เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ vivevicky สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก ตาตุ่ม.
วันนี้เราหยิบเอาอีกหนึ่งความน่าสนใจของประเทศเนปาลมาฝากเพื่อน ๆ กันอีกแล้วค่ะ จากบันทึกการเดินทางของ คุณ vivevicky สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้มีโอกาสไปเรียนรู้วิถีชีวิตสไตล์วูฟเวอร์ในชนบทของเนปาล ลองไปดูว่าตลอดระยะเวลาที่แปลงร่างเป็นวูฟเฟอร์จะได้พบเจอกับอะไรบ้าง อ๊ะ ๆ แต่ขอบอกก่อนนะคะว่า...อ่านจบแล้วคุณอาจจะหลงรักหลักเนปาลขึ้นมากนะ : D
++++++++++++++++++++++++
นี่ไม่ใช่กระทู้แรกที่รีวิวถึงการ WWOOF แต่นี่น่าจะเป็นกระทู้แรกที่คนไทยเขียนรีวิวการไป WWOOF Nepal
พวกเราไปวูฟกันที่เนปาล เนปาล เนปาล เนปาล ??? เริ่มจากวูฟก่อน ไม่มีใครในพวกเราเคยไปวูฟมาก่อนสักครั้ง
วูฟ มาจาก WWOOF (World Wide Opportunities on Organic Farms) เป็นโครงการที่ทำงานในฟาร์มเพื่อแลกกับที่พักและอาหารในแต่ละวัน โดยสมาชิกโครงการต้องดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายการเดินทางไปยังฟาร์มด้วยตัวเอง วูฟมีอยู่เกือบทุกประเทศในโลก และเราเลือกไป “เนปาล” กัน ทั้ง ๆ ที่ในตอนนั้นพวกเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับประเทศเนปาลเลย นอกจากภาพ นาธาน โอมาน ที่ลอยมา !
คนไทยนิยมไปวูฟที่ญี่ปุ่น แต่เดี๋ยว ๆ วูฟไม่ได้มีแค่เฉพาะในญี่ปุ่นนะพี่น้อง !!! เนปาลมีความลึกลับสูง ตอนที่คิดเล่น ๆ ว่าอยากไปวูฟที่เนปาล พอหาข้อมูลอะไรจากที่ไหนก็ไม่ค่อยจะมีซะเลย ตอนนั้นไป ๆ มา ๆ เริ่มคิดเหมือนกัน เฮ้ย ! คือที่นู่นจะเป็นยังไง หารีวิวก็ไม่มี ไม่รู้ฟีดแบ็คคนที่เคยไป มันโอเคปะวะ
คุยกับเพื่อนที่จะร่วมเดินทางด้วยก็ไม่มีใครให้ความมั่นใจได้ว่าเราจะปลอดภัยในประเทศนี้ได้จริง ๆ เพราะว่าเราไม่รู้อะไรเลยค่ะ T_T แต่สุดท้ายก็เลือกเนปาล คงเป็นเพราะความลึกลับนี่เองที่มันน่าดึงดูด มีเสน่ห์ให้ 3 สาวไทยอยากค้นหาขนาดนี้ หรือไม่คงเป็นลูกบ้าของพวกเราที่จะไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ และอยู่กับคนท้องถิ่นที่เนปาลให้ได้นั่นเอง 555
เราอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง อยากทำความรู้จักประเทศแปลก ๆ ก็ต้องเอาตัวเข้าไปฝัง จัดไปเลย 50 วัน ในเนปาล 30 วัน แบ่งไปสำหรับการเป็นวูฟเฟอร์ !!!
ที่เนปาล วูฟถือว่าบูมทีเดียว มีโฮสต์ให้เลือกมากกว่าสองร้อยแห่ง แถมการเข้าประเทศก็ง่ายมาก เลือกทำวีซ่าได้สองที่ คือ ที่ประเทศไทยและที่สนามบินประเทศเนปาล เรากับเพื่อนเลือกอย่างหลัง พูดง่าย ๆ คือ บินไปเนปาลลงจากเครื่องแล้วทำวีซ่าที่สนามบินเลย ไม่ต้องสัมภาษณ์ ไม่ต้องทำอะไรวุ่นวายเลยล่ะ เพราะเนปาลเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปสม่ำเสมอ บางคนไปนานก็ไม่สงสัย เพราะคนที่ไปเนปาลเพื่อเทรคกิ้งปีนเขากันเป็นเดือนก็มี
*WWOOF ไม่มีค่าใช้จ่าย
แต่ข้อยกเว้นคือประเทศยากจน (เช่น เนปาล อินเดีย จีน เวียดนาม) ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้โฮสต์นิดหน่อย อย่างเนปาลเนี่ยเสียวันละ 200-300 รูปี หรือวันละ 70-100 บาทไทยเอง คือก็ยังถูกอยู่ดีอะ !
-----------------------------------------------------
ฟาร์มที่สองมาแล้วนะ !!! อ่านฟาร์มแรกจบก็ไปต่อกันได้ที่นี่เลย วูฟเนปาล...กับฟาร์มในม่านหมอก
[WWOOF Nepal] วูฟเนปาลประมาณนี้แหละ... เมื่อ 3 สาวไทยฝังตัวในชนบทเนปาล 30 วัน ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/33143473
-----------------------------------------------------
อย่างที่บอกว่าอยู่เนปาลนาน เราแก๊งเดิมไปเทรคกิ้งเทือกเขาหิมาลัยมาด้วยนะเธอ ตามไปดูกันได้ค่ะ
- เทรคกิ้ง ABC หน้ามรสุมกับผู้หญิง 3 คน ฉบับเขียมสุดฤทธิ์ ! 3,500 บาทต่อคน 7 วัน สู่เทือกเขาหิมาลัย pantip.com/topic/32462315/
- เทรคกิ้ง ABC หน้ามรสุมกับผู้หญิง 3 คน ฉบับเขียมสุดฤทธิ์ ! 3,500 บาทต่อคน 7 วัน สู่เทือกเขาหิมาลัย ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/32469795/
หรือจะตามไปอีกที่ ตาตุ่ม. ก็ได้นะ
www.facebook.com/tatoomdot
ที่นี่เป็นที่ที่พวกเราสามคนอยู่รวมกัน เป็นเพจที่ตั้งขึ้นพร้อม ๆ กับการเดินทางไปยังประเทศเนปาล ดังนั้นเรื่องราวตั้งแต่วันแรกของการเดินทางจึงถูกรวมอยู่ในนี้ และพวกเราก็ยังขยันเดินทางอยู่เรื่อย ๆ จะเดินทางไปด้วยกันก็ได้ไม่ว่ากัน อิอิ : )
ฟาร์มแรก
เราเลือกฟาร์มที่เมือง Panauti ซึ่งห่างจากกาฐมาณฑุเพียง 35 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วโมงครึ่งจ้า ไม่ต้องพูดถึงความทุรกันดารของทาง ทางคอนกรีตอะไรไม่มีทั้งสิ้น มีแต่ลูกรังอย่างเดียว โฮสต์มารับด้วยรถจี๊ป พวกเรานั่งและโขยกเขยกอยู่ในรถมาตลอดทาง ตอนนั้นลุ้นกันใหญ่ว่าฟาร์มจะหน้าตาเป็นยังไง นี่บอกก่อนเลยว่าตอนที่เลือกฟาร์มนั้น เรามีแต่ข้อมูลที่เป็นตัวอักษรแต่ไม่มีภาพให้ดู และจากข้อมูลของฟาร์มแต่ละที่ก็พูดถึงฟาร์มตัวเองว่ามีพืชผักประมาณนี้ มีสัตว์อะไรบ้าง บลา ๆๆๆๆๆ ซึ่งไม่แตกต่างกันสักเท่าไร...
พวกเราเลยเลือกโฮสต์ที่
1) ตอบอีเมลไวเพราะอย่างน้อยก็น่าจะแปลว่าพอมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตอยู่บ้าง (บางโฮสต์ส่งอีเมลไปติดต่อวูฟแล้วไม่มีสัญญาณว่าจะตอบกลับเลย น่าจะเพราะสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่มี) อย่างน้อยไปอยู่แดนไกลเป็นเดือนก็จะได้ไม่ทำให้คนที่บ้านเป็นห่วงนัก
2) ดูสื่อสารโอเค ใช้ภาษาอังกฤษได้
นอกนั้นเราก็ไม่ดูอะไร ข้อมูลของแต่ละฟาร์มไม่มีใครบอกว่าฟาร์มตัวเองลำบากแค่ไหน ไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไงก็ไม่ต้องไปคิดอะไร เราสามคนบอกกันว่า “อย่าไปคิดมากแก ยังไงก็ตั้งใจไปลำบากอยู่แล้ว 555” เราไปเพราะอยากไป พกความคาดหวังไปน้อยที่สุดและอะไรที่ไม่อยู่ในแผนการจะทำให้เรารู้สึกสนุกเอง
ในที่สุด...บนทางลูกรังกว่าหนึ่งชั่วโมง โฮสต์ก็พามาถึงฟาร์ม แต่นแต๊น...
รถจี๊ปคู่ใจของโฮสต์ ส่วนบ้านสีส้มหลังนี้เป็นบ้านพักของครอบครัวชาวเนปาลที่ทำงานที่ฟาร์ม
โฮสต์แอนด์เดอะวูฟเฟอร์
พวกเราเรียกโฮสต์ว่า “ป๋า” ป๋าเป็นชายวัยห้าสิบปลาย ๆ นิสัยใจดีโคตร มาถึงฟาร์มป๋าก็พาแนะนำคนงานของป๋าที่ทำงานประจำที่นี่ มีครอบครัวเล็ก ๆ พ่อ แม่ ลูก คนงานชายอีกหนึ่ง และคนงานสาว ๆ อีก 2 คน
ป๋าสื่อสารภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อ ดังนั้นหมดห่วงเรื่องการสื่อสารไปเลย ป๋าบอกว่าบ้านพักเราอยู่บนเขาลูกเล็ก ๆ ต้องเดินขึ้นไปอีก เราอือออ แหม...บ้านบนเขาคงไม่สูงมากหรอกมั้ง อื้อหือ พอเดินขึ้นไปจริง ๆ เก็ทเลย
ป๋าใช้คำว่า Hill ที่แปลว่าเนินเขา นี่สินะคือเนินเขาของป๋า T_T
บ้านของวูฟเฟอร์ ที่เห็นสีแดงกับสีเขียวเนี่ยบ้านหลังเดียวกันนะเออ ป๋าแกคงติสท์ยังไงไม่รู้ เล่าให้ฟังว่าอยากทาสองสีนี้ด้วยกัน (ส่วนในห้องนอนน่ะทาสีม่วง หลากหลายจริง ๆ)
ป๋าให้บ้านวูฟเฟอร์ไทยทั้งหลังเลยจ้า คือดีงามมาก เรามีห้องน้ำ ห้องนอน ห้องครัว และมีดาดฟ้า สำหรับคนสามคนแล้วถือว่าเป็นอะไรที่ประเสริฐมาก
บ้านอยู่บนเขานี่มีข้อดีอย่างหนึ่งนะ คือ ได้มองเห็นวิวจากบนที่สูง
บ้านอยู่บนเขาสูงที่มองเห็นด้วยระดับสายตา แต่เดิน (เกือบเรียกว่าปีน) ประมาณสิบนาที เราว่าบ้านเราสูงแล้วนะ แต่มองออกไปนี่ยังมีหลายหลังเรียงรายขึ้นตามไปเขา
บางหลังต้องเดินขึ้นจากระดับพื้นปกติเกือบชั่วโมง มีวันหนึ่งเคยไปเดินเล่นบนเขาลูกที่สูงกว่า มองลงมาเห็นบ้านเราอยู่เล็กนิดเดียวไปเลย
ที่ฟาร์มนี้ป๋าเป็นเจ้าของก็จริง แต่ป๋ามาส่งเราที่ฟาร์มเท่านั้น ป๋าอาศัยในตัวเมืองกาฐมาณฑุกับครอบครัว และให้คนงานดูแลฟาร์มโดยจะมาเยี่ยมเยียนสักอาทิตย์ละครั้ง อ้าว !! ตาย ๆๆๆ หลังจากที่ป๋าบอกว่าจะกลับแล้ว พวกเราก็ช็อก =[]= นาทีนั้นสาวไทยรู้สึกถึงความลำบากขึ้นมาในทันที เพราะคนในฟาร์มพูดอังกฤษไม่ได้สักคน...โอเค หลังจากป๋ากลับไปเมื่อยมือกันไปค่ะ ภาษามือนี่งัดกันมาใช้ใหญ่ทั้งคนไทยทั้งคนเนปาล พยักหน้าหงึก ๆ เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เช้าวันแรกสาวไทยคึกคักลงมาทำงานตั้งแต่ยังไม่แปดโมงเช้า เพื่อพบกับความว่างเปล่า สืบไปสืบมาได้ความว่างานเริ่มสิบเอ็ดโมงนะยู
วันแรกก็เงอะ ๆ งะ ๆ เป็นธรรมดา พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ขำ ๆ งง ๆ กันทั้งคนพูดทั้งคนฟัง ผ่านไปได้สองวันถึงได้เจอกับนางฟ้า เธอมีชื่อว่า นาราอินี
นาราอินีพักหยุดไปสองวัน ถึงว่าไม่ได้เจอกันตั้งแต่วันแรก นาราอินีเป็นสาวบนเขาที่ไม่ได้เรียนสูงแต่พูดอังกฤษเก่งมากกกกกกก พักหลังพวกเราทำงานกับนาราอินีตลอด และเธอก็เป็นตัวกลางคอยสื่อสารให้กับทั้งสาวไทยและคนเนปาลจนเราสนิทกันเลยล่ะ พวกเรากับแก๊งสาว ๆ เนปาล น่ารักกกกกก 555
อยู่มาวันหนึ่งมีโอกาสได้ดำนาด้วยค่ะ ฟากสาวไทยก็ตื่นเต้นอีกตามเคย ก่อนดำนา “อินทิรา” เดินถือถาดดอกไม้กับธูปเข้านา วักน้ำจากในนาผสมผงแป้งสีแดง เรียกพวกเราเข้าไปแต้มหน้าทีละคน ก็ทำพิธีเอาแป้งสีแดงป้ายแก้มกับหน้าผากให้พวกเรา...อินทิรา...ซึ่งเป็นสาวเนปาลวัยกลางคนที่จัดว่าสวยมาก
การดำนาเริ่มจากการนำต้นข้าวที่แยกปลูกไว้ให้โตเป็นต้นกล้ามาปักในนาข้าว
ทำไปทำมาก็สนุกดี เข้าใจคำว่า "หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน" เลย
แปลกดีเหมือนกันนะ เราอยู่ในประเทศที่มีอาชีพหลัก คือ เกษตรกร แต่พวกเราทั้งสามคนกลับได้มาดำนาครั้งแรกที่ประเทศเนปาลซะอย่างนั้น
การดำนาที่นี่สนุกมาก สภาพที่เห็นไม่ได้เกิดการทำงานหนักแต่อย่างใด เกิดจากการโดนสาวเนปาลรุมแกล้ง กว่าจะดำนาเสร็จก็เสียเวลาไปมากโข หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง นี่ขนาดคุยกันไม่รู้เรื่องนะ
สงครามดำนาเริ่มจาก “อินทีรา” ขว้างก้อนดินใส่คนที่เดินผ่านไปมาก่อน จนลามมาถึงพวกเรา มีหรือคนไทยจะยอมน้อยหน้า เราเคยส่งข้าวออกเป็นอันดับหนึ่งของโลกเชียวนะ (ไม่เกี่ยว) สงครามในข้าวจึงถืออุบัติขึ้น แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันชัดเจน กว่าจะดำนาเสร็จก็เวลาโพล้เพล้ เราเดินจากมาพร้อมเสียงหัวเราะในสภาพที่ตัวเปื้อนโคลนตั้งแต่หัวจดเท้า
มีฟาร์มก็ต้องมีสัตว์ใช่ปะ อยากรู้ไหมว่าฟาร์มที่พวกเราอยู่มีอะไรบ้าง มา ๆ เดี๋ยวเราพาไปรู้จักกับสมาชิกในฟาร์มกัน
ลูกเจี๊ยบ
ไก่ที่บ้านฉันมันขันได้ไพเราะดี โก่งคอร้องขันเสียงดังลั่นธรณี เอก เอก อี เอ้ก เอก อี เอ้ก เอก เอ้ก อี โอก โอก อี โอ้ก โอก อี โอ้ก โอก โอ้ก อี
แก๊งสัตว์ปีกมีเป็ดด้วย
ขอบคุณพี่วัวที่ทำให้พวกเรามีนมสดไว้ดื่มทุกเช้า
น้องแพะวัยละอ่อน
เกิดมาไม่เคยเห็นแพะฉี่ โอ้ยยยยยย คือมันเป็นอะไรที่น่ารักมากกกกกกก
แมลงเต่าทองก็มีนะ
มาภาคพิสดารหน่อยก็เป็นแมลงปั่มปัมปั๊มกันนี่แหละ
เกือบลืมน้องแมว
ตัวนี้ลูกหมาของเพื่อนบ้าน
แค่ที่ฟาร์มเราก็มีลูกหมา เราเรียกเจ้าตัวนี้ว่า “ดำน้อย” ดำน้อยน่าตาน่ารักน่าเอ็นดู แต่ใครจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วนางแสบมากก
ตัวป่วนประจำฟาร์มเลย
ดำน้อยถูกแบล็คเมล์ขณะไปแอบขี้เงียบ ๆ คนเดียว 555
มาเรื่องอาหารการกิน
ตอนแรกป๋าถามว่าอยากทำอาหารกินเองหรืออยากให้คนที่นี่ทำให้ ด้วยความที่เรามีครัวเป็นของตัวเองแล้ว เลยรู้สึกอยากใช้ให้คุ้ม เลยตกลงกับป๋าไปว่า "มื้อเช้าและมื้อเย็นจะทำกินเอง ส่วนมื้อเที่ยงกินกับชาวเนปาลในฟาร์ม"
ในครัวบ้านเรามีพร้อมทุกอย่าง ตั้งแต่เครื่องครัว น้ำมัน ข้าวสาร เครื่องปรุงเนปาล ทุกเช้าจะมีนมสดจากวัวนมให้เราไปต้มอุ่น ๆ ดื่ม และมีไข่ไก่ให้พวกเราทำอาหาร ส่วนผักในฟาร์มนั้นอยากกินอะไรเก็บไปได้เลย ผักที่นี่ส่วนใหญ่เหมือนที่ไทย เรากินง่ายอยู่ง่ายและชอบกินผักกันทั้งก๊วนอยู่แล้ว ดังนั้นไม่มีปัญหาเลย ตอนแรกเก็บผักแต่ละครั้งก็เกรงใจ แต่พักหลังก็เก็บเอา ๆ จนแทบเกลี้ยง 555 ผักสด ๆ จากฟาร์มนี่ดีจริง ๆ เลย
เก็บผักแต่ละครั้งก็เยอะประมาณนี้แหละ ฮี่ ๆ
มื้ออาหารของพวกเราเริ่มจากเมนูไม่กี่อย่างไปจนถึงเมนูจัดเต็ม จากเดิมเป็นผู้หญิงกาก ๆ ที่ทำอาหารไม่ได้เรื่องสักเท่าไร ก็เริ่มกลายเป็นแม่ศรีเรือนขึ้นมาหน่อย
อาหารหลักของเนปาล คือ ข้าว เราเลยไม่ลำบากอะไรนัก แต่เดี๋ยวก่อน คนที่นี่กินข้าวกับมันฝรั่ง อาหารแทบจะทุกอย่างทั้งคาวหวานมีส่วนประกอบเป็นมันฝรั่ง เวลากินข้าวก็ต่างไปจากบ้านเรา ตอนเช้าจะทานไข่ต้มหรือไม่ก็ชานม ก่อนตามด้วยมื้อใหญ่ตอนสิบเอ็ดโมง แล้วทานมื้อเย็นกันเกือบสองทุ่ม
ที่ฟาร์มมีมันฝรั่งเยอะมาก พอเราเริ่มเบื่อการกินมันฝรั่งต้มตามที่คนเนปาลกิน เลยเอามาหั่น ๆๆ ให้เป็นแท่ง ๆ แล้วทอดให้เป็นเฟรนช์ฟราย
พวกเราขนมาม่ากับน้ำจิ้มสุกี้ไปด้วย ความที่ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเผื่อไว้ก่อนก็ดี กลัวอดตายน่ะ 555
อยู่ที่นี่กินข้าวใต้แสงเทียนทุกคืน โรแมนติกชะมัด อิอิ ไม่ใช่อะไรที่ฟาร์มไม่มีไฟฟ้าใช้ตอนกลางคืน ต้องอาศัยแสงจากเทียน
เนปาลเป็นประเทศที่ค่าครองชีพถูก เมื่อเทียบกับผักที่ขายด้วยราคาที่เรียกว่าถูกเว่อร์แล้ว ผลไม้ดันไม่ถูกเหมือนกับผักซะอย่างนั้น แต่วูฟเฟอร์จน ๆ อย่างเราก็หาวิธีหาผลไม้กินจนได้ ผลไม้ป่านี้สาว ๆ เนปาลเก็บมาให้กิน
หลังจากที่เราเข้าป่าตามคนที่นี่บ่อย ๆ จนรู้ว่าอะไรกินได้บ้างแล้วก็เริ่มหาผลไม้ป่ากินเองเป็น *0* นี่หน้าตาของราสเบอร์รีป่า รสชาติแจ่มว้าวมาก
ส่วนนี่คือบลูเบอร์รีป่า ไม่อร่อยเหมือนบลูเบอร์รีทั่วไปเพราะมีรสฝาดมากกว่า
การทำงาน
ฟาร์มของป๋าเป็นฟาร์มออร์แกนิก มีครบทั้งพืชและสัตว์ ไม่ใช้สารเคมีใด ๆ งานที่ทำมีตั้งแต่ปลูกผัก ซึ่งผักในฤดูกาลที่เราไปมีตั้งแต่กะหล่ำปลี พริก มะเขือเทศ ช่วยทำความสะอาดคอกสัตว์อย่างแพะ วัว และไก่ ซึ่งในคอกจะมีอะไรล่ะนอกจากขี้ ขี้ และขี้ T_T
ช่วงที่ไปเป็นช่วงเริ่มต้นฤดูฝนพอดีค่ะ บางวันทำงานแล้วฝนก็ตกมาซะดื้อ ๆ เรากับคนงานก็จะมาพักในบ้านกลางแล้วจิบชานมร้อน ๆ บ้างก็เล่นไพ่กันไป แหม...สบายยยยยยย เอาเข้าจริงงานในฟาร์มไม่ได้มีทุกวัน เพราะบางวันก็หมดงานที่ต้องทำ มีแค่งานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ต้องทำประจำ เช่น ให้อาหารสัตว์
ส่วนงานปลูกผักนี่ก็งานถนัดเลย ลำบากหน่อยก็แค่ก้ม ๆ เงย ๆ แล้วปวดหลังไปบ้าง
นอกจากนี้เวลาเราว่างแบบที่ไม่รู้จะทำอะไรจริง ๆ คนที่นี่ก็จะให้เราไปถอนหญ้า อย่างที่บอกว่าฟาร์มนี้ปราศจากสารเคมี ดังนั้นยาฆ่าแมลงไม่มีให้ใช้ เราถอนหญ้าโดยใช้สองมือนี่แหละดึง ๆ ต้นหญ้าออกมา ที่สำคัญ คือ ต้องถอนให้ถึงรากนะ ! พวกเราไม่มีปัญหาเรื่องถอนไม่ถึงราก แต่มีปัญหาตรงที่ไปถอนผักต้นอื่นไปโดยไม่รู้อย่างเยอะ กว่าจะรู้ว่าเป็นผักก็ผ่านไปหลายวันแล้ว โอ้ววววว...
เสื้อผ้าที่ใส่ทำงาน
ฟาร์มเราไม่มีเครื่องแบบ อยากใส่อะไรก็ใส่เถอะ เอาแค่ว่ามั่นใจว่าพอมันเลอะแล้วจะไม่เสียดายก็พอค่ะ อิอิ ที่เราเอาไปก็มีเสื้อคอกลมที่ผ่านการใส่และซักหลายครั้งจนคอเริ่มเปื่อย กางเกงขาสั้นเท่าเข่า กางเกงขายาวผ้านิ่ม ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นเสื้อผ้ามือสองที่ซื้อสำหรับการเป็นวูฟเฟอร์โดยเฉพาะ หรือไม่ก็เป็นเสื้อผ้าเก่ามาก ๆ ที่พร้อมจะทิ้งได้ทุกเมื่อ
เสื้อเชิ้ตแขนยาวก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะการทำงานในฟาร์มเป็นการทำงานกลางแจ้ง ไปวูฟที่ไหนก็ตามถ้าไม่อยากโดนแดดเผาก็เอาติดไปด้วยนะ และที่สำคัญ คือ หมวก จะหมวกผ้า หมวกแก๊ปก็ตาม เอาไปด้วยไม่เสียหาย
ถ้าไม่ใช่ผู้ชาย คนที่นี่ไม่ใส่กางเกงขาสั้น มองจากข้างหลังคงรู้ว่าสองสาวนี้ไม่ใช่สาวเนปาล 555
เรื่องน่ารู้ในฟาร์มเนปาล
“คุตโตะ” อุปกรณ์คู่ชีพ คล้ายจอบอันเล็ก ๆ ของบ้านเรา
ชื่อเนปาลของไส้เดือนคือ “กอนโดเร่”
พวกเราทั้งสามไม่ได้กลัวไส้เดือน แต่แค่แขยงน่ะ ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าข้องเกี่ยวกันเหอะ แต่...การเป็นวูฟเฟอร์ทำให้เราไม่มีทางเลี่ยง =_= แน่นอนว่าเราเจอหน้าไส้เดือนทุกวัน จนจากที่ไม่ค่อยชอบหน้าก็มาเริ่มคุ้นเคยขึ้นหน่อย แต่ถึงจะคุ้นเคยมากขึ้นไส้เดือนก็ยังตายเพราะเราไปหลายตัว T_T บางครั้งใช้จอบขุดดินก็ไม่ได้ระวัง รู้ตัวกี่ก็ตอนที่สับไส้เดือนจนตัวขาดออกเป็นสองท่อนแล้ว ฮือออออออ อยู่กับไส้เดือนจนหยิบมาเล่นได้แล้ว นุ่มนิ่มและน่ารักกก
วูฟเฟอร์เข้าเมือง
เราทำงานตั้งแต่เวลา 11.00-17.00 น. ดังนั้นหมายความว่าช่วงเช้าเราจะมีเวลาว่างไปไหนก็ได้ใกล้ ๆ ในละแวกนี้ ที่ฟาร์มไม่มีอินเทอร์เน็ตให้ใช้ และถึงซื้อโปรฯ มาก็ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต
*ที่ป๋าตอบอีเมลเรารวดเร็วนั่นเป็นเพราะป๋าอาศัยอยู่ในกาฐมาณฑุ จึงมีสัญญาณอินเทอร์เน็ตเข้าถึง ไม่ต้องเดาให้ยาก เราขาดเน็ตค่ะ และแทบลงแดงเหมือนกัน 555
ช่วงแรกของการเป็นวูฟเฟอร์นั้น เราจึงลงทุนตื่นเช้าและออกไปในตัวเมือง Panauti ซึ่งอยู่ห่างจากฟาร์มไปหลายกิโลเมตร ด้วยเหตุผลเดียว คือ ไปเล่นเน็ต การเดินทางมีสองทาง ไม่นั่งรถบัส ก็เดินเท้า ซึ่งค่านั่งบัสตกคนละ 25 รูปี (หรือ 8 บาทไทย) แน่สิ...เราเลือกที่จะนั่งบัสอยู่แล้ว
ถนนที่นี่มีเลนเดียว (จริง ๆ ไม่ควรเรียกว่าเลน เป็นแค่ทางเล็ก ๆ แคบ ๆ ลัดเลาะไปตามขุนเขา) รถราที่นี่นอกจากรถประจำทางแล้ว ขาประจำอีกเจ้า ก็คือ รถบรรทุกขนาดย่อม ๆ (ย่อม ๆ ในที่นี้คือน้อง ๆ พี่สิบล้อนั่นแหละ)
หลายครั้งที่นั่งริมหน้าต่างแต่ไม่กล้าเปิดเลย เพราะมองลงไปเห็นล้อขับเลียบไปตามขอบหน้าผา บางครั้งพอดีชนิดที่ถ้าพี่คนขับหักขวาอีกนิด ได้ลงไปนอนแอ้งแม้งข้างล่างแน่ ๆ ความสนุกอยู่ที่เวลารถสองคันจะขับสวนกันนี่แหละ จะต้องมีคันใดคันหนึ่งถอยไปหลบตามไหล่เขา ปีนขึ้นไปเลยก็มี แต่ไม่ปรากฏว่าครั้งไหนที่คนขับรถที่นี่จะทะเลาะกัน (ลองนึกภาพว่าถ้าเป็นบ้านเราดูค่ะ 5555) จะมีฝ่ายหนึ่งหลบให้เสมอ บางครั้งก็ต่างคนต่างหลบ ทำให้รถเคลื่อนต่อไปได้ยังจุดหมายที่ต้องการ
วูฟเฟอร์เข้าเมือง (2)
วิธีที่ 2 ของการเข้าเมือง คือ เดินเท้า เราไม่คิดจะเดินเท้าหรอก จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งที่เรามาไม่ทันรถบัสจึงเป็นวันที่เราเริ่มต้นเดินเท้าเข้าเมือง...
ถ้านั่งรถบัสใช้เวลาเข้าเมืองครึ่งชั่วโมง ทายสิว่าเดินเท้าเข้าเมืองใช้เวลานานเท่าไร หึ ๆๆ
เส้นทางจากฟาร์มสู่เมือง Panauti นั้นคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา เราใช้เวลาเดินทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง 40 นาที ส่วนใหญ่เป็นทางลูกรัง มีหลุม มีบ่อให้กระโดดหลบ มีทางเหวไว้ให้ตื่นเต้นบ้าง
เดินเท้าบ้างก็ดี เราใช้เวลาละเลียดและซึมซับบรรยากาศชนบทเนปาลได้มากขึ้น
ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนด้วยเช่นกัน
แต่ถ้าเดินบ่อย ๆ ก็ไม่เอาเหมือนกันนะ 555
วูฟเฟอร์เข้าเมือง (3)
ถึงเมืองได้สักทีสิน่า
มา...เดี๋ยวเราจะพาชมเมือง Panauti กัน
ที่นี่เป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ร้านรวง (และขยะ) มากมาย
ส่วนร้านเน็ตที่เราไปคนที่นี่เรียก “ไซเบอร์” ไซเบอร์เป็นห้องสี่เหลี่ยมบนตึกที่ชั้นล่างเป็นร้านโชห่วยขายของ เราใช้คอมพีซีเล่นเน็ต ซึ่งความเร็วเน็ตนั้นบอกเลยว่ายิ่งกว่าเต่าคลาน หากใครหงุดหงิดยามที่อินเทอร์เน็ตแปรจาก 3G มาเป็น Edge รับรองว่ามาเจอเน็ตเนปาลแล้วได้ร้องไห้แน่ ๆ 5555
อินเตอร์เน็ตที่ไซเบอร์คิดชั่วโมงละ 25 รูปี (8 บาท) แต่บางวันก็ถูกกว่าราคาจริง บางวันก็คิดเกินราคาจริงซะงั้น แล้วแต่อารมณ์เจ้าของร้าน
ตอนนั้นที่อยากเล่นเน็ตเพราะเพิ่งทำเพจ เห่อ อยากอัพทุกวัน 555
วันหยุดของวูฟเฟอร์
ที่เนปาล เรามีวันหยุดกัน 1 วันต่อสัปดาห์ คือ วันเสาร์ พวกเราอยู่ที่ฟาร์มป๋า 2 สัปดาห์ นั่นแปลว่าเรามีวันหยุดอยู่ 2 วัน เราใช้วันหยุดให้เกิดประโยชน์โดยการไปเดินเล่นบนหมู่บ้านที่สูงจากระดับที่เราอยู่กว่ามาก ชื่อว่าหมู่บ้าน Jalan คนเนปาลว่าบนนั้นสวย ไหนลองไปดูให้เห็นด้วยตาน่าจะดีกว่า หมู่บ้านนี้อยู่ในที่ที่สูงมาก เราขึ้นมาจากที่ราบสู่ที่สูงขนาดที่เราอยู่ในที่ที่เห็นเขาเป็นลูก ๆ เต็มสายตา
ความสวยที่ว่าแลกมาด้วยความลำบาก (ทั้งเดินลำบากและหายใจลำบาก) เส้นทางยังขรุขระเช่นเคย และเราต้องเดินขึ้นไปสูงเรื่อย ๆ จนเริ่มหายใจลำบาก พวกเราเองไม่ย่อท้อ เป็นสายถึกอยู่แล้วก็ให้กำลังใจกันไป 555 ระหว่างทางขึ้น วิวข้างทางเป็นบ้านหลังน้อย ๆ บนภูเขา มีหมอกลอยมาประกอบฉากหลัง น่ารักมาก ๆ
นี่ไม่ใช่เนปาล นี่มันสวิตเซอร์แลนด์ชัด ๆ
เราพบว่ามาถึงหมู่บ้าน Jalan แล้วก็ตอนที่เห็นภาพนี้นี่แหละ...
หมู่บ้าน Jalan
หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่กลางหุบเขา สวยอย่าบอกใคร
นาข้าวขั้นบันได ไล่ระดับเป็นเชิงชั้น ลดหลั่นไปตามภูมิประเทศ
พวกเราคิดเหมือนกันว่าวิวที่สวยขนาดนี้เป็นเหมือนของแถมจากการเป็นวูฟเฟอร์ที่นี่เลย ยิ่งตอนที่ขึ้นไปบนนั้น จำความรู้สึกได้แม่นยำว่าลมพัดโชยมาเบา ๆ อากาศเย็น ๆ เหมือนอยู่ยุโรปเลย
คนท้องถิ่นที่เป็นมิตรที่สุดในโลก
ก่อนเดินทางไปยังประเทศเนปาล เรามีความวิตกอย่างหนึ่ง คือ คนเนปาลเป็นยังไง จะใจดีไหม อาจเพราะเราไม่เคยรู้จักคนเนปาลจริง ๆ ก็เป็นได้เลยทำให้กลัวไปก่อน แต่เมื่อได้มาอาศัยกับคนท้องถิ่นแบบไม่ใช่ฉบับนักท่องเที่ยวแล้ว เราได้คำตอบมาว่า คนเนปาลน่ารัก+ใจดี+ใจเย็นเป็นที่สุดดดดดดด บางครั้งที่เดินเตร็ดเตร่อยู่นอกฟาร์ม สำรวจชีวิตคนท้องถิ่นไป พวกเขาส่งยิ้มมาให้แม้เราจะเป็นคนแปลกหน้า
ขนาดคุณลุงคนนี้เจอกล้องเราแล้วยิ้มยิงฟันพร้อมแอ็คท่าใส่กล้องด้วย
ชุมชนโดยรอบ
ฟาร์มของป๋าเป็นฟาร์มปลีกวิเวก จากบริเวณที่รอรถบัส เราต้องฝ่าลำธารเล็ก ๆ เข้ามาอีก แต่ถึงฟาร์มป๋าจะปลีกวิเวกเพียงใด พวกเราก็ซนและมักจะออกมาเดินเล่นไม่ก่อนเลิกงานก็หลังเลิกงานเสมอ
ถ้าเดินออกมาประมาณ 30-40 นาที จะพบโรงเรียนประจำชุมชน ถ้าออกมาเดินเล่นช่วงเย็นจะเห็นบรรยากาศของเด็กตัวเล็ก ๆ เล่นบอลกันที่สนามหญ้าที่เขียวขจี มีฉากหลังเป็นอาคารเรียนและภูเขา
หน้าตาของอาคารบ้านเรือนในชุมชนใกล้เคียง
ภาพที่คนชรานั่งเงียบ ๆ หน้าบ้านเป็นภาพที่พบเห็นบ่อยในเนปาล
จิปาถะ
นอกจากทำงานฟาร์มแล้ว เราต้องดูแลงานบ้านของเราเองด้วย ซักผ้า ล้างจาน ทำความสะอาดบ้านจึงถือเป็นหน้าที่ของวูฟเฟอร์ที่ต้องรับผิดชอบตัวเอง สบายยยยยยย ไม่มีปัญหา
ที่ฟาร์มเราอยู่ติดป่าเลย ซึ่งดีมาก ๆ พวกเราชอบเข้าป่า ในนั้นร่มรื่น ที่สำคัญมีผลไม้ป่าให้เก็บกินด้วย 555
มีวันหนึ่งขึ้นเขาไปเล่นที่บ้านนาราอินี เพื่อนสาวชาวเนปาลก็คะยั้นคะยอแกมบังคับให้พวกเราใส่ชุดส่าหรีใหญ่ เอาจริงก็เขินเบา ๆ แต่ทนลูกตื้อไม่ไหวเลยออกมาเป็นเช่นนี้แล พวกเราสามคนกับแม่และน้องชายของนาราอินี (คนถ่ายภาพนี้คือนาราอินีเอง)
ชีวิตความเป็นอยู่ของวูฟเฟอร์
ชีวิตสบายและมีความสุขมากกกกกกกกก...สโลว์ไลฟ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไรต้องมาลองที่เนปาลนะพูดจริง ๆ พวกเรามีความสุขที่ได้อยู่ในพื้นที่ที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียว สบายสายตาชะมัด มีนมสดดื่มทุกเช้า มีผักสดปลอดสารเคมีกินทุกวัน มีลูกแพะและลูกหมาให้เล่นด้วย เป็นชีวิตที่ลงตัวและน่าพอใจ
ถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่มีก็ไม่เป็นไร หลัง ๆ ก็ทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่สุดในการดำรงชีวิตสักหน่อย
“เรื่องที่ไม่ได้อยู่ในแผนการ”
เรื่องที่ไม่ได้อยู่ในแผนการ ก็คือ เรื่องที่ไม่ได้อยู่ในแผนการ แปลตามตัวเลย ไม่อยากเรียกว่าปัญหา เพียงแต่เป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในความคิดของพวกเรามาก่อน
1) น้ำไม่ไหล
หลังจากที่มาถึงไม่กี่วัน น้ำที่บ้านพักข้างบนดันไม่ไหล การขนอุปกรณ์อาบน้ำ หอบเสื้อผ้าลงไปซัก กระทั่งต้องขนจาน ชาม แก้วน้ำ กระทะ หม้อไปล้างทำความสะอาดด้านล่าง จึงกลายเป็นกิจกรรมที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กิจกรรมวิ่งลงเขาด้วยความเร็วสูงเพื่อขี้ที่ห้องน้ำข้างล่างก็เคยมาแล้วค่ะ 555 หรือการย่องไปฉี่ในพงหญ้าตอนกลางคืนพวกเราก็ลอง ไม่พลาด ๆ อยู่ฟาร์มมาจนการเดินขึ้นลงเขากลายเป็นเรื่องปกติมากสำหรับพวกเรา ถ้าจำไม่ผิดมากสุดถึงวันละ 5 ครั้ง
2) ไฟฟ้าไม่มี
น้ำไม่ไหลผ่านไป เริ่มทำใจได้ ปรากฏว่าไฟฟ้าที่นี่ก็ไม่เสถียร ไฟดับสลับวันกันไปไม่รู้จะเอาใจอย่างไร จากเดิมเคยชาร์จโทรศัพท์ ชาร์จกล้อง หรือดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือใต้แสงไฟอย่างไร หลังจากไฟดับ เทียนไขกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเราแทน
3) ปราศจากเนื้อสัตว์
เป็นปกติของคนไทยที่แทบทุกมื้ออาหารจะมีเนื้อสัตว์ ซึ่งต่างจากคนเนปาลที่แทบไม่กินเนื้อสัตว์เลย ดังนั้นการอยู่เนปาลอาทิตย์แรกทรมานพอสมควร ที่พวกเราทำตัวเป็นมิตรกับสัตว์ ดูจิตใจดี ใครจะรู้ว่าที่เอาแพะมาอุ้มเล่นนี่ที่จริงอยากกินเนื้อออออออ 555 (หลอก ๆๆ) บ่อยครั้งที่เราสามคนเรียกสรรพสัตว์ในฟาร์มว่า "มิตโตะ" (อร่อย) แทนที่จะเป็น "รามโระ" (น่ารัก) แกล้งคนในฟาร์มให้ตกใจกันเล่นในความเกรียนของสาวไทย
เราได้กินเนื้อหมูครั้งแรกหลังผ่านไป 10 วัน จำได้ว่ากินกันไปคนละ 3 จาน =_= เพราะก่อนหน้านี้เรากินแต่เมนูผักและสารผัดเมนูไข่ และใช่เนื้อควายด้วย อ่านไม่ผิดหรอกเนื้อควายจริง ๆ คนเนปาลกินเนื้อควายเป็นเรื่องปกติเลยล่ะ วันนั้นป๋ามาเยี่ยมพร้อมเอาเนื้อควายมาฝากด้วยความปรารถนาดีที่อยากให้เราลองกินของเด็ดประเทศเขาดู นั่นจึงเป็นที่มาให้เราได้กินเนื้อควายเป็นครั้งแรกค่ะ ขอบคุณป๋ามา ณ ที่นี้
4) ไม่มีห้องน้ำที่สะอาด
เนปาลทำให้เราได้พบกับห้องน้ำที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยพบมา ! ไม่มีภาพมายืนยัน เพราะไม่มีใครคิดจะถ่ายเก็บไว้ (ถ่ายไว้แค่นี้จริง ๆ แต่ทุกอย่างยังชัดเจนในความทรงจำ)
สภาพเป็นส้วมนั่งยองที่ห่างไกลความสะอาด คราบเขรอะมีให้เห็น ยิ่งห้องอาบน้ำและห้องส้วมรวมในห้องเดียวกันแล้วยิ่งขยาดเวลาอาบน้ำ น้ำตาแทบไหลทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ T_T
เราสามคนไม่เคยรู้มาก่อนว่าพอประสบกับสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นอย่างจริง ๆ จัง ๆ จะลำบากพอสมควรนะ แต่เราก็ไม่รู้ด้วยเช่นกันว่าพอไม่มีสิ่งดังกล่าวแล้ว เราก็ยังอยู่ได้ พวกเราเคยชินกับความสบายเกิน พอวันที่เจอกับทางขรุขระ ไม่เหมือนอย่างเคยก็ย่อมไม่ถูกใจอยู่แล้ว ตอนแรกบ่นอุบเถอะ 555 พอกลับมาอ่านไดอารี่ที่เคยเขียนไว้แล้วตัวเองโตขึ้นเยอะจากวันนั้น เอามาแบ่งให้อ่านกัน
กลายเป็นว่าเรามองให้เป็นเรื่องสนุกได้เมื่อปรับตัว ปรับมุมมองทัศนคติ และเรียนรู้ อะไรที่สบายเกินน่ะไม่สนุกหรอกนะ จริง ๆ นะ
15 วันผ่านไป
ครบกำหนดที่เราอยู่ฟาร์มป๋าแล้วเป็นระยะเวลา 15 วัน ด้วยความที่เราขนอุปกรณ์ศิลปะมาเนปาลด้วย (ก่อนเดินทางมองเห็นภาพตัวเองวาดรูปท่ามกลางธรรมชาติสวย ๆ เลยตัดสินใจขนไปด้วย 555) เรามีสีน้ำ มีพู่กัน มีกระดาษ มีสีเมจิก แล้วเราก็เนรมิตภาพวาดของคนที่นี่เพื่อให้พวกเขาเก็บเป็นที่ระลึกจากพวกเรา
ของป๋าพิเศษหน่อยตรงที่มีกรอบรูปด้วย (แน่นอนว่าขนมาจากไทย ซื้อที่ไดโซะราคา 60 บาทเอง) พวกเราตั้งใจและคิดล่วงหน้ามาแล้วว่าจะวาดรูปให้โฮสต์ทั้งป๋าและโฮสต์คนถัดไปเป็นของขวัญ อาจไม่เหมือนเท่าไร แต่พอเห็นคนได้รับมีอาการเซอร์ไพรส์ พวกเราก็ดีใจนะ อิอิ
บันทึกภาพก่อนจากกัน...ขอบคุณทุกคนสำหรับทุกอย่าง ดีใจที่ได้รู้จักกันนะคะ
เก็บตกฟาร์มป๋า
ฟาร์มป๋า
ที่ตั้ง : Panauti, Krave District, Nepal
จำนวนวันทำงาน : 6 วัน/สัปดาห์
วันหยุด : 1 วัน วันเสาร์
ลักษณะฟาร์ม : ฟาร์มออร์แกนิก มีผักตามฤดูกาล มีแพะ วัว เป็ด ไก่ หมา แมว
งานที่ทำ : ปลูกผัก เตรียมหน้าดิน ดำนา ถอนหญ้า ให้อาหารสัตว์ ทำความสะอาดคอกสัตว์
ค่าใช้จ่าย : 200 รูปี/วัน/คน (ประมาณ 70 บาท)
อาหาร : 3 มื้อ เก็บผักกินได้ มีนมสด ไข่ ข้าวสาร เครื่องปรุงให้
ที่พัก : ได้บ้านหนึ่งหลังอยู่บนภูเขาลูกเล็ก ๆ เดินขึ้นลงเขาทุกวันแต่ได้เห็นวิวสวย ๆ
เพิ่มเติม: น้ำไม่ไหล ไฟฟ้าไม่มีใช้ตอนกลางคืน สัญญาณอินเทอร์เน็ตเข้าไม่ถึง แต่สามารถเดินทางเข้าไปเล่นเน็ตในตัวเมืองได้ มีวิวหมู่บ้าน Jalan ที่สวยมาก คนในฟาร์มพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ มีคนพูดได้แค่คนเดียว ป๋าซึ่งเป็นโฮสต์ใจดีนะแต่ป๋าอยู่ที่กาฐมาณฑุ สามสี่วันถึงจะมาเยี่ยมพวกเราที งานค่อนข้างสบาย แต่ตอนอยู่ฟาร์มถ้าไม่มีอะไรทำก็จะเบื่อนิดหน่อย
จบลงแล้วฟาร์มแรก ! 30 วัน ของการเป็นวูฟเฟอร์เราแบ่งไปอย่างละครึ่ง สำหรับการผจญภัยและอาศัยอยู่ในฟาร์ม 2 แห่ง ต้องขอโทษด้วยที่ทยอยอัพช้าไปหน่อยทำให้ไม่ปะติดปะต่อกัน หวังว่าจะอ่านไม่ยากกันนะ อุอิ ฟาร์มที่สองกำลังตามมาในไม่ช้า แต่ว่าเราเองกำลังจะเดินทางขึ้นเขาอีกไม่กี่ชั่วโมง ไม่น่าทันแหะ 555กลับมาก็อีกสามสี่วันเลย ถ้ายังรออยู่ก็จะมาเล่าต่อในนี้หรืออาจจะเปิดกระทู้ตอนที่ 2 นะฮ้า
เรากับเพื่อนตั้งใจมาก ๆ เลย พยายามระลึกเรื่องราวและเรียบเรียงให้ละเอียดที่สุด อยากให้เป็นสักอย่างที่ทำให้คนไทยสนใจไปวูฟที่เนปาลมากขึ้น ที่นั่นสวยงามและน่าอยู่มากจริง ๆ แล้วเราเชื่อว่าใครก็ตามที่ไปแล้วจะรักเนปาลเหมือนที่พวกเรารัก ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงบรรทัดนี้ค่ะ ขอตัวไปขึ้นเขาก่อน แล้วจะกลับมา
^____^