เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ Pepe del Srisa-nga สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
วันนี้เราจะพาเพื่อน ๆ ไปสัมผัสกับความงดงาม ณ เขาช้างเผือก ยอดเขาที่สูงที่สุดของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ผ่านบันทึกการเดินทางของ คุณ Pepe del Srisa-nga สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ได้ไปเยือนและเก็บประสบการณ์สนุก ๆ มาเล่าสู่กันฟัง อ๊ะ ๆ แต่ก่อนอื่นไปทำความรู้จักกับเขาช้างเผือกกันสักนิดนะจ๊ะ
"เขาช้างเผือก" มีความสูงประมาณ 1,249 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ซึ่งมีเส้นทางเดินป่าที่สวยงามและน่าตื่นตา โดยเฉพาะเส้นทางเดินไปสู่ยอดที่เป็นป่าโปร่งสลับกับทุ่งหญ้า มีจุดวัดใจของการเดินทางอยู่ที่ "สันคมมีด" สันเขาที่สวยงามและน่าหวาดเสียวไปพร้อม ๆ กัน แต่เมื่อสามารถพิชิตใจขึ้นไปถึงยอดเขาได้แล้ว ก็จะสามารถมองเห็นวิวได้รอบทิศทาง 360 องศา ที่จะทำให้หายเหนื่อยในพริบตา อย่างไรก็ตามก่อนจะเดินทางไปพิชิตยอดเขาช้างเผือกต้องประสานงานติดต่ออุทยานฯ เพื่อจัดเจ้าหน้าที่เป็นผู้นำทาง อีกทั้งพื้นที่กางเต็นท์บนยอดเขามีพื้นที่จำกัด ไม่มีน้ำใช้ ห้องสุขา 2 ห้อง และไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ ทางอุทยานฯ จึงจำกัดนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีช่วงเวลาให้ขึ้นไปสัมผัสอีกด้วย (ประมาณเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์) ทั้งนี้สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tiewpakklang.com และ อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ หรือติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรีได้ที่ เฟซบุ๊ก Tat Kanchanaburi
ทั้งนี้รูปภาพทั้งหมดถ่ายด้วย Canon EOS 700D+Sigma 10-20 นะครับ
1. เราออกเดินทางกันตอนค่ำ ๆ จากกรุงเทพฯ ไม่ช้าพอฟ้าสางเราก็ถึงทองผาภูมิ บ้านปิล็อก หมู่บ้านเล็ก ๆ ใกล้ชายแดนไทย-พม่า ที่ในอดีตเคยเป็นเหมืองแร่ ในวันนี้ที่ยุคของเหมืองแร่ถูกลมโลกาภิวัฒน์พัดหายไปก็เหลือแต่เพียงเมืองเล็ก ๆ สงบ ๆ ท่ามกลางหุบเขานี้
2. เราฆ่าเวลาด้วยการเดินเล่นไปรอบ ๆ หมู่บ้านและวัดประจำหมู่บ้าน เป็นเวลาประจวบพอดีกับที่พระอาทิตย์เบิกแสงแรกออกมาที่ขอบฟ้า ลมหนาวปลายปีพัดพวกเราจนสั่น แต่กลับไม่มีใครบ่น ซ้ำยังชอบซะมากกว่า เราเดินไปที่ลานเฮลิคอปเตอร์และปล่อยให้ลมหนาวจากหุบเขาข้างหน้า พัดปะทะกับหน้าพวกเราอย่างไม่ลดละ
3. เมื่อเวลามาถึง ทุกอย่างพร้อมเสร็จสรรพ เราก็ออกเดินทาง...เราเดินไปทางหลังหมู่บ้านและเลาะไหล่เขาขึ้นไปเรื่อย ๆ จากไร่สวนเล็ก ๆ ของชาวบ้านก็กลายเป็นหญ้าแห้ง ๆ สีเหลืองอร่ามขึ้นสูงเทียมเอวตลอดทาง
ท้องฟ้าไม่เจือปนด้วยเมฆแต่น้อย แดดแรงส่องลงมาอย่างไม่ลดละ แม้จะย่างเข้าสิบโมงแล้วแต่ลมหนาวก็ไม่ได้หายไปไหนเลย
4. เราเดินมาจนถึงจุดพักต้นซ้านและพักเหนื่อยกันสักพัก เมื่อมองไปก็พบว่าเราไต่ความสูงมาได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่ด้วยเวลาที่เริ่มใกล้เที่ยง อากาศจึงเริ่มร้อนขึ้น เสื้อกันหนาวของเราบางคนเริ่มถูกถอดออก เราพักกันไม่นานแล้วจึงเดินต่อไป
5. เมื่อเลยจุดพักมาแล้วเราก็ไต่ข้ามเขาลูกข้างหน้า เวลานี้ขาพวกเราบางคนเริ่มล้า เราไต่เขามาติดต่อกันแต่ด้วยความที่เรามาสนุก จึงไม่มีใครท้อหรือยอมหยุดแต่เพียงตรงนี้
6. เราเดินมาจนถึงยอดเขาลูกต่อ ๆ มา พร้อม ๆ กับเหนื่อยมากจนไม่รู้ว่าเดินข้ามมากี่ลูกแล้ว เราพบว่าเราอยู่บนจุดสูงสุดจุดหนึ่งที่มองเห็นวิวที่สามร้อยหกสิบองศา ภูเขาสีเขียว/เหลืองทอดตัวเป็นแนวยาวสุดไกลตา ราวกับคลื่นก็ไม่ปาน ตัดกับสีท้องฟ้าเข้มอย่างน่าอัศจรรย์
เราพบเพื่อนรวมทางหลากหลาย มาเดี่ยว เป็นกลุ่มเช่นเรา หรือคู่ ๆ ก็มี ดังเช่นพี่ ๆ ทั้งสองด้านหน้ากลุ่มเราที่เดินไปด้วยกันอย่างไม่ย่อท้ออยู่ตลอด 8 กิโลเมตร
7. เราเดินตามเทรลที่ถางไว้เรื่อย ๆ จนกระทั่งเราพบว่าพี่ไกด์ตะโกนมาจากด้านข้าง ๆ ไกล ๆ ว่าเราเดินอ้อมไปขึ้นยอดเขา ทั้ง ๆ ที่เราสามารถเดินลัดได้จากทางที่ถางไว้ข้าง ๆ ซึ่งจะสามารถผ่อนแรงไปได้บ้าง
แต่ถึงอย่างไรวิวที่เราเจอบนนั้นก็ถือว่าเป็นความผิดพลาดที่สวยงาม เรามองเห็นยอดเขาช้างเผือก มองเห็นสันเขาต่าง ๆ ทอดตัวยาวเป็นแนวสุดลูกหูลูกตา นั่นก็คุ้มกับการแลกเดินขึ้นมาแล้วล่ะ
8. เมื่อถึงยอดเขาสุดท้ายก่อนแคมป์ เราจำต้องเกาะเชือกแล้วค่อย ๆ ไต่ลงไปยังเบสแคมป์
ภาพที่มองลงไปทำให้ผมขาสั่นไม่น้อยเลย แต่นั่นแปลว่าเราจะได้พักแล้ว หลังจากเดินทางมายาวนานกว่าครึ่งวัน เราจะได้พักสองชั่วโมง ก่อนจะเดินขึ้นเขาต่อเพื่อไปยอดเขาช้างเผือก
9. หลังจากงีบกันพอประมาณ เราทิ้งสัมภาระไว้ที่เต็นท์ นำไปเพียงน้ำคนละขวดเพื่อให้ง่ายแก่การเคลื่อนไหวตัว เราไต่เขาขึ้น (เพื่อนคนหนึ่งมองเห็นศาลพระภูมิเจ้าที่เจ้าทางอยู่ด้วยครับ ทำเอาใจหวิวไปพอตัว) ทางเดินในช่วงนี้มีความกว้างไม่เกินเมตรครึ่ง เรียกว่าถ้ากลิ้งหรือสะดุดตกก็เจอกันอีกอาทิตย์หนึ่งข้างหน้าล่ะครับ ไม่น่าเจอแบบเป็น ๆ ด้วยล่ะ ฮ่า ๆๆ และเมื่อเดินไปสักพักก็จะพบกับสันคมมีดครับ เป็นด่านวัดใจว่าจะข้ามเพื่อเดินต่อไปถึงยอดเขาได้หรือไม่
10. ระหว่างที่เพื่อนผมกำลังปีน มีจังหวะหนึ่งที่ขวดน้ำซึ่งอยู่บริเวณกระเป๋ากางเกงด้านหลังหลุดลงไป ผมที่ต่อท้ายมันอยู่ได้แต่มองตามขวดนั้นที่กลิ้งหายไป และคิดตามว่าถ้าขวดนั้นเป็นเราขึ้นมาล่ะ ? 5555555555 แต่ทุกคนก็ผ่านมาด้วยดีครับ มีเจ้าหน้าที่ช่วยดูแลอย่างดี
11. เราเดินต่อมาจนกระทั่งถึงเนินสุดท้ายที่จะนำไปสู่ยอดเขา เนินนี้ผมเคยเห็นจากภาพมานานแล้ว และคิดว่าไม่ได้ลำบากอะไรเมื่อเทียบกับที่ผ่าน ๆ มา
แต่ผมคิดผิดอย่างแรง...มันเป็นเนินทรายที่สูงและชันมาก มีเพียงหญ้าแห้ง ๆ ที่สามารถดึงยึดตัวไว้ได้ หากพลาดก็มีวืดและสไลด์ลงมาเริ่มนับ 1 ใหม่ครับ จุดนี้เราล้มลุกคลุกคลานกันฝุ่นตลบ...แล้วก็มาถึงยอดเขาครับ
12. เราใช้เวลาพอประมาณบนนี้ แต่ไม่นานมากเพราะหากพระอาทิตย์ตกจะกลับแคมป์ได้ลำบาก ผมถ่ายรูปพวกเราบนนี้ด้วยแอ็คชั่นต่าง ๆ ฮ่า ๆๆๆๆ แม้ว่ามันจะเหนื่อยหรือลำบากแต่เราก็ช่วยกันจนมาถึงจุดนี้ได้ ฟินกันถ้วนหน้าครับ
13. จากยอดเขาช้างเผือกนี้สามารถเดินต่อไปได้อีก แต่ได้ยินมาว่าจะเป็นเส้นทางที่ลำบากจึงยังไม่ได้มีการเปิดเดินเพื่อการท่องเที่ยวครับ ดังที่เห็นจากภาพว่าจะมียอดเขาอยู่ต่อไปอีก
14. เมื่อผมมองกลับไปในทางเราเดินมากันก็พบว่าทำไมจะเรียกขานที่แห่งนี้ว่า "เขาช้างเผือก" ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นภาพของหลังช้าง...ว่าไหมครับ ?
15. เมื่อถึงเวลาเราก็ต้องเดินกลับ ท้องฟ้าตอนนั้นไม่ว่าจะทิศใดก็สวยงามราวกับภาพวาด ทิศตะวันตกก็เริ่มมีแสงสีส้มอมแดงที่เข้มขึ้น ทิศตรงข้ามก็เจือด้วยสีน้ำเงินเข้ม เส้นขอบฟ้าเริ่มมีเส้นสีส้มอมแดงขึ้นเช่นกัน แสงแดดส่องกระทบต้นหญ้าทั่วเขาจนกลายเป็นสีเหลืองอร่ามไปทั่ว กลายเป็นภูเขาสีทองก็ไม่ปาน
16. ลมหนาวเริ่มพัดกลับมาอีกแล้ว ตะวันก็คล้อยต่ำลง สีทองที่เคยมีก็เข้มขึ้น หากที่นี่สูงเสียดฟ้ามันก็คงไม่ต่างจากสวรรค์แห่งหนึ่ง
17. เมื่อข้ามเขาต่าง ๆ มาจนถึงเนินสุดท้ายก่อนลงมาถึงแคมป์ ฟ้าเป็นสองสี พระอาทิตย์ถูกบังโดยเขาสองลูก แต่ทว่าสีของฟ้าไม่ได้ถูกบดบัง มันยังคงทอแสงสวยอยู่อย่างนั้นกระทั่งดาวนับล้านขึ้นมาแทนพระอาทิตย์
18. Epilogue เราเข้านอนกันค่อนข้างไว เนื่องด้วยอุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ทั้งคืนนั้นลมตีเต็นท์อยู่ตลอดเวลา และผ้าห่มไม่ได้ช่วยให้เกิดความอบอุ่นกับเราเท่าใดนัก แต่เราก็ผ่านมันมาถึงรุ่งสาง แม้จะไม่มีทะเลหมอกเพราะลมพัดแรงมาก แต่แสงแรกของวันก็ทำให้ผมรู้สึกคุ้มค่ากับการแบกขาตั้งกล้องขึ้นมาถึงบนนี้
เราทานอาหารเช้าและเตรียมตัวลงเขากันเพราะอากาศยังดีอยู่ ขาลงเราทำเวลาได้ดีและเหนื่อยน้อยกว่า การเดินทางก็จบลงอย่างแฮปปี้ เราเอ็นจอยกับทุกช่วงเวลาตลอด 10 กว่ากิโลเมตรที่เราใช้กำลังขาเราย่ำขึ้นไปทั้ง 2 วัน เป็นครั้งแรกของการเดินป่าที่ทำให้เรารู้สึกกันว่าเมืองไทยยังมีอะไรอีกเยอะ
อีกไม่นานเมื่อลมหนาวพัดมา...เราจะกลับมาสู่ธรรมชาติอีกครั้ง ณ ผืนป่าสำคัญอีกแห่งของไทย "ป่าแม่วงก์" และ "โมโกจู"
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนครับ : ) มีอะไรติชมคอมเม้นท์ได้เสมอครับ ชอบกดไลค์ ใช่กดโหวตครับ : D