันก่อนเป็นโปรแกรมแรก


          วันที่สองของการเดินทางช่วงเช้า [ไปเที่ยวพม่ากัน]

          เที่ยวตลาดเช้าพม่า วัดเสาร์ร้อยต้น พระธาตุอินแขวนจำลอง ช้อปเหล้าเบียร์ปลอดภาษี

          ผมตื่นเวลา 05.30 น. อาบน้ำแปรงฟัน แต่งตัวเตรียมไปลุย Day Trip ของวันนี้ ลงมาที่ด้านล่างของที่พัก ทาง Hostel มีบริการกาแฟสดครับ ฟรีสำหรับผู้เข้าพัก พร้อมขนมปังปิ้ง กินเสร็จฝนดันตกครับ เราเลยต้องเลื่อนเวลาเดินทางออกไปนิดหน่อย ระหว่างมีเวลาว่างเลยถ่ายภาพของที่พักมาฝาก เผื่อใครอยากเห็นภาพประกอบ


แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          สักพักฝนก็เริ่มหยุดครับ เราจึงเริ่มออกเดินทางกัน อย่างที่บอกทริปนี้เป็นทริปลุย ๆ ครับ เพราะฉะนั้นนั่งกระบะแล้วลุยโลด !!!

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          ระหว่างทางจากสังขละบุรีไปด่านเจดีย์สามองค์ ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตรครับ นั่งกันไปเรื่อย ๆ สักพักฝนตก ผมเลยต้องเก็บกล้องเข้าในรถ ไม่มีรูปตอนไปที่ด่านเลย พี่จิมก็ไปทำเรื่องผ่านด่านให้ครับ สำหรับบุคคลใช้สำเนาบัตรประชาชน และเงิน 30 บาทครับ สำหรับรถยนต์ใช้หลักฐานคือสำเนาทะเบียนรถหรือสำเนาการเสียภาษีก็ได้ครับ ส่วนค่าใช้จ่ายไม่แน่ใจครับ ลองสอบถามตรงด่านดูอีกทีนะครับ คร่าว ๆ น่าจะไม่เกิน 100 บาท

          ด่านเจดีย์สามองค์ระหว่างรอฝนหยุด

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          ข้ามมาถึงสิ่งแรกที่วิ่งหาเลยก็คือ "หมูพะโล้เสียบไม้ของแท้ของพม่า" จะบอกว่านอกจากหน้าตาจะน่ากินกว่าของในตลาดเมื่อวานแล้ว รสชาติยังอร่อยกว่าอีกด้วยครับ จัดไปอีก 20 ไม้ [ไม้ละ 1 บาท]

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          ต่อจากนั้นเราก็ไปจัดมื้อเช้าจริง ๆ กันครับ เป็นมื้อเช้าแบบพม่า

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          หลังจากอิ่มจากมื้อเช้ากันแล้วเราก็เดินทางไปที่ "วัดเสาร้อยต้น" กันครับ ตอนนี้เราอยู่กันในฝั่งพม่าแล้วนะครับ มาเข้าช่วงสาระความรู้กันหน่อย หลังจากที่ผมไม่ค่อยจะมีสาระ เขตที่เรานั่งกินข้าวอยู่นี่คืออำเภอพญาตองซู รัฐกะเหรี่ยง เขตประเทศพม่า พอข้ามเขตไป เวลาจะช้ากว่าเรา 30 นาที ดังนั้นถ้าไปเที่ยวควรเผื่อเวลากลับไว้ด้วยนะจ๊ะ เวลาทำการตั้งแต่ 08.00-18.00 น. หลายคนมีคำถามอีก...ถ้าไม่ไป Day Tour จากสังขละบุรี ไม่มีรถส่วนตัว แว้นมอเตอร์ไซค์ไปเองจากตัวเมืองสังขละบุรีจะข้ามไปเที่ยวได้มั้ย คำตอบคือได้ครับ และมีหลายวิธีด้วย แต่วิธีที่จะแนะนำก็คือบริเวณนั้นจะมีคนขาย Tour อยู่ครับ ราคาน่าจะอยู่ที่ 200 บาท หรือถ้าใครอยากไปแค่ตลาด ทำเรื่องผ่านด่านแล้วก็เดินไปเลยก็ได้ครับ ตลาดใกล้นิดเดียว ถ้าขี้เกียจเดินก็พี่วิน วินมอเตอร์ไซค์เยอะมาก ราคาไม่แพง แต่ต้องใช้ทักษะในการสื่อสารขั้นสูงหน่อยนะครับ เพราะพวกพี่ ๆ เค้าพูดไทยไม่ชัด แต่ถ้าคุณไปแบบผมโดยเดินทางกับพี่จิม เจ้าของโฮสเทล นอกจากเที่ยวแล้วพี่เค้ายังให้ความรู้ในสถานที่ต่าง ๆ ที่ไปดีมาก เล่นเอาคนไม่มีเนื้อหาสาระอยากแต่จะถ่ายรูปอย่างผมต้องหยุดฟังและเก็บข้อมูลกันเลยทีเดียว เอาเป็นว่าไปกับพี่จิมไม่ผิดหวังละกัน...คอนเฟิร์ม !!!!!

          วัดเสาร้อยต้น อยู่ห่างจากชายแดนไทย-พม่า ด่านเจดีย์สามองค์ ประมาณ 5 กิโลเมตร ในเขตประเทศพม่า เป็นวัดเดิมที่หลวงพ่ออุตตมะเคยมาจำพรรษาและสร้างไว้ โดยเสาสร้างจากไม้แดงนับร้อยต้น

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

           เหล่าเณรน้อยกำลังเรียนหนังสือ

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

           เมื่อไหว้พระในโบสถ์เสร็จแล้วก็ออกมาบริเวณด้านหลังวัด จะมีพระพุทธรูปที่เป็นพระอรหันต์จำนวน 120 รูป ที่ตั้งแถวทอดยาวไปยังภูเขา

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

           เสร็จจากวัดเสาร้อยต้นเราก็ไปกันต่อที่ "เจดีย์ชเวดากองจําลอง" ข้างบนสามารถชมวิวกันได้ครับ ถ้าวันฟ้าเปิดคงจะสวยน่าดู แต่วันนี้ก็สวยในแบบของมัน สวยแบบในฤดูฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

           เราเดินทางกันต่อไปที่ "วัดตองไว" ครับ ที่วัดนี้มีพระธาตุอินแขวนจำลองอยู่ วิวสวยอีกเช่นเคยครับ แอบเสียดายที่ฟ้าปิด

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          ข้อมูลเพิ่มเติม

          ที่วัดตองไวทุก ๆ วันอาทิตย์จะมีการสอนธรรมะให้กับเด็ก ๆ เนื่องจากว่าแถวนี้ยาเสพติดเยอะและหาง่าย ทางผู้ปกครองจึงรวมตัวกันโดยออกทุนกันเองเพื่อจัดการเรียนการสอนธรรมะขึ้น เพื่อไม่ให้เด็กน้อยมีเวลาว่างมากเกินไป ผมไปดูอยู่สักพักก็น่ารักดี เหมือนบ้านเราสมัยก่อนที่มีการสอนธรรมะกันทุกวันหยุด แต่นี่เด็กเยอะมาก น่าจะมากันหมดทั้งหมู่บ้านเลย ใครใจดีและไปถึงก่อน 10 โมงเช้าก็ซื้อพวกขนมปังที่เป็นลัง ๆ ไปฝากน้องได้ครับ เพราะผู้ปกครองต้องรวมเงินกันและออกค่าของกินกันเอง สัปดาห์หนึ่ง ๆ ก็หลายบาทอยู่ครับ

          เสร็จจากจุดนี้เราก็กลับเข้าไปที่ตลาดอีกรอบครับ เพื่อแวะร้านค้าปลอดภาษี บอกได้คำเดียวว่าที่นี่จะกลายเป็นสวรรค์ของนักดื่มกันเลยทีเดียว ผมจัดมาเพียบ ก็มันถูกจริง ๆ น่ะเออ ฮ่า ๆ หลังจากได้เบียร์แล้วเราก็เดินทางกลับกันมาที่โฮสเทล จริง ๆ เราต้องมีโปรแกรมกันต่ออีกนิดหน่อย แต่เนื่องจากฝนตกเราเลยตกลงกันว่ากลับไปนอนพักที่โฮสเทลก่อนดีกว่า เดี๋ยวบ่ายค่อยว่ากัน

           วันที่สองของการเดินทางช่วงบ่าย

          ไปเที่ยวฝั่งมอญ ร่องเรือชมวัดจมน้ำ [ที่ตอนนั้นไม่จมน้ำ] เดินเล่นชิล ๆ ที่สะพานมอญ


          หลังจากกลับมาพักเอาแรงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเราชาวคณะ [ไปคนเดียวนะ แต่ไปมั่วเป็นชาวคณะเค้าเฉย] ก็ออกเดินทางกันไปฝั่งมอญครับ โดยเราเริ่มต้นกันที่ “วัดวังก์วิเวการาม” หรือวัดหลวงพ่ออุตตมะ เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะร่วมกับชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ ได้ร่วมกันสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2496 ครับ แวะชมวัดและสักการะรูปปั้นของหลวงพ่ออุตตมะกันสักหน่อยครับ เพื่อความเป็นสิริมงคล

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          หลังจากนั้นขับรถออกมาอีกนิดเดียวเพื่อไปชมความงามและสักการะเจดีย์พุทธคยากันครับ

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          หลังจากนั้นเราก็เตรียมไปลงเรือเพื่อไปชมวัดจมน้ำกัน สำหรับสาว ๆ เตรียมเข้าห้องน้ำกันให้เรียบร้อยนะจ๊ะ เพราะถ้าเรือออกแล้วไม่มีห้องน้ำนะ เข้าป่าอย่างเดียว ส่วนเรื่องราคาเรือนั้นรวมในราคาแพ็กเกจที่ผมซื้อกับทางโฮสเทลแล้ว แต่ถ้ามาเองราคามาตรฐานจะเป็น ดังนี้

          1 วัด 300 บาท
          3 วัด 500 บาท 

          นั่งได้สูงสุดประมาณ 6 คนครับ แต่ถ้าต่อรองกันดี ๆ อาจจะเหลือ 400 บาท ก็ได้นะ เห็นน้อง ๆ ที่เจอบนรถแดงไปต่อมาได้ด้วยล่ะ ป่ะ ๆๆ ไปนั่งเรือกันเรือออกแล้ว

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

           วัดแรกที่เรือพาเราไปแวะคือ "วัดศรีสุวรรณ" พี่จิมเล่าให้ฟังว่าถ้าปีไหนไม่แล้งจริงจะไม่สามารถเข้าไปชมในโบสถ์ได้ครับ และปีนี้ก็แล้งจริงครับ สามารถเข้าไปดูข้างในได้เลย แต่สิ่งที่ทำให้ผมดีใจมากกว่าได้เห็นวัดจมน้ำก็คือฟ้าเปิดครับ ไม่น่าเชื่อฝนตกมาทั้งวัน ฟ้าเป็นใจให้เราได้ถ่ายรูปจนได้ ^__^

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

           ไปต่อที่วัดที่สองกันครับ ผมจำชื่อวัดไม่ได้แต่ทราบมาว่าเป็นวัดเดียวที่ไม่จมน้ำครับ แต่จะอยู่กลางเกาะในเขื่อน เดินทางเข้า-ออกด้วยเรือเท่านั้นครับ

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

           หลังจากนั้นเราก็ไปต่อกันวัดสุดท้ายซึ่งเป็นไฮไลท์ของการนั่งเรือชมวัดจมน้ำครับ ก็คือ "วัดวังก์วิเวการามเก่า" นั่นเอง แต่อย่างที่บอกครับ ช่วงที่ผมไปวัดไม่จมน้ำแต่ก็ได้อารมณ์ของภาพอีกอารมณ์หนึ่งมาแทน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

หลังจากนั้นเราก็ไปแบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝนต่อกันวัดสุดท้ายซึ่งเป็นไฮไลค์ของการนั่งเรือชมวัดจมน้ำครับ ก็คือ

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

           หลังจากถ่ายรูปกันหนำใจแล้วก็ได้เวลากลับครับ ระหว่างทางกลับพระอาทิตย์กำลังเริ่มตก คืออารมณ์มันใช่มาก นั่งในเรือที่กำลังแล่นชมพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้า

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

           และแล้วก็นั่งเรือกลับมาถึงสะพานมอญ ยังมีแสงเหลืออยู่เลยเดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยครับ บรรยากาศสวย ๆ แบบนี้ อยู่ดี ๆ อารมณ์ศิลปินก็เข้าสิงประมาณว่าตัวเองเป็นพระเอกมิวสิค เดินอยู่บนสะพานมอญ [โถ่ ๆๆๆๆ !!!!!] จริง ๆ ไม่ใช่อะไรครับ เวลาไปที่ไหนที่สวย ๆ ผมมักคิดถึงคนที่ผมรักและเป็นห่วงเสมอ อยากให้เค้ามาเห็นภาพเดียวกับผม อยากให้ได้รับความสุขแบบที่ผมได้รับ นั่นล่ะผมถึงได้ตั้งใจถ่ายรูปทุกทริปที่ไปเที่ยว เพราะอย่างน้อยถ้าเราไม่มีโอกาสได้พาเค้ามา ปล่อยให้รูปภาพเหล่านี้เล่าเรื่องให้เค้าเหล่านั้นฟังก็ยังดี ^___^

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          เดินถ่ายรูปไปมาก็ไปเจอน้อง ๆ กลุ่มเดิมอีกครั้ง น้อง ๆ ก็น่ารักกลัวผมเหงา ชวนผมไปกินข้าวเย็นเป็นวันที่สอง หลังจากกินอิ่มก็เดินทางกลับที่พัก จังหวะที่กำลังจะเดินขึ้นไปเอาของไปเก็บ เสียงของพี่จิมเจ้าของโฮสเทลก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมคำเชื้อเชิญให้มานั่งเล่นนั่งคุยกัน คุยกันไปคุยกันมา สุดท้ายก็เป็นแบบในภาพนี้ล่ะครับ ฮ่า ๆ

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

          หลังจากดื่มไปนิดหน่อยผมก็ขอตัวเอาของขึ้นไปเก็บบนห้อง พร้อมเช็กดูว่าวันนี้มีรูมเมทหรือเปล่า เพราะถ้ามีรูมเมทคงไม่ดื่มต่อ เกรงใจรูมเมทเดี๋ยวจะเหม็นกลิ่นแอลกอฮอล์ แต่ !!!!!! คืนนี้ไม่มีรูมเมท ฮ่าๆๆๆๆๆ สุดท้ายคืนนั้นจัดหนักกันถึงขั้นผมต้องไปนอนอยู่ในห้องน้ำของโฮสเทลสักพักเลย เลยพิสูจน์แล้วว่าห้องน้ำสะอาดจริง ๆ ฮ่า ๆ


          และแล้วคืนนั้นผมก็ได้รถกลับบ้านโดยบังเอิญ โดยโจ๊กคนขวามือในภาพ อนุญาตให้ติดรถไปได้
          เพราะโจ๊กต้องขับรถผ่านอำเภอนครชัยศรี บ้านผมอยู่แล้ว ขอบคุณมาก ๆ ครับโจ๊ก เก๋ด้วยนะครับ


          วันที่ 3 เตรียมโบกมือลาสังขละบุรี

          หลังจากเมื่อคืนจัดหนักไปมาก แต่ ๆ ผมก็ตื่นเช้าได้เสมอถ้าเป็นการมาเที่ยว ตื่นมา 6 โมงเช้า เจอน้อง 2 คนที่มาจากหาดใหญ่และพี่สาวคนหนึ่งที่มาจากชลบุรี เราทั้งหมดจึงเดินไปพร้อมกันที่สะพานมอญเพื่อไปตักบาตรตอนเช้ากันครับ

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

           และที่ขาดไปได้ พี่เย็น คนที่เราเห็นตามภาพบ่อย ๆ แกบอกว่าเป็นเด็กปั้นแก ฮ่า ๆ

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

            บรรยากาศเช้า ๆ ในวันฝนตก แต่สิ่งตอบแทนที่เราได้รับคือไม่มีแดดให้เราต้องร้อน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

           หลังจากเสร็จก็เดินข้ามสะพานมอญกลับมา โบกพี่วินกลับที่พักในราคา 20 บาท ตอนแรกกะไว้ว่าจะนอน ๆ นั่ง ๆ อยู่โฮสเทลจนกว่าโจ๊กจะกลับ โจ๊กบอกว่าจะออกประมาณ 11 โมง ปรากฏว่าพี่จิมชวนไปเดินเล่นฝั่งพม่าอีกครั้ง เพราะมีเวลาเหลือ ๆ กว่าจะ 11โมง จริง ๆ วันนี้แกมีลูกค้าคนเดียว จะไปกันสองคนก็คงจะเหงา ๆ ผมเลยถือโอกาสไปเที่ยวพม่าอีกรอบ [ไปฟรีไม่ไปได้ไง ฮ่า ๆ] หลังจากกลับมาจากฝั่งพม่า ก็เช็กเอาท์เตรียมโบกมือลาสังขละบุรี

           ลาก่อนสังขละบุรี...เป็นการเดินทางคนเดียวโดยไม่มีรถส่วนตัวครั้งแรกของผมที่มีคุณค่ามาก ๆ ลาก่อนสังขละในเงาฝน

แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน

        รายละเอียดค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ดังนี้

         1. One Day Trip [เที่ยวพม่า เที่ยวฝั่งมอญ นั่งเรือชมวัด] 600 บาท

         2. ค่าที่พัก 2 วันที่ OH DEE HOSTEL ห้อง Dorm 590 บาท

         3. ค่ารถตู้ นครปฐม-กาญจนบุรี 70 บาท

         4. รถบัสแดง 130 บาท ส่วนขากลับนั้นฟรี ติดรถโจ๊กกลับมา

         5. วินมอเตอร์ไซค์สังขละบุรี 20 บาท

         6. ค่ากินเนื่องจากเน้นกินง่าย กินข้าวจานเดียวและเซเว่นฯ เป็นส่วนใหญ่ จึงตกอยู่ที่มื้อละ 70x7 = 490บาท

         7. ค่าใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ อีก 100 บาท ส่วนค่าแอลกอฮอล์ไม่ได้คิด ฮ่าๆ (ตัดออกไม่นับ)

           คร่าว ๆ จะอยู่ที่ 1,900 บาท ตีว่าถ้าคุณกำเงินไปสัก 2,000-2,500 บาท อยู่ได้สบายมาก ๆ

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 991935 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

เรื่องที่คุณอาจสนใจ
แบกเป้นั่งรถไฟ ต่อรถเมล์ เที่ยวสังขละบุรีหน้าฝน อัปเดตล่าสุด 23 กรกฎาคม 2558 เวลา 15:12:43 35,724 อ่าน
TOP