เที่ยวปีนัง มาเลเซีย
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอมขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Canvass Twister สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และ เฟซบุ๊ก Canvass twister
ดูเหมือนว่าช่วงนี้ชื่อของ "ปีนัง" (Penang) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของชายฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือประเทศมาเลเซีย จะติดอันดับต้น ๆ ที่คนไทยนิยมเดินทางไปสัมผัสกับเมืองเก่าที่มีมนตร์เสน่ห์น่าหลงใหล อาจเพราะมีบนเกาะแห่งนี้มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และเต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่หลากหลาย อีกทั้งการเดินทางจากประเทศไทยก็สะดวกสบาย จึงกลายเป็นอีกเมืองหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจจากเหล่านักเดินทางที่ชื่นชอบการออกไปท่องโลกกว้าง (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tourism.gov.my/th-th/th) เฉกเช่นเดียวกับ คุณ Canvass Twister สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้แบ็คแพ็กไปเที่ยวปีนังคนเดียว 3 วัน 2 คืน พร้อม ๆ กับนำประสบการณ์ที่ได้พบเจอระหว่างทางมาแชร์ให้เราได้ชมกันค่ะ กับรีวิว : แบ็คแพ็กมาเดินเล่นที่นี่ - เมืองปีนัง -
+++++++++++++++++++++
หลังจากที่ในหัวเต็มไปด้วยความเครียด เรียน เรียน เรียน เลยมีความคิดว่าไปไหนสักที่ที่ไม่เคยไป ลองไปในเมืองที่ไม่รู้ว่าเขาใช้ชีวิตยังไง กินอะไร ทำอะไร พูดสื่อสารกันด้วยภาษาอะไร เลยลองหาข้อมูลดู ถามคนโน้นคนนี้เลยได้คำตอบมาว่า "ที่นี่ดิวะ ปีนัง"เราเริ่มต้นด้วยการหาที่พัก งบตอนแรกไม่เกินคืนละ 700 บาท จากการถามข้อมูลมาในราคาแค่นั้นก็เป็น ห้องน้ำรวมทั้งหมด ซึ่งตอนแรกผมก็คิดว่าห้องน้ำรวมมันไม่ค่อยจะโอเคเท่าไร เพราะเราไม่ได้รู้ว่าประเทศเขาเป็นยังไง เลยได้จองที่โรงแรมผ่าน booking ไปด้วยความที่ไม่เคยจองผมเลยเข้าใจว่าบัตร ATM ที่เขียนว่าวีซ่าจะสามารถจองโรงแรมได้ และตอนนี้ก็ยังงง ๆ กับบัตรอันนี้ว่าจองได้เปล่าวะ ... เลยใช้บัตรนี้จองไปที่ Tune Hotel ตอนแรกก็ดูว่าทางนั้นโอเค เลยไม่ได้เข้าไปเช็ก จนกระทั่งก่อนวันจะไปหนึ่งวัน ย้ำหนึ่งวัน ไอ้เราบังเอิญไปเปิดเมลดู มีข้อความที่ส่งมาบอกว่าบัตรที่ใช้มีปัญหา ถ้าไม่ได้ยืนยันภายในหกชั่วโมงจะยกเลิก เดี๋ยว ๆ นั่นมันส่งมาอาทิตย์ก่อนแล้ววววววววววววว
ซวยละ...เอาเว้ยหาใหม่ก็ได้วะ แต่ก็ไม่มีบัตรที่จะใช้จองอยู่ดี เลยหาข้อมูลใหม่ว่าที่ไหนพอจะโอเคบ้าง แต่ส่วนใหญ่ที่พักก่อนปีใหม่ ยิ่งเป็นหลังคริสต์มาสเต็ม ! เหลืออีกวันเดียวแล้วนะ ยิ่งนี่เป็นการเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกแบบที่ไม่ใช่ไปกับทัวร์นะ นี่ตื่นเต้นมาก ๆ ผมก็คิดนะว่าโรงแรมที่ไหนจะรับจอง ไม่มีทั้งบัตรใด ๆ มาเป็นสิ่งยืนยัน แต่แล้วก็มาเจอที่นี่ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้ได้เข้าพัก ผมเลยทักเฟซบุ๊ก ^^
ผลปรากฏว่านางฟ้ามาโปรดผู้จรจัดอย่างเราชัด ๆๆๆ 555555 เสร็จเรื่องที่พักอีกอย่างคือทางไป กี่สิบทางเลือกผุดขึ้นมาบนหัว รถมอเตอร์ไซค์ รถเมล์ รถไฟ เครื่องบิน กระสวยอวกาศ เอ๊ะ ! ยังไงดี จากการสืบในห้องนี้เลยได้ความว่า ผมเดินทางจากหาดใหญ่ ซึ่งคิดดูแล้วเดินทางโดยรถตู้นั้นสะดวกที่สุด ประหยัดที่สุด ส่งถึงที่ รับถึงที่ รวดเดียวจบ เลยโทรไปจองรถที่ KST Travel ด้วยค่ารถไปกลับราคา 750 บาท โอเคตกลง เลยจองไว้รอบ 9 โมงครึ่งของวันที่ 26 ธันวาคม 2557 โอเค...ลุยกันเลย 09.00 น. ผมมารอรถที่บริษัททัวร์ ซึ่งการเขียนใบทั้งขาเข้าและออกนั้น ทางบริษัททัวร์เป็นคนจัดการเขียนให้ทั้งหมด เราก็แค่เซ็นชื่อให้ตรงช่องเป็นอันพอ รถออกตรงเวลา เก้าโมงครึ่งล้อก็หมุนนนนนนนน ฟิ้วววววววววววว
*ทริปนี้แบก Canon 60D + Lens 11-16 Tokina, 50 mm, แฟลช (ซึ่งไม่รู้พกมาทำไม ใช้ก็ไม่เป็น 555)
ออกรถมาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมือง ฝั่งด่านนอกของอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา
จากนั้นก็นั่งรถยาว ๆ มาถึงปีนัง มาถึงที่นี่สิ่งแรกที่ประทับใจคือฝนตก อะไรวะเฮ้ย อุตส่าห์นั่งรถมาสามชั่วโมงกว่า กะจะมาชมบรรยากาศตอนเย็น...ฝนตก !
เราเลยเดินไปหาที่พักกัน ตอนแรกก็หลงนะ ตอนหลังก็หลง เราเลยถามคนแถวนั้นว่าอยู่ไหน แต่ด้วยที่ภาษาอังกฤษผมก็ไม่ได้เป๊ะเว่อร์ เฟอบี้สักเท่าไร เลยพูดกันจนปวดแขน 555555 สุดท้ายก็เจอ House of Jouney เป็นที่พักของเราครับ
ซึ่งที่จองไว้เป็นห้องเดี่ยวครับ ตอนแรกก็ดีใจนะเป็นห้องเดี่ยวคงมีห้องน้ำในตัว สบาย ๆ แต่แล้วความฝันก็สลาย ที่นี่เป็นห้องน้ำรวมเช่นกัน ซึ่งราคาของห้องเดี่ยวจะอยู่ที่ 108 RM+ค่ามัดจำกุญแจอีก 10 RM แปลงเป็นเงินบาทไทยก็ราว ๆ 1,180 บาท ซึ่ง 10 RM นั้นจะได้คืนตอนคืนห้องนะครับ
พอวางของที่ห้องเสร็จความรู้สึกแรก คือ ยังไม่อยากออกไปไหนครับเพราะฝนตก แต่ก็มาถึงที่นี่แล้วจะให้มานั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่พักได้ยังไงกัน เลยเดินออกมาแถว ๆ ที่พัก หาอะไรใส่ท้องเพิ่มพลังก่อนเดินเที่ยวแถว ๆ นี้ก่อน จัดมาเลยครับ เห็นเข้าตาหนึ่งร้านครับ คนนั่งเต็มร้าน พุ่งเลยครับ เข้ามานั่งปั๊บสิ่งแรกที่สตั้นคือสั่งยังไง จังหวะหิวสกิลมือก็มา ชี้โน่นนี่จนได้มา 3 อย่างครับ
หลังจากที่ชิมอย่างกับเชฟมาทำรายการอาหารที่นี่ ก็ได้ความว่าข้าวผัดซีอิ๊วด้านบนรสชาติเหมือนข้าวผัดธรรมดา ๆ แถว ๆ บ้านเรา แต่นั่นคือเมนูในมื้อนี้ที่คิดว่ากินได้ที่สุดแล้ว ส่วนก๋วยเตี๋ยวอีกสองชามได้แต่ยกนิ้วโป้งแล้วบอกว่า "จืด ยิ้ม ๆ" หลังจากเติมพลังกันเสร็จเดินสิครับเดิน
เดินวน ๆ แถว ๆ ที่พักทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีแผนที่ ก็วกกลับมาเจอทางเดินกลับที่พักจนได้ แต่ก็เตะตากับร้านข้างทางเจ้าหนึ่ง ที่คนซื้อถือจานพลาสติกพร้อมกับยืนกินอยู่หน้าร้าน เป็นการตลาดที่เจาะตลาดได้สุดยอดดดดดดด...มาลองกัน
อันนี้เขาเรียกว่า Lok Lok ครับ วิธีการซื้อและการกินคือการเอาจานที่ทางร้านห่อถุงไว้เรียบร้อยนั้น มายืนเลือกของกินซึ่งเสียบไม้ไว้ทั้งหมด แต่ละไม้ก็จะมีสีระบายที่ปลายไม้ ซึ่งสีก็จะมีราคาถูกแพงแตกต่างกันออกไป
ข้างหน้าร้านก็จะมีหม้อลวกให้พอเลือกเสร็จก็มาโยนลงในหม้อนี่ให้สุก หรือพอร้อน ๆ แล้วแต่รสนิยม แล้วก็จิ้มซึ่งน้ำจิ้มจะมีสามรส คือ อย่างแรกสไปซี่ครับ รสชาติเป็นเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ติดเผ็ดนิด ๆ อีกอันจะเป็นน้ำจิ้มสีดำ ๆ จะคล้าย ๆ บาบีคิวครับ แต่กลิ่นมันแปลก ๆ แต่อันสุดท้ายคือสุดยอดของหมู่น้ำจิ้มครับ รสชาติและหน้าตาคล้าย ๆ น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะบ้านเราครับ ร้านนี้ถือว่าผ่าน ^___^
ต่อจากการกินที่ระบมคอ เกิดอาการอาหารบางส่วนติดคอ อยากหาน้ำกระแทกคอ เลยเดินมาเจอร้านนี้ครับ เป็นการคั้นผลไม้สด ซึ่งไม่มีการล้างใด ๆ เกิดขึ้นในร้านนี้ เศษผลไม้ทุกอย่างรวมอยู่ในเครื่องคั้นเครื่องเดียว ผมสั่งน้ำมะเฟืองครับ แต่อร่อยนะครับ มันเป็นน้ำผลไม้ที่ real สุด ๆ ไปเลยทีเดียว
และต่อมาก็คิดว่าควรจะกลับได้แล้วนะ เลยเดินกลับมาทางที่พักของเรา แต่แล้วความที่กลัวจะหิว เลยซื้อขนมมาตุนไว้ ร้านนี้คนมุงเยอะมาก เลยเดินไปหลังร้านคุยกับป้าแม่ค้า ซึ่งใจดีมากกกกกกกกกกกกกก ตอนแรกอยากกินเผือกนะ แต่ป้าบอกนี่แหละเผือก หยิบมาสองชิ้น เสร็จภารกิจกลับที่พักมาลองชิมของป้า แต่เดี๋ยวป้าไหนเผือกผมครับ มีแต่ถั่วแดงกับหมูแดง
สำหรับคืนนี้ลากันไปด้วยการวางแผนสำหรับวันต่อมานะครับ
พูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/canvasstwister
Day 2 : Penang Malaysia
ด้วยการภาวนาครั้งแล้วครั้งเล่าตั้งแต่เมื่อวานว่าให้วันนี้ฝนหยุดตก และจัดฟ้าแจ่ม ๆ ให้ข้าพเจ้าได้ถ่ายเมืองปีนังให้ได้อย่างฉ่ำใจ พอเช้าเป็นผลครับ ฝนหยุดฟ้าเปิดเลยครับ ลุยปีนังวันที่ 2
เราเริ่มต้นวันที่สองด้วยการตื่นสาย เดี๋ยว ๆ มันดีตรงไหนวะ คนอื่นมาเที่ยวเขาตื่นเช้า ๆ นี่เอ็งตื่นสาย ไม่เป็นไรครับรีบอาบน้ำแต่งตัวแบกกล้องเสร็จก็เอากระเป๋ามาวางไว้ที่หน้า Lobby เพื่อเช็กเอาท์เลย ถามไว้ก่อนว่าที่พักแบบ Dorm ที่นี่ยังเหลืออีกไหม สรุปว่ายังมีอีก 4 ที่ครับ ยังพอเหลือแต่ยังไม่ตัดสินใจ ตอนแรกก็กะจะออกมาหาอะไรกินแถวที่พักเป็นอาหารเช้าครับ แต่ทุกคนที่พักที่นี่นั่งอยู่ที่โต๊ะพร้อมกับขนมปังทาแยมไส้ต่าง ๆ สองแผ่น กับกาแฟหนึ่งถ้วยกันทุกคน เลยถามพนักงานว่าฟรีไหม คำตอบคือฟรี กินสิครับรออะไรอยู่ แฮะ ๆๆๆ
อันนี้เป็นร้านคุณลุงที่ขายขนมถังแตกขนาดมินิครับ
โอเคครับเดินต่อด้วยแผนที่ที่เดินยากมาก ด้วยปลายทางที่เราจะไปคือ Jetty คือหมู่บ้านชาวประมง พอซื้อขนมถังแตกลุงเสร็จเราก็เดินต่อครับ เดิน เดิน เดิน เดิน แล้วก็เดินนนนนนนนนน แต่ระหว่างทางเดินก็มีมุมน่ารัก ๆ ของปีนังมาฝากครับ
และแล้วตอนนี้ก็ถึงเวลาครับ หลงครับ จากการสอบถามคนแถว ๆ นั้นเราได้หลงเข้ามาในย่านของ Little India ครับ ไม่เป็นไรถือว่าเป็นการเที่ยวไปในตัว
ด้วยความที่เดินมาด้วยระยะที่ไกลพอสมควร หิวครับ หิวน้ำ มีร้านคล้าย ๆ ร้านน้ำชาทั่วไปบ้านเรา เลยแวะครับ กะจะหาโอวัลตินกินเย็น ๆ สักแก้วให้ฉ่ำคอ ไปถึงร้านสั่งโอวัลตินเขาก็ทำหน้าแบบงง ๆ โอวัลตินอะไร จากที่ถามมาทั้งทริปคือที่นี่ไม่มีใครรู้จักโอวัลตินครับ เขามีแค่ไมโล เลยจัดไมโลเย็น ๆ มาแก้วหนึ่งครับ รสชาติเหมือนบ้านเราครับ แต่มันชงหวานแบบยิ้ม ๆ หวานมาก หวานกว่าที่แจกในโรงเรียนตอนเด็กอีกมั้งครับ หลังจากจิบไปทีละนิด ๆ เฮียแกก็เดินมาถามเราว่าเอาข้าวต้มไหม ไอ้เราก็ชะโงกหัวไปดูครับ คนที่มานั่งทุกคนกินกัน แต่ดูสภาพแล้วไม่ดีกว่าครับ กลัวจะจู๊ด ๆ 555555555
หลังจากที่พยายามขืนใจจนเหลือเกือบหมด เราก็จ่ายตังค์ครับแล้วก็เดินต่อ โดยใช้โอกาสนี้ถามทางเฮียเด็กเสิร์ฟมาด้วยว่า Jetty นี่ไปทางนั้น ได้ลายแทงมาแล้วก็ไปต่อครับ Let\'s gooooooooo !
ร้านด้านบนนี่เป็นร้านขายของพวกทอดนะครับ แต่ดูจากสีแล้วไม่กล้ากินสักอัน เลยขอถ่ายรูปเฮียมาหนึ่งรูป โดยก่อนถ่ายพี่แกก็ขอเช็ดหน้ากลัวว่ารูปจะออกมาหน้ามัน 555555 ป่ะเดินต่อ
แล้วเราก็หลงอีกครับ แต่โชคเข้าข้างเราครับ เราเจอร้านขายขนมร้านหนึ่งซึ่งมีป้าคนหนึ่งยืนที่ประตูกระจก เราเลยเดินเข้าไปถามครับ ตอนแรกก็อยากไป Jetty ครับแต่นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้ล่ารูปฝาผนังกันเลย เลยถามป้าแกครับว่าอยู่ตรงไหน เหมือนเราจะมาถามถูกคนครับ ป้าแกใจดีมาก มีแผนที่ส่วนตัวที่ป้าแกทำเองด้วย เอามาให้เราดูว่าทางไหนไปยังไง ง่ายมากเลยครับ
ตอนแรกก็ขอถ่ายรูปป้าแกนะครับ แต่แกคงเขินไม่ให้ถ่าย และที่สำคัญคือผมลืมถ่ายหน้าร้านมาให้ดูด้วยครับ น่าเสียดาย...น่าเสียดาย
เดินข้ามถนนมาไม่นานเข้าซอยโน่นนี่จนถึงครับ และแล้วเราก็เจอรูปแรก พี่บรูซ ลี
ซึ่งพอเดินออกมาบนซอยที่อยู่ใกล้ ๆ กันเราก็เจออีกหนึ่งรูปครับ ซึ่งมีคนต่อแถวรอถ่ายรูปนี้เยอะมาก เราเลยได้มาแค่แจม ๆ คนอื่นถ่ายมาครับ แฮ่ ๆ
หลังจากนั้นผมก็เจอกับร้านขายผมไม้ร้านหนึ่งซึ่งผมเองเป็นคนชอบกินผลไม้อยู่แล้ว เจอเลยอยากจะจัดสักอย่างสองอย่างให้หายร้อนสักหน่อยครับ แต่ผลไม้ที่นี่จะเสียบไม้นะครับ เหมือนจะให้เราสบายในการกินมากขึ้น หายร้อนขึ้นเยอะ
เดินต่อครับ ล่าขุมสมบัติของเราต่อ ฟิ้วววววววววววววววววววววววววววววววววววว
มาถึงอีกรูปแล้วครับ เป็นรูปที่ผมเห็นบนเสื้อที่สกรีนขายตามสองข้างทางที่ผมเดินผ่านมากที่สุด คือภาพเด็กขี่อยู่บนจักรยานสองคนครับ ภาพนี้ก็เช่นกันครับ ผู้คนนับล้านต่างทยอยกันเข้ามาเข้าคิวถ่ายรูป T^T
เดินต่อครับ แต่เดินต่อมาอีกไม่นานก็เจออีกอันครับ เป็นรูปแมวนัลลา
และถ้าเดินออกมาข้ามถนนมาจะเจอครับ ถึงแล้วครับที่นี่...หมู่บ้านชาวประมง Jetty
โดยความคิดส่วนตัวแล้วที่นี่ไม่ได้มีอะไรมากมายครับ หรือผมมาผิดที่ก็ไม่รู้ ฮ่า ๆ
เดินวน ๆ ภายในหมู่บ้านสักพักก็ออกจากหมู่บ้านครับ โดยขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์ที่ใกล้ ๆ Jetty โชคดีครับมีรถบัสฟรีพอดี วิ่งเลยครับวิ่ง ของฟรีนี่ต้องวิ่ง 55555
นั่งมาสักพักใหญ่ ๆ เราก็ลงที่ป้าย 8 ครับ เพื่อตามหาลอดช่องมาเลเซีย ที่เป็นตำนานกันในโลกออนไลน์เลื่องชื่อว่ามันอร่อย...อร่อยมากกกกกกกกก
ไม่ถึงสิบนาทีก็ถึงคิวเราสั่งเรา ด้วยไอ้เราลืมว่าเรามาเที่ยวต่างแดน เลยเอ่ยปากพร้อมชี้ไปบนรูปว่า เอาอันนี้ถ้วยหนึ่งครับ เจ้าของร้านตอบผมมาว่าเอาถ้วยเดียวใช่ไหม โอ้พระเจ้า เจ้าของร้านพูดไทยได้ เราก็แอบอมยิ้มเล็ก ๆ นะครับ โดยลักษณะทางกายภาพของลอดช่องมาเลเซียแล้วนั้น มีลอดช่องเส้นเล็ก ๆ เล็กกว่าบ้านเรานิดหน่อย มีถั่วแดง น้ำแข็งและน้ำกะทิครับ พอกวน ๆ กันแล้วกินคำแรกนั้นรู้เหตุผลเลยครับว่าทำไมคนต่อคิวยาวขนาดนั้น อร่อยครับ อร่อยแบบรสชาติบ้านเราเลย ไม่ได้จืดแบบอาหารมาเลเซียแบบที่ทุกคนเข้าใจ
พอกินหมดก็ซื้อน้ำสักถุงครับ กระหายจากการเดินเลยไปจัดน้ำแดงที่มีแมงลักอยู่ในประมาณน้อยนิด
เดินต่อมาสักพักเราจะเจอห้างที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของเมืองนี้ ที่มีชื่อว่า KOMTAR เลยแวะหาข้าวเที่ยงกินที่นี่ครับ แต่ก็ห้างครับมีอะไรให้เลือกกินไม่มาก เลยจัดสิ่งที่ผมชอบกินเฟรนช์ฟรายของร้านนี้มากที่สุด
หลังจากเช็กแบตเตอรี่ของกล้องแล้วเหลือคงไม่พอสำหรับทริปตอนเย็น เราเลยจะกลับไปตั้งหลักกันที่ที่พักกันก่อนนะครับ โดยเราเลือกใช้รถเมล์ฟรีด้วยความประหยัดเช่นเดิม มารอที่สถานีของรถเมล์ที่อยู่ใกล้ ๆ กับ KOMTAR แต่พอถามเจ้าหน้าที่เขาก็บอกว่ารถเมล์ฟรีผ่านแค่ป้าย 9 ซึ่งอยู่บนถนนที่เดินออกมาจากสถานีนั่นเอง
พูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ที่เพจ https://www.facebook.com/canvasstwister
ตอนแรกกะจะนั่งรถนะครับ แต่รอนานมากกกกกก เลยตัดสินใจเอาวะเดินก็ได้ T^T ระยะทางก็ไกลพอสมควรนะครับ แต่ก็อยากเดินนะครับ ชมสภาพเมือง ก็ไม่ถือว่าเหนื่อยมากนะครับ เดินชมเมืองที่ไม่ใช่บ้านเราไปเรื่อย ๆ เพลินครับ พอถึงที่พักก็จัดการเช็กอินเข้าที่พักแบบ Dorm เรียบร้อยก็จัดแจงชาร์จแบตฯ กล้อง เปลี่ยนเมมโมรี่รูปไปจนหมด 8GB
มาถึงที่แรกก็เดินวนหาร้านที่จะซื้อของกินครับ เล็งไว้ก่อนอะไรน่ากิน อะไรอยากชิม แล้วก็ไปหาที่นั่งเป็นหลักแหล่งก่อนจะไม่มีที่นั่งในช่วงค่ำ
และแล้วก็จัดมาครับ เป็นเนื้อแกะกับไก่ แล้วก็มีของอีกอย่างลักษณะเหมือนข้าวอัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมเรียกอะไรไม่รู้ แต่ไม่อร่อยเลย - -
ยังครับเรายังไม่หยุดแค่นั้น เรายังจะออกล่าอาหารมาให้สมกับเสียพลังงานไปทั้งวันกับการเดินรอบเมือง ที่ตอนแรกเขาว่าเป็นเมืองเล็ก ๆ เดินแป๊บเดียวก็ทั่ว ลองดูแล้วไม่เล็กนะครับ โอ๊ยเดินกันข้อเข่าจะเสื่อม
บนซ้ายเป็นหมี่ผัดธรรมดา ๆ ซึ่งผมคิดว่าเขาคงผัดกับน้ำประปา จืดมากกกกกกกก บนขวาจะเป็นฝรั่ง แตงกวา แป้งทอดกรอบ มะม่วง สัปปะรดพร้อมราดด้วยน้ำดำ ๆ รสชาติหวาน ๆ โอเคครับอร่อยดี ล่างขวานี่จัดด้วยความอยากล้วน ๆ ไก่ทอดธรรมดา ๆ บ้านเราครับ อีกอันก็เป็นหมูสะเต๊ะ หลังจากโซ้ยทุกอย่างจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่เศษ ก็ถึงเวลากลับครับกำลังจะค่ำพอดี เลยเดินกลับมาที่เราลงรถ ขึ้นรถ ณ จุดเดิมกลับมาที่คอมตาร์ เล็งเห็นจุดหนึ่งถ่ายภาพกลางคืนแจ่มแมว บนสะพานลอยที่เป็นสามแยกก่อนถึงคอมตาร์
เสร็จแล้วก็เดินกลับที่พักเหมือนเคยครับ มาดูบรรยากาศที่พักคร่าว ๆ ตอนกลางคืนเปิดไฟส้ม ๆ ได้บรรยากาศอีกแบบครับ
Day 3 : Penang Malaysia
จากการวางแผนไว้เมื่อวาน วันนี้เราจะตื่นแต่เช้ากินอาหารของทางที่พักเสร็จจะนั่งรถเมล์ออกไปที่ Penang Hill ไปชมวิวทิวทัศน์ของปีนังในมุมสูง แล้วออกเดินถ่ายรูปบรรยากาศเมืองก่อนกลับ ซึ่งจองรถขากลับไว้ตอนสี่โมงเย็น (เวลาของมาเลเซีย) แต่ความจริงแล้วเราตื่นสาย อีกแล้วเหรอวะตื่นสายยยยยยยยยยย 55555 เราเลยยกเลิกทริปการนั่งรถไปยังปีนังฮิลล์แล้วมาถ่ายรูปรอบเมืองด้วยการเดินครับ เริ่มด้วยการกินอาหารเช้าของทางที่พักครับ
ซึ่งก่อนการเดินนั้นเราต้องมีการวางแผน เรามีจุดหมายที่ร้านขายหมวกที่บริเวณก่อนถึง Jetty ไปลองเดินดูปีนังในตอนเช้ากัน
เดินมายังไม่ทันไรก็ถึงซะแล้วครับ แต่ก่อนถึงร้านขายหมวกเราเดินมาเจอร้านขายโปสการ์ด ซึ่งเราก็ไม่รอช้า เป็นบุญนะฮะที่ได้ส่งโปสการ์ดจากที่นี่ไปบ้าน ถาม ๆ ไปได้ความมาว่ามันส่งได้ทั่วโลกครับ ระยะเวลาขึ้นอยู่กับระยะทาง อย่างผมอยู่สงขลาก็ไม่เกินหนึ่งอาทิตย์ จัดเลยครับจัดเลย ราคาต่อหนึ่งใบราว ๆ 30 บาทครับ
พอออกจากร้านมาเดินไปอีกนิดก็จะถึงทางเข้าที่มีคนเดินผ่านทางนี้เยอะมาก เลยกลายเป็นย่านเศรษฐกิจไปเลยทีเดียว ด้านในจะมีร้านค้าพวกของฝากเยอะแยะมากมาย และเป้าหมายร้านหมวกของเราก็อยู่ในนี้ครับ
หน้าตาเหมือนกันเป๊ะเลยกับของบ้านเรา แต่พอชิมดูแล้วมันจะนุ่มกว่าครับ ด้านนอกจะกรอบแต่ส่วนที่กรอบจะเป็นแค่ส่วนบาง ๆ กัดลงไปถึงเนื้อตรงกลางที่นุ่มแล้วมีกลิ่นหอมหวาน ๆ อร่อยครับ อร่อยมากกกกกก ชิมของกินเล่นเสร็จแล้วหิวครับ ถูกสิครับเที่ยงแล้ว หิวเป็นธรรมดา ร่างกายใช้พลังงานจากขนมปังสองแผ่นกับกาแฟไปกับการเดิน เราเลยจะนั่งรถเมล์ไปลงที่แถวที่พักเพื่ออะไรกินแถวที่พัก แต่เผอิญพอออกมาหน้าร้านทาร์ตไข่มีคล้าย ๆ โรงอาหารครับ ด้านในมีร้านอาหารหลายร้าน เลยจัดซะที่นี่เลยครับ
ที่สั่งมาเป็นข้าวผัด ข้างบนมีไก่ทอดหนึ่งชิ้นพร้อมน้ำซุปใส่ถ้วย มา ๆ เรามาชิมกัน ข้าวผัดรสชาติธรรมดา ๆ ติดไปทางจืด ไก่ทอดก็บ้านเราครับติดเค็ม ๆ หน่อย เข้ากับข้าวเป็นอย่างดี แต่น้ำซุปสิ ซดคำแรกแทบพุ่ง รสชาติมันเหมือนเอาน้ำแกงส้มมาละลายน้ำ มันแหม่ง ๆ ครับ 55555555
โอเคภารกิจลุล่วงทีมของคุณได้รับชัยชนะ หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็กลับครับ กลับที่พักไปตั้งหลักเพราะยังไม่ได้วางแผนตอนบ่ายว่าจะไปทำอะไรที่ไหน เลยถือโอกาสช่วงนี้เก็บบรรยากาศของที่พักที่บอกได้เลยว่าถูกใจขาอินดี้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งภายในทุก ๆ อย่างมันดูเข้ากันไปหมด อีกอย่างที่ประทับใจที่นี่ คือ เจ้าของที่พักครับ Cheryl และ Rayson ครับ ทั้งคู่ช่วยผมได้มากไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการท่องเที่ยวภายในปีนัง ซึ่งตอนแรกที่มาหยิบแผนที่หน้าเคาน์เตอร์ สองคนนี่จะอธิบายเราตลอดครับ ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรสองคนนี้จะช่วยได้เสมอ แนะนำเลยครับที่นี่
นี่เป็นรูป Cheryl นะครับน่ารักมาก
หลังจากนั้นก็ได้ทำการพูดคุยกับ Cheryl และขอบคุณที่คอยช่วยทุกอย่างหยิบกระเป๋าและสะพายออกมาจากที่นั่น และหวังว่าสักวันเราจะได้กลับมาที่นี่อีก
ก่อนกลับเรามีอีกหนึ่งภารกิจครับ ที่ระหว่างอยู่ที่พักเมื่อกี้เปิดโฟว์สแคว์ดูเจอร้านกาแฟหนึ่งร้านครับ ตกแต่งแบบเก๋ๆ และอบขนมปังสด ๆ ร้อน ๆ ร้าน Mug shot ซึ่งเราเห็นเตาอบขนมปังกันเลยทีเดียว และอีกอย่างที่ได้ข่าวมาว่าเด็ด คือ โยเกิร์ตฮะ ที่ร้านทำมาสด ๆ ให้เราได้กินกัน พูดไปก็พุ่งไปเลยครับ ไปหามุมฮิปเตอร์ถ่ายกัน !
หลังจากที่เราใช้เวลา 3 วัน 2 คืน ที่นี่รู้สึกผูกพันนะครับ ที่เวลาเราตื่นเช้ามาเจอเพื่อนฝรั่งที่อายุต่างกันเป็นสิบปี หรือเจ้าของที่พักที่หน้าตาน่ารักนิสัยเป็นมิตรอย่าง Cheryl เสียดายนะครับที่ใช้เวลาได้แค่นี้ในเมืองแห่งนี้ ถ้ามีเวลามากกว่านี้คงได้ซึมซับอะไรมากกว่านี้ ซึ่งในส่วนท้ายนี้เราจะมาสรุปค่าใช้จ่ายเบื้องต้นกันครับ
ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ค่าที่พัก : คืนแรกเป็นห้องเดียว 1,080 บาท+คืนที่สองเป็นห้องรวม 340 บาท = 1,420 บาท (ซึ่งถ้าใช้เป็นห้องรวมตั้งแต่คืนแรกจะเซฟเงินถึง 740 บาท TOT)
ค่ารถไป-กลับ : 750 บาท ซึ่งหากรวมค่าที่พักและค่าเดินทางนั้นจะเป็นเงินแค่ 2,170 บาทครับ ส่วนที่เหลือจะเป็นค่ากินนิด ๆ หน่อย ๆ ครับ
ซึ่งการเดินทางครั้งนี้มันให้อะไรผมได้หลาย ๆ อย่าง ซึ่งอย่างที่ผมคิดว่าผมได้มันมากที่สุด คือ การเรียนรู้ในสิ่งที่เรามองเห็นแค่ในหนังสือ มองเห็นแค่ในอินเทอร์เน็ต แต่ความรู้สึกของคนที่นั่น วัฒนธรรมของคนที่นั่นจะรู้สึกได้อย่างไรเมื่อเราไม่ออกเดินทางมาหามัน ...
เก็บตกจากในมือถือ
ของกินที่เกอร์นีย์ไดรฟ์
ขนมไส้เผือกของป้าใจดี แต่ออกมาเป็นหมูแดงเฉย
ถั่วแดงด้วย - -"
แถวตลาดตรงจูเลียสตรีต
ปลาหมึกผัดผักบุ้งแถวที่พัก
น้ำโซดากลิ่นครีมหอม ๆ
ผลไม้จากรถคุณลุง
อากวงมากับอากง มาจากกัวลาลัมเปอร์ ตรงหมู่บ้านชาวประมง
ขนมในลิตเติลอินเดียกับข้าวในโรงอาหารข้างร้านทาร์ตไข่
ที่อาร์ตสตรีตจะมีจักรยานให้เช่าหลายร้านมาก แต่เราประหยัดเดินกันเข่าหลุดเลยยยยยยย 555
ไอศกรีมแก้วมังกรกับฝรั่งครับ
โยเกิร์ตขนุนที่มัคชอต
โยเกิร์ตขนุนที่มัคชอต
lok lok
เด็กน้อยเจอที่ป้าย 9
ทางไปลิตเติลอินเดีย
ในร้านทาร์ตไข่จะมีทำขนมสด ๆ กันเลย
ในร้านน้ำผลไม้ครับ
ปีนังวันที่ 1
ของขายรายทางที่อาร์ตสตรีท
ที่ปีนังขายนมถั่วเหลืองเยอะมาก เยอะกว่านมวัวอีก
ลากันไปด้วยภาพนี้ สวัสดีปีใหม่ครับ ^__^
เด็กน้อยเจอที่ป้าย 9
ทางไปลิตเติลอินเดีย
ในร้านทาร์ตไข่จะมีทำขนมสด ๆ กันเลย
ในร้านน้ำผลไม้ครับ
ปีนังวันที่ 1
ของขายรายทางที่อาร์ตสตรีท
ที่ปีนังขายนมถั่วเหลืองเยอะมาก เยอะกว่านมวัวอีก
ลากันไปด้วยภาพนี้ สวัสดีปีใหม่ครับ ^__^